Drama Happen : ไม่มีปาฏิหารย์ที่เวมบลีย์

"ถ้าเราไม่ชนะในครั้งนี้ เราคงเจอตราหน้าว่า ไอ้ขี้แพ้ไปตลอดแน่ๆ"
"แชมเปี้ยนลีกส์เมื่อปีที่แล้ว นักเตะบางคนของเราพึ่งเคยมาเล่นในรายการนี้ครั้งแรก แต่ปีนี้เราแกร่งกว่าเดิมมาก"

ชายคนแรก อกหักสาหัส มา 2 ครั้ง
ชายคนที่สอง พึ่งเคยมีความรักเป็นครั้งแรก

หากมีคนที่ต้องสมหวังเพียงคนเดียว
อีกคนต้องเจ็บปวด
คำถามคือ "ใคร" น่าจะเจ็บปวดกว่ากัน

ดอทมุนต์ พบ บาร์เยิร์น ในนัดชิง ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกส์ 2013 ทำให้เรารู้สึกแบบนั้น



รักครั้งแรกน่าจะเจ็บปวดที่สุด
คุณอาจคิดว่าเมื่ออกหักบ่อยๆ เดี๋ยวหัวใจคุณก็ชินไปเอง
แต่ใจจริงแล้ว แต่คุณจะไม่อยากให้มันเกิดขึ้นหรอก
ครั้งแรกมันเจ็บปวด ..
ครั้งที่สองมันคือหายนะ ...

และคุณไม่ต้องการครั้งที่ 3


ประโยคแรก มาริโอ โกเมซ ได้บอกไว้ในรอบแบ่งกลุ่ม สำหรับบาเยิร์น มิวนิค พวกเขาไม่ได้มองแค่การ "ผ่านรอบแบ่งกลุ่ม" แต่พวกเขามองเลยไปถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว "ความกระหายชัยชนะ" คือ อาวุธสำคัญของ "เสือใต้"

ประโยคที่สอง มาจาก เด็กหนุ่มดาวรุ่ง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ให้สัมภาษณ์หลังจากผ่านรอบแบ่งกลุ่มมาได้ และกำลังจะก้าวเข้าไปเจอทีมโหดๆอีกหลายทีม ความท้าทายรออยู่ข้างหน้า อาวุธของเหล่าเด็กหนุ่ม "เสือเหลือง" โบรุซเซีย ดอทมุนต์ คงเป็น "ความใจสู้ไม่ถอย"

คำพูดของทั้งคู่ ก็เหมือนเป็นตัวแทนความรู้สึกของคนทั้ง 2 ทีม

สำหรับบาเยิร์น มิวนิค พวกเขาพ่ายแพ้ที่นัดชิงชนะเลิศมา 2 ครั้ง
ปี 2010 พวกเขาพ่ายอินเตอร์มิลาน ในรอบชิงชนะเิลิศ
ปี 2011 เป็นอินเตอร์ มิลานอีกครั้งที่เขี่ยพวกเขาตกรอบ Knock Out
ปี 2012 พวกเขาต้องยืนมอง เชลซี ชื่นชมถ้วย "บิ๊กเอียร์" ในบ้านของตัวเอง

ที่นี่สะสมความผิดหวังมามากเกินไป

แต่สำหรับเหล่าเด็กหนุ่มแล้ว พวกเขาอยากเป็นคนที่คว้า "แชมป์สมัยที่ 2"
ให้กับสโมสรและแฟนบอล
พวกเขาเคยไม่พร้อม แต่ในครั้งนี้พวกเขาฝ่าฟันมาจนถึงรอบสุดท้าย
ชัยชนะ ห่างแค่เอื้อม.. ที่ต้องทำคือ คว้ามันมาให้ได้


ด้วยขุมกำลัง ณ ปัจจุบัน บาร์เยิร์นเป็นต่อ ดอทมุนต์อยู่ค่อนข้างมาก
และข่าวที่ไม่ค่อยดีนักจากฝั่งตรงข้าม คงทำให้พวกเขาอาจจบเกมในวันนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่หากคิดง่ายๆแบบนั้น

