ไม่ว่าคุณจะรักหรือจะเกลียดเสือใต้ สิ่งหนึ่งที่คุณไม่อาจปฏิเสธได้เลย ก็คือ สถิติต่างๆ มากมายที่พวกเขาสร้างขึ้นใหม่ในฤดูกาลนี้ คือ ข้อเท็จจริงที่จับต้องได้
ตัวเลขทั้งหลายบนตารางคะแนนบุนเดสลลีกาเตะ 34 นัดเท่ากัน แต่ภาพที่ปรากฏระหว่งบาเยิร์นกับอีก 17 ทีมที่เหลือ ช่างแตกต่างไม่เข้ากัน เหมือนพยายามเอาน้ำไปรวมกับน้ำมัน
จินตนาการไม่ออกเลยครับว่า ต่อให้ยังเป็น จ๊ปป์ ไฮเกซ คุมทีมต่อไป ฤดูกาลนหน้า บาเยิร์นจะดีขนาดนี้ไดยังไง มิพักต้องพูดถึงคนหน้าใหม่ต่อบอลบุนเดสลีกาอย่าง เป๊ป กวาดิโอล่า
ถ้าผมเป็น เป็ป คงเกาหัวแกรกๆ แล้วฮัมเพลงพี่เบลิร์ดซ้ำไปซ้ำมา ว่า ‘ฉันมาทำอะไรที่นี่’ ด้วย
ช่างเป็นเทรนเอร์ที่โชคร้าย ไม่รู้ว่าเขารับตำแหน่งต่อจาก ไฮย์เกส ที่อลิอันซ์ อารีน่า กับที่ ติโต้ บิยาโนว่า รับงานต่อจากเขาที่คัมป์นูนั้น อันไหนสร้างความหนักใจมากกว่ากัน เพราะอย่าลืมว่าเขาอาจเป็น 14 แชมป์ใน 4 ปีที่บาซ่าก็จริง แต่วันที่ส่งต่องานและความกดดันทั้งหลายให้ติโต้นั้น บาเซโลน่าเสียแชมป์ลาลีกาให้รีล มาดริค และเสียแชมป์ยุโรปให้เชลซี ภารกิจของ ติโต้ จึงชัดเจน และง่ายๆ ตรงแต่ว่า กวาดเอาแชมป์พวกนี้กลับมาให้ได้ตามสมควรก็พอ
เหมือนยังมีอะรให้ทำ มีปฏิบัติการท้าทายรออยู่ ความกดดันกับภารกิจนั้นสอดคล้องกัน
หากสำหรับก้าวใหม่ของ เป๊ป ที่มิวนิค ไฮย์เกซไม่ทิ้งอะไรให้เขาต้องไล่ล่าเลย กุนซือผมดอกเลาวัย 68 ปี เดินลงจากลัลลังก์โดยมีถาดแชมป์บุนเดสลีกากับโทรฟี่บิ๊กเอียร์วางไว้ให้แล้ว และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ถ้วยแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ก็จะตามมาแน่ๆ ในสุดสัปดาห์นี้ พร้อมประวัติศาสตร์ทริปเปิ้ลแชมป์สมัยแรกของสโมสรและเป็นทีมแรกของบุนเดสลีกาอีกด้วย
แล้วยังจะเหลืออะไรให้เป๊ปทำอีก ป้องกันแชมป์? ป้องกันทริปเปิ้ลแชมป์? มันไม่น่าตื่นเจ้นกับการล่าแชมป์ที่เสียไปคืน หรือ สานต่อภารกิจที่ยังทำไม่สำเร็จ โจทย์ที่เขารับมาจากไฮย์เกซ จึงยากกว่าโจทย์ที่เขาทิ้งไว้ให้ติโต้ อยู่หลายช่วงตัว
กับตำแหน่งแชมป์ของบาเยิร์น ถามใครเขาก็คงว่าสมควร ทีมที่เขี่ยทีมอย่าง ยูเวนตุส แชมป์อิตาลี และบาร์เซโลน่า แชมป์สเปน ตกรอบด้วยสกอร์รวม 2 นัด เกมศูนย์แบบนี้ (แถมยังยิงได้ 11 ลูกอีกด้วย) ย่อมทรงคุณค่าและคู่ควรกับถ้วยบิ๊กเอียร์เป็นที่สุด
ขณะที่คู่ชิงอย่าง ดอร์ทมุนด์ ก็ไม่มีใครสงสัยในฝีเท้า การเป็นที่ 1 ในกรุ๊ปออฟเดธ และผ่าน เรอัล มาดริค ได้ในรอบตัดเชือก ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ขุมกำลังของเสือเหลือของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้รับเครดิตเต็มรูปแบบ อาจมีสีงที่น่าบ่นน่าเสียดายอยู่บ้างที่อดดูคู่ชิงในฝัน ราชัน v เสือใต้ หรือ ราชัน v บาซ่า แต่ก็ไม่มีเสียยี้เช่นกัน เมื่อมันเป็นฝั่งสีเหลืองทะยานเข้าเวมบลีย์
เป็นคู่ขิงที่เหมาะสมกับผลงานในสนามที่แสดงออกมาตลอดฤดูกาล อาจจะมีหลายคนที่มองว่า นัดชิงจำพวก ออลอิตาลีไฟนัล, ออล อิงลิซ ไฟนัล หรือ ออล สแปนิช ไฟนัล นั้นน่าเบื่อและไม่น่าสนใจเท่าการที่เป็นคู่ชิงเป็นสโมสรจาก 2 ประเทศ แต่เมื่อมับเป็น บาเยิร์น v ดอร์ทมุนด์ขึ้นมาจริงๆ เราก็พยักหน้ายอมรับความเหมาะสมทุกแง่มุมมองของ 2 ทีม
ที่สำคัญ ทั้งคู่ได้ตอกย้ำให้เราเห็นว่า พวกเขาสมควรเข้าชิงมากที่สุดแล้ว เพราะได้ร่วมกันสร้างนัดชิงชนะเลิศที่เข้มข้นเร้าใจอย่างน่าภาคภุมิใจว่า มันสมกับเป็นนัดชิงชนะเลิศชปล. ถึงขนาดที่หากบาเซโลน่าเข้าชิงกับรีล มาดริค เป็นดรีมไฟนัล อย่างที่ใครใฝ่ฝัน มันจะสนุกอย่างนี้หรือเปล่า
มีนัดชิงบิ๊กเอียร์หลายเกมนะครับ ที่ออกแบบรูปแบบเกมให้น่าเบื่อ นัดชิงปี 2000 สเปนเจอกันเองว่าน่าเซ็งแล้ว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสแปนิชกันเอง ที่คู่ชิงของเรอัล มาดริค ดันเป็น บาเลนเซีย ไม่ใช่บาเซโลน่า สกอร์ที่ต้อนกันยับเยิน 3-0 ของทีชุดขาวยิ่งน่าผิดหวังเข้าไปใหญ่ หากนั่นก็ยังไม่เท่ากับนัดชิงปี 2003 อิตาลีชิงกันเอง แต่ เอซี มิลาน กับ ยูเวนตะส ทำให้แฟนบอลหลายหมื่นในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เสียดายเงิน บางคนนั่งสัปหงกรอดูถึงช่วงดวลเป้าตัดสินด้วยซ้ำ
นัดชิงปี 2004 ที่ ปอร์โต้ ต้อน โมนาโก นัดชิงปี 2012 ที่ เชลซี โดนปูพรมอยู่ข้างเดียว แต่สุดท้ายเป็นแชมป์ หรือ ย้อนไปในปี 1993 กับเร้ด สตาร์เบลเกรด กว่าทีแฟนบอลในซานนิโกล่า เบียงคารี่ จะได้เห็นประตูก็ต้องรอหลัง 120 นาที ตอนเข้าสู่ช่วงยิงจุโทษติดสินนั่นแหล่ะ
อารมณ์เซ็งพวกนี้ไม่เกิดในนัดชิงอีกหลายนัด เอซี มิลาน สอนบอลบาเซโลน่า 4-0 ปี 1994, แมนฯยูโค่นบาเยิร์นในช่วงต่อเวลา ปี 1999, ลิเวอร์พูลตามตีเสมอเอซี มิลานในครึ่งหลัง หลังจากตามอยู่ 3-3 จนชนะด้วยจุดโทษ, หรือแชมป์ของ บาร์เซโลน่า ที่กรุงโรมเหนือแมนฯยู 2-0 ในจำนวนนี้ บางเกมอาจมีช่วงน่าเบื่ออยู่บ้าง แต่เรื่องเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นได้เป็นที่พูดถึงและจดจำไปชั่วลูกชั่วหลาน
นัดชิงปี 2013 ที่เวมบลีย์ ไม่ต้องพึ่งพาปาฏิหาริย์มาทำให้ฟตุบอลแมต์นี้พิเศษ คุณภาพของเกมที่ออกมา ความทุ่มเทของนักเตะ 22 คนในสนาม บรรยากาศเสียงเชียร์ของแฟนบอลเฉียดเก้าหมื่นชีวิต
สองทีมจากเยอรมันใช้ ‘คุณภาพ’ ที่อัดแน่นอยู่ในตัวเองมาเป็นจุดขาย ใช้ควมสร้างสรรค์นำหน้า อาศัยเกมรุแพ้วทาง เล่นในปรัชญาดั้งเดิมของตัวเอง ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อหวังคว้าผลลัพท์ในบั้นปลาย ลงสนามด้วยความมั่นใจในขุนผลที่มี โดยเฉพาะดอร์ทมุนด์ที่ขาดเกิทเซ่ และไม่มีใครรู้ว่าฮุมเมิ่ลส์ฟิตแค่ไหน แต่ก็ไม่มียั่น ไม่มีอุด ไม่มีการเอารถบัสมาขวางประตู
เอ็งที ข้าที เอ็งสองที ข้าสามที เป็นนัดชิงชนะเลิศที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว เปิดเกมบำกแลกกันตั้งแต่แรก สปีตบอลรวดเร็ว โอกาสทำประตูเพียบ นายทวารเซฟล้วนๆ นักเตะวิ่งเหมือนม้า ไม่มีแกล้งเจ็บ ไม่มีถ่วงเวลา ดูแล้วชอบ ดูแล้วชื่นชม ดูแล้วอิ่มเอม กับคนที่รักฟุตบอล พวกเขาคงไม่หวังอะไรไปมากกว่านี้ สำหรับนัดชิงชนะเลิศที่มีความสำคัญขนาดนี้สักนัด
โอกาสทำประตูรวมกันอง บาเยิร์น และ ดอร์ทมุนด์ ที่เวมบลีย์ คือ 26 ครั้ง เป็นฝั่งเสือใต้ 14 ครั้ง เสือเหลือง 12 ครั้ง ยิงตรงกรอบรวมกัน 17 หน หรือราว 70% ในส่วนของความแม่นยำ เท่ากับโดยเฉลี่ยแล้ว แฟนบอลทั่วโลกในวันนั้น ได้เห็นผู้รักษาประตูของทั้งสองฝั่ง ได้ออกแรงป้องกันปบอลไม่ให้เข้าประตูในทุกๆ 5 นาที
ไม่เลวเลยนะครับ กับนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยใบใหญ่ที่สุดของสโมสรยุโรป
มันเป็นนัดชิงยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ในคุณภาพแบบเยอรมัน (สมัยใหม่) ผมคิดว่า มันเข้มข้นใกล้เคียงกับนัดชิงปี 2008 ที่ แมนฯยูเตะเชลซี ช่วยกันสร้างควาทสะเด่าและกระชากอารมณ์กลางสายฝนมอสโคว์ คือ สู้แบบกัน กูไม่กลัว เหมือนมวยที่ซัดกันด้วยหมัดลุ่นๆ สะใจกองเชียร์
ต้องชม ดอร์ทมุนด์ ผู้แพ้ที่วางกลยุทธ์สู้กับบาเยิรืน แบบไม่สนใจสถิติหลายหแหล่ที่ทีมเสือใต้สร้างขึ้นใหม่ในฤดูกาลนี้ ไม่ได้ลงสนามโดยมีความกลัวเป็นที่ตั้งว่าแหนือกว่า เสียแชมป์บุนเดสลีกาบบไม่มีทางสู้ ใน 5 แมทช์ก่อนหน้าที่เจอกันไม่เคยชนะ แล้วยังไง โดนเขี่ยตกรอบเดเอฟเบ โพคาลแล้วยัไง เจอกันอีก 2 นัดของซีซั่นนี้ ข้าไม่เคยแพ้เอ็งเลยก็แล้วกัน
หัวใจแบบเยอรมัน เราได้เห็นกันชัดๆ ตลอด 90 นาทีของเวมบลีย์ 2013 ไม่ต้องโพทะนาให้เปลืองน้ำลาย นักเตะเสือเหลือง และเสือใต้ พกมันลงสนาม
การครอบครองบอล ลักษณะการเข้าทำวินัยในการเล่น การควบคุมอารมณ์ หัวใจนักสู้ และทุกสิ่งทุกอย่าง
ถ้าจะมองหาที่ติ ผมมองไม่เห็ฯจุดที่ต้องติ ทุกคนทำได้สุดยอดทั้งคนในสนามและคนข้างสนาม
มันเป็นคุณภาพระดับสูง เป็นนัดชิงชนะเลิศที่ดูแล้วอิ่ม
ค่าสัมประสิทธิ์ยูฟ่าของสโมสรลูกนหังเยอรัน อาจจะยังอยู่ลำดับสาม รองจากสเปน และอังกฤษ แต่นับเฉพาะฤดูกาลนี้ฤดูกาลเดียว คะนนสัมประสิทธิ์ของบุนเดสลีกาสูงกว่าใคร โดยได้คะแนน 17,928 ลาลีกาได้ 17,714 พรีเมียร์ลีก 16,428 กัลโช่ซีรีย์อา 14,417
เพราะมันเป็นคุณภาพแบบเยอรมัน สองทีมคุ่ชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีก ปีนี้ ทำให้เราเห็สว่า ตารางคะแนนยังไม่เคยโกหกใครเหมือนเดิม
credit : นสพ.สตาร์ซอคเกอร์ โดย ตังกุย
[บทความสโมสรเยอรมัน & UCL 2013-05-01] คุณภาพแบบเยอรมัน – ผู้ชนะที่ยอดเยี่ยม และ ผู้แพ้ที่น่ายกย่อง
ตัวเลขทั้งหลายบนตารางคะแนนบุนเดสลลีกาเตะ 34 นัดเท่ากัน แต่ภาพที่ปรากฏระหว่งบาเยิร์นกับอีก 17 ทีมที่เหลือ ช่างแตกต่างไม่เข้ากัน เหมือนพยายามเอาน้ำไปรวมกับน้ำมัน
จินตนาการไม่ออกเลยครับว่า ต่อให้ยังเป็น จ๊ปป์ ไฮเกซ คุมทีมต่อไป ฤดูกาลนหน้า บาเยิร์นจะดีขนาดนี้ไดยังไง มิพักต้องพูดถึงคนหน้าใหม่ต่อบอลบุนเดสลีกาอย่าง เป๊ป กวาดิโอล่า
ถ้าผมเป็น เป็ป คงเกาหัวแกรกๆ แล้วฮัมเพลงพี่เบลิร์ดซ้ำไปซ้ำมา ว่า ‘ฉันมาทำอะไรที่นี่’ ด้วย
ช่างเป็นเทรนเอร์ที่โชคร้าย ไม่รู้ว่าเขารับตำแหน่งต่อจาก ไฮย์เกส ที่อลิอันซ์ อารีน่า กับที่ ติโต้ บิยาโนว่า รับงานต่อจากเขาที่คัมป์นูนั้น อันไหนสร้างความหนักใจมากกว่ากัน เพราะอย่าลืมว่าเขาอาจเป็น 14 แชมป์ใน 4 ปีที่บาซ่าก็จริง แต่วันที่ส่งต่องานและความกดดันทั้งหลายให้ติโต้นั้น บาเซโลน่าเสียแชมป์ลาลีกาให้รีล มาดริค และเสียแชมป์ยุโรปให้เชลซี ภารกิจของ ติโต้ จึงชัดเจน และง่ายๆ ตรงแต่ว่า กวาดเอาแชมป์พวกนี้กลับมาให้ได้ตามสมควรก็พอ
เหมือนยังมีอะรให้ทำ มีปฏิบัติการท้าทายรออยู่ ความกดดันกับภารกิจนั้นสอดคล้องกัน
หากสำหรับก้าวใหม่ของ เป๊ป ที่มิวนิค ไฮย์เกซไม่ทิ้งอะไรให้เขาต้องไล่ล่าเลย กุนซือผมดอกเลาวัย 68 ปี เดินลงจากลัลลังก์โดยมีถาดแชมป์บุนเดสลีกากับโทรฟี่บิ๊กเอียร์วางไว้ให้แล้ว และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ถ้วยแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ก็จะตามมาแน่ๆ ในสุดสัปดาห์นี้ พร้อมประวัติศาสตร์ทริปเปิ้ลแชมป์สมัยแรกของสโมสรและเป็นทีมแรกของบุนเดสลีกาอีกด้วย
แล้วยังจะเหลืออะไรให้เป๊ปทำอีก ป้องกันแชมป์? ป้องกันทริปเปิ้ลแชมป์? มันไม่น่าตื่นเจ้นกับการล่าแชมป์ที่เสียไปคืน หรือ สานต่อภารกิจที่ยังทำไม่สำเร็จ โจทย์ที่เขารับมาจากไฮย์เกซ จึงยากกว่าโจทย์ที่เขาทิ้งไว้ให้ติโต้ อยู่หลายช่วงตัว
กับตำแหน่งแชมป์ของบาเยิร์น ถามใครเขาก็คงว่าสมควร ทีมที่เขี่ยทีมอย่าง ยูเวนตุส แชมป์อิตาลี และบาร์เซโลน่า แชมป์สเปน ตกรอบด้วยสกอร์รวม 2 นัด เกมศูนย์แบบนี้ (แถมยังยิงได้ 11 ลูกอีกด้วย) ย่อมทรงคุณค่าและคู่ควรกับถ้วยบิ๊กเอียร์เป็นที่สุด
ขณะที่คู่ชิงอย่าง ดอร์ทมุนด์ ก็ไม่มีใครสงสัยในฝีเท้า การเป็นที่ 1 ในกรุ๊ปออฟเดธ และผ่าน เรอัล มาดริค ได้ในรอบตัดเชือก ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ขุมกำลังของเสือเหลือของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้รับเครดิตเต็มรูปแบบ อาจมีสีงที่น่าบ่นน่าเสียดายอยู่บ้างที่อดดูคู่ชิงในฝัน ราชัน v เสือใต้ หรือ ราชัน v บาซ่า แต่ก็ไม่มีเสียยี้เช่นกัน เมื่อมันเป็นฝั่งสีเหลืองทะยานเข้าเวมบลีย์
เป็นคู่ขิงที่เหมาะสมกับผลงานในสนามที่แสดงออกมาตลอดฤดูกาล อาจจะมีหลายคนที่มองว่า นัดชิงจำพวก ออลอิตาลีไฟนัล, ออล อิงลิซ ไฟนัล หรือ ออล สแปนิช ไฟนัล นั้นน่าเบื่อและไม่น่าสนใจเท่าการที่เป็นคู่ชิงเป็นสโมสรจาก 2 ประเทศ แต่เมื่อมับเป็น บาเยิร์น v ดอร์ทมุนด์ขึ้นมาจริงๆ เราก็พยักหน้ายอมรับความเหมาะสมทุกแง่มุมมองของ 2 ทีม
ที่สำคัญ ทั้งคู่ได้ตอกย้ำให้เราเห็นว่า พวกเขาสมควรเข้าชิงมากที่สุดแล้ว เพราะได้ร่วมกันสร้างนัดชิงชนะเลิศที่เข้มข้นเร้าใจอย่างน่าภาคภุมิใจว่า มันสมกับเป็นนัดชิงชนะเลิศชปล. ถึงขนาดที่หากบาเซโลน่าเข้าชิงกับรีล มาดริค เป็นดรีมไฟนัล อย่างที่ใครใฝ่ฝัน มันจะสนุกอย่างนี้หรือเปล่า
มีนัดชิงบิ๊กเอียร์หลายเกมนะครับ ที่ออกแบบรูปแบบเกมให้น่าเบื่อ นัดชิงปี 2000 สเปนเจอกันเองว่าน่าเซ็งแล้ว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสแปนิชกันเอง ที่คู่ชิงของเรอัล มาดริค ดันเป็น บาเลนเซีย ไม่ใช่บาเซโลน่า สกอร์ที่ต้อนกันยับเยิน 3-0 ของทีชุดขาวยิ่งน่าผิดหวังเข้าไปใหญ่ หากนั่นก็ยังไม่เท่ากับนัดชิงปี 2003 อิตาลีชิงกันเอง แต่ เอซี มิลาน กับ ยูเวนตะส ทำให้แฟนบอลหลายหมื่นในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เสียดายเงิน บางคนนั่งสัปหงกรอดูถึงช่วงดวลเป้าตัดสินด้วยซ้ำ
นัดชิงปี 2004 ที่ ปอร์โต้ ต้อน โมนาโก นัดชิงปี 2012 ที่ เชลซี โดนปูพรมอยู่ข้างเดียว แต่สุดท้ายเป็นแชมป์ หรือ ย้อนไปในปี 1993 กับเร้ด สตาร์เบลเกรด กว่าทีแฟนบอลในซานนิโกล่า เบียงคารี่ จะได้เห็นประตูก็ต้องรอหลัง 120 นาที ตอนเข้าสู่ช่วงยิงจุโทษติดสินนั่นแหล่ะ
อารมณ์เซ็งพวกนี้ไม่เกิดในนัดชิงอีกหลายนัด เอซี มิลาน สอนบอลบาเซโลน่า 4-0 ปี 1994, แมนฯยูโค่นบาเยิร์นในช่วงต่อเวลา ปี 1999, ลิเวอร์พูลตามตีเสมอเอซี มิลานในครึ่งหลัง หลังจากตามอยู่ 3-3 จนชนะด้วยจุดโทษ, หรือแชมป์ของ บาร์เซโลน่า ที่กรุงโรมเหนือแมนฯยู 2-0 ในจำนวนนี้ บางเกมอาจมีช่วงน่าเบื่ออยู่บ้าง แต่เรื่องเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นได้เป็นที่พูดถึงและจดจำไปชั่วลูกชั่วหลาน
นัดชิงปี 2013 ที่เวมบลีย์ ไม่ต้องพึ่งพาปาฏิหาริย์มาทำให้ฟตุบอลแมต์นี้พิเศษ คุณภาพของเกมที่ออกมา ความทุ่มเทของนักเตะ 22 คนในสนาม บรรยากาศเสียงเชียร์ของแฟนบอลเฉียดเก้าหมื่นชีวิต
สองทีมจากเยอรมันใช้ ‘คุณภาพ’ ที่อัดแน่นอยู่ในตัวเองมาเป็นจุดขาย ใช้ควมสร้างสรรค์นำหน้า อาศัยเกมรุแพ้วทาง เล่นในปรัชญาดั้งเดิมของตัวเอง ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อหวังคว้าผลลัพท์ในบั้นปลาย ลงสนามด้วยความมั่นใจในขุนผลที่มี โดยเฉพาะดอร์ทมุนด์ที่ขาดเกิทเซ่ และไม่มีใครรู้ว่าฮุมเมิ่ลส์ฟิตแค่ไหน แต่ก็ไม่มียั่น ไม่มีอุด ไม่มีการเอารถบัสมาขวางประตู
เอ็งที ข้าที เอ็งสองที ข้าสามที เป็นนัดชิงชนะเลิศที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว เปิดเกมบำกแลกกันตั้งแต่แรก สปีตบอลรวดเร็ว โอกาสทำประตูเพียบ นายทวารเซฟล้วนๆ นักเตะวิ่งเหมือนม้า ไม่มีแกล้งเจ็บ ไม่มีถ่วงเวลา ดูแล้วชอบ ดูแล้วชื่นชม ดูแล้วอิ่มเอม กับคนที่รักฟุตบอล พวกเขาคงไม่หวังอะไรไปมากกว่านี้ สำหรับนัดชิงชนะเลิศที่มีความสำคัญขนาดนี้สักนัด
โอกาสทำประตูรวมกันอง บาเยิร์น และ ดอร์ทมุนด์ ที่เวมบลีย์ คือ 26 ครั้ง เป็นฝั่งเสือใต้ 14 ครั้ง เสือเหลือง 12 ครั้ง ยิงตรงกรอบรวมกัน 17 หน หรือราว 70% ในส่วนของความแม่นยำ เท่ากับโดยเฉลี่ยแล้ว แฟนบอลทั่วโลกในวันนั้น ได้เห็นผู้รักษาประตูของทั้งสองฝั่ง ได้ออกแรงป้องกันปบอลไม่ให้เข้าประตูในทุกๆ 5 นาที
ไม่เลวเลยนะครับ กับนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยใบใหญ่ที่สุดของสโมสรยุโรป
มันเป็นนัดชิงยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ในคุณภาพแบบเยอรมัน (สมัยใหม่) ผมคิดว่า มันเข้มข้นใกล้เคียงกับนัดชิงปี 2008 ที่ แมนฯยูเตะเชลซี ช่วยกันสร้างควาทสะเด่าและกระชากอารมณ์กลางสายฝนมอสโคว์ คือ สู้แบบกัน กูไม่กลัว เหมือนมวยที่ซัดกันด้วยหมัดลุ่นๆ สะใจกองเชียร์
ต้องชม ดอร์ทมุนด์ ผู้แพ้ที่วางกลยุทธ์สู้กับบาเยิรืน แบบไม่สนใจสถิติหลายหแหล่ที่ทีมเสือใต้สร้างขึ้นใหม่ในฤดูกาลนี้ ไม่ได้ลงสนามโดยมีความกลัวเป็นที่ตั้งว่าแหนือกว่า เสียแชมป์บุนเดสลีกาบบไม่มีทางสู้ ใน 5 แมทช์ก่อนหน้าที่เจอกันไม่เคยชนะ แล้วยังไง โดนเขี่ยตกรอบเดเอฟเบ โพคาลแล้วยัไง เจอกันอีก 2 นัดของซีซั่นนี้ ข้าไม่เคยแพ้เอ็งเลยก็แล้วกัน
หัวใจแบบเยอรมัน เราได้เห็นกันชัดๆ ตลอด 90 นาทีของเวมบลีย์ 2013 ไม่ต้องโพทะนาให้เปลืองน้ำลาย นักเตะเสือเหลือง และเสือใต้ พกมันลงสนาม
การครอบครองบอล ลักษณะการเข้าทำวินัยในการเล่น การควบคุมอารมณ์ หัวใจนักสู้ และทุกสิ่งทุกอย่าง
ถ้าจะมองหาที่ติ ผมมองไม่เห็ฯจุดที่ต้องติ ทุกคนทำได้สุดยอดทั้งคนในสนามและคนข้างสนาม
มันเป็นคุณภาพระดับสูง เป็นนัดชิงชนะเลิศที่ดูแล้วอิ่ม
ค่าสัมประสิทธิ์ยูฟ่าของสโมสรลูกนหังเยอรัน อาจจะยังอยู่ลำดับสาม รองจากสเปน และอังกฤษ แต่นับเฉพาะฤดูกาลนี้ฤดูกาลเดียว คะนนสัมประสิทธิ์ของบุนเดสลีกาสูงกว่าใคร โดยได้คะแนน 17,928 ลาลีกาได้ 17,714 พรีเมียร์ลีก 16,428 กัลโช่ซีรีย์อา 14,417
เพราะมันเป็นคุณภาพแบบเยอรมัน สองทีมคุ่ชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีก ปีนี้ ทำให้เราเห็สว่า ตารางคะแนนยังไม่เคยโกหกใครเหมือนเดิม
credit : นสพ.สตาร์ซอคเกอร์ โดย ตังกุย