ต้องขออนุญาติตั้งกระทู้ถึงเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง
ติดตามสองกระทู้นี้มาซักพัก ไม่สบายใจ ตอนแรกลังเลว่าควรจะยุ่งเกี่ยวหรือไม่ แต่ผมคิดว่าผมควรจะปกป้องพระศาสนาและพระศาสดา ไม่ให้เข้าสู่้ยุคเสื่อมเร็วเกินไปนัก
ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้ตั้งมาเพื่อตำหนิคุณเด็กกล่องและคนอื่นๆที่เห็นทางเดียวกันนะครับ เพียงต้องการชี้แจงเท่านั้น ผมเข้าใจถึงความสงสัยของคุณ แต่โปรดอ่านและพิจารณาดูก่อนนะครับ
อย่างแรกผมชื่นชมคือคุณเด็กกล่องเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ หัดสงสัยตั้งคำถาม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกแล้ว เพราะศาสนาพุทธก็ไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆเช่นกัน ตามหลักกาลามสูตร คุณคงศรัทธาในทางวิทยาศาสตร์มาก
แต่สิ่งที่ไม่เห็นด้วยคือ คุณยังไม่ได้ไตร่ตรอง ทดลอง พิสูจน์ ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่คุณเชื่อมากต่อพุทธศาสนา คุณก็เอามาเผยแพร่ ตำหนิซะแล้ว คุณต้องเข้าใจก่อนว่าศาสนาพุทธดำรงอยู่นานถึงเกือบ2600ปีแล้ว มีการแตกแขนงไปในหลายทางเป็นนิกายต่างๆ แม้จะหลากหลายแนวทาง แต่แก่นยังอยู่คือพระนิพพาน
ผมมองว่าศาสนามีการปรับแต่ง"เปลือก"ตลอดเวลาครับ
ศาสนากับการเมืองบางทีก็ต้องเดินไปในแนวทางเดียวกันในการเผยแผ่ศาสนา ผมคิดว่ายุคแรกเริ่มของอินเดียยังเต็มไปด้วยอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ ในการเผยแผ่ก็ต้องใช้เรื่องเล่าที่มีพลังบ้าง โดยสาวกเป็นผู้สร้างเรื่องราวขึ้น เช่น สร้างปาฎิหาริย์ให้พระพุทธเจ้า ประสูติแล้วดำเนินได้7ก้าว หรือปาฎิหาริย์อื่นๆ(ตรงนี้ผมก็ยังพิสูจน์ไม่ได้เช่นกันครับว่ามีจริงหรือไม่) พอเผยแผ่ไปตามประเทศต่างๆ ก็มีการแต่งเป็นเรื่องราวต่างๆตามแต่ประเทศนั้นๆ โดยสาวก หรืออื่นๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงและเผยแผ่ศาสนา แต่แก่นยังอยู่นะครับ
จนถึงปัจจุบัน เราอยู่ในยุควัตถุนิยม ความเร็ว ฟาสฟู้ด การแข่งสร้างวัดต่างๆให้โออ่าใหญ่โต ทำกุศโลบายต่างๆว่าทำบุญ บริจาคเงินจะได้บุญ อานิสงค์นั่นนี่ เพื่อดึงดูดให้คนเข้าวัดเยอะๆ คุณเองอาจจะไม่ชอบจุดนี้ มองเห็นความเสื่อมและไม่เป็นเหตุผลเอาซะเลยก็ได้
ซึ่งเหล่านี้คือการพัฒนา"เปลือก"ของศาสนา
แต่"แก่น"ของศาสนาพุทธไม่เคยเปลี่ยนจากเมื่อ2600ปีก่อน
(ถ้าคุณอ่านถึงตรงนี้ อัตตาคุณอาจเริ่มโตขึ้นๆ เกิดความคิดแล้วเรื่องที่ยังพิสูจน์ไม่ได้นั่นนี่ที่ระบุในพระไตรปิฎกละ ปรุงแต่งเป็นโทสะจิต ตอนนี้คุณเป็นทุกข์แล้วลองสังเกตดูนะครับ)
ซึ่งจริงๆศาสนาพุทธ ลึกซึ้งมากๆ เป็นศาสนาแห่งการปฎิบัติโดยแท้จริง คุณไม่มีทางลัดจากการอ่านหนังสือหรือคิดไปเองเท่านั้นแน่นอน คุณต้องฝึก ปฎิบัติตน พิสูจน์ด้วยตัวเองเท่านั้น จนสำเร็จเป็นขั้นๆ ผมอยากให้คุณเด็กกล่องรวมถึงคนอื่นๆที่เห็นไปในทางเดียวกันลองเปิดใจให้กว้างก่อนครับ อย่าเพิ่งไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้ เช่น ชาติหน้า ชาติก่อน บุญ บาปกรรม วิญญาณ หรืออื่นๆ ลองศึกษาจากพื้นฐาน อริยสัจสี่ อิทธิบาท4 มรรคองค์8 ธรรมพื้นฐานอื่นๆ อย่างที่เราเคยเรียนๆกันสมัยมัธยมนั่นละครับ คุณลองศึกษาดูและไตรตรองว่าจริงหรือป่าว แล้วค่อยๆลองสูงขี้นทีละขั้น ลองศึกษาหนังสือของพุทธทาส หลวงปู่ชา หลวงปู่มั่น หรือพระอริยสงฆ์ท่านอื่นๆ ถ้าคุณพยายามมากพอคุณจะได้คำตอบเองครับ
และพุทธศาสนาไม่เคยปฎิเสธวิทยาศาสตร์ ผมอยู่รอดทางกายมาได้เพราะวิทยาศาสตร์ แต่ผมอยู่รอดทางใจมาได้ด้วยธรรม สองสิ่งนี้เกื้อหนุนกัน ในวันที่คุณทุกข์ที่สุดเรื่องของวิทยาศาสตร์ต่างๆอาจจะสามารถช่วยคุณได้แค่ชั่วคราวหรือไม่ได้เลย แต่เรื่องธรรมมะช่วยคุณได้ถาวร ผมคิดว่าคงไม่ต้องยกตัวอย่างคุณก็น่าจะสังเกตได้ ถ้าคุณอ่านหนังสือบุคคลที่ประสบความสำเร็จ คนที่ผ่านความทุกข์แสนสาหัสมาได้ก็ด้วยธรรมทั้งนั้น เช่นเดียวกัน คุณเด็กกล่องและคนอื่นๆคงจะเป็นทุกข์จากที่โดนตำหนิ ความโกรธ อัตตา จากการตั้งกระทู้และคอยโต้ตอบตลอดเวลา นี่คือความทุกข์พื้นฐานที่สุดของมนุษย์ คุณยังหนีมันไม่พ้นด้วยวิทยาศาสตร์เลย
สุดท้ายแล้วผมทำได้เท่านี้จริงๆ จะเป็นอย่างไรต่อไปคุณก็เป็นคนทำขึ้นมาและรับผลของการกระทำเอง กรรมใครกรรมมัน อันนี้ผมพูดในแง่ตรรกะ
โชคดีครับ
จากกระทู้ตายแล้วสูญของคุณเด็กกล่อง
ติดตามสองกระทู้นี้มาซักพัก ไม่สบายใจ ตอนแรกลังเลว่าควรจะยุ่งเกี่ยวหรือไม่ แต่ผมคิดว่าผมควรจะปกป้องพระศาสนาและพระศาสดา ไม่ให้เข้าสู่้ยุคเสื่อมเร็วเกินไปนัก
ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้ตั้งมาเพื่อตำหนิคุณเด็กกล่องและคนอื่นๆที่เห็นทางเดียวกันนะครับ เพียงต้องการชี้แจงเท่านั้น ผมเข้าใจถึงความสงสัยของคุณ แต่โปรดอ่านและพิจารณาดูก่อนนะครับ
อย่างแรกผมชื่นชมคือคุณเด็กกล่องเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ หัดสงสัยตั้งคำถาม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกแล้ว เพราะศาสนาพุทธก็ไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆเช่นกัน ตามหลักกาลามสูตร คุณคงศรัทธาในทางวิทยาศาสตร์มาก
แต่