มันคงไม่ใช่ฟุตบอล

ดอทมุนต์พก "ใจสู้" มาเต็มร้อย
ขณะที่บาร์เยิร์น "กระหายชัยชนะ" อย่างบ้าคลั่ง








เกมส์เริ่มต้นอย่างดุเดือด ทั้งสองทีมผลัดกันรุก ผลัดกันรับอย่างไม่ให้พักหายใจ
เมื่อบอลเสียจากอีกฝั่ง จะถูกบุกอย่างรวดเร็วสู่อีกฝั่งทันที
ไม่มีใครแกล้งตาย หรือ เตะบอลทิ้งสุรุ่ยสุร่าย
การต่อบอลเป็นไปอย่างเหนียวแน่น ไม่มีใครล้มนานเกินไปจนเกมยืด
พวกเขารีบเล่น เร่งเกมกันตั้งแต่ครึ่งแรก
ทั้งสองทีม ต่างมีโอกาสผลัดกันไป ดวล 1-1 กับประตูฝั่งตรงข้ามอยู่หลายหน
แต่ทั้ง นอยเออร์ และ ไวเดนฟลเลอร์ ก็โชว์ฝีมือ "ซุปเปอร์เซฟ" ได้เป็นอย่างดี



ประตูแรก มาจากความผิดพลาดของกองหลังดอทมุนต์ ทำให้ มันซูคิดก์ สบช่อง ส่งบอลเข้าไปตุงตาข่าย
บาร์เยินตีไข่แตก ขึ้นนำไปก่อนในนาทีที่ 60




หลังจากนั้นเพียง 7 นาที ดันเต้เข่าลอยใส่มาโก้ รอยซ์ ในเขตโทษ ทำให้ดอทมุนต์ได้โอกาส ยิงจุดโทษ
พวกเขาส่ง กุนโดกันด์ออกไปสังหาร



กุนโดกันด์ไม่ืำทำให้ผิดหวัง นอยเออร์เดาใจมือสังหารพลาด ทำให้ กุนโดกันด์ซัดลูกเลียดง่ายๆเข้าไปตุงตาข่าย
ดอทมุนต์กลับมาตีเสมอได้ในที่สุด



ก่อนหน้านี้ เราไม่ได้ถึงคิดคำว่า "Miracle Happen" ในเกมนี้มาก่อน
ที่เราคาดไว้ คือ "Drama Happen" ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ไม่ว่าใครจะชนะก็ตาม

เมื่อดอทมุนต์ขึ้นมาตีเสมอ และเกมเริ่มกลับไปเป็น บาร์เยิร์นที่เดินเกมบุกอยู่ฝ่ายเดียว
แต่ยังไม่สามารถทำอะไรดอทมุนต์ได้ เราเริ่มคิดถึง "Miracle Happen" อีกครั้ง

เราอาจจะไปตัดสินกันที่ "การยิงจุดโทษ" เหมือนในปีที่ผ่านๆมา

แล้ว อาเยน รอบเบน ก็ทำลายปาฏิหารย์นั้นลง



นาทีที่ 89 จากการบุกอย่างหนักหน่วง และการหลุดเดี่ยวหลายครั้งหลายหน
ในที่สุด รอบเบน ก็ซัดประตูชัยให้บาร์เยิร์นในที่สุด
ปีที่แล้ว รอบเบนยิงพลาดในการดวลจุดโทษ ทำให้ บาร์เยิร์นพ่ายเชลซีไปอย่างน่าเสียดาย




3 นาทีในการทดเวลา ไม่เพียงพอให้ดอทมุนต์ "สร้างปาฏิหารย์"
เสียงนกหวีดหมดเวลา "เสือใต้" มีชัยเหนือ "เสือเหลือง" จบสกอร์ที่ 2 ประตูต่อ 1
คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนลีกส์สมัยที่ 5 ได้ในที่สุด

.. พวกเขาทำได้ ..





ในตอนจบ เหล่าชายหนุ่มผู้สมหวัง และ เหล่าเด็กหนุ่มผู้พ่ายแพ้ ต่างมีน้ำตา
มันเป็นเกมที่เต็มไปด้วย อารมณ์ความรู้สึก


  

พวกเขาชนะอย่างยิ่งใหญ่ และ พ่ายแพ้อย่างน่าสรรเสริญ


.. และที่เวมบลีย์ ..
...  วันนี้ไม่มีปาฏิหารย์  ...

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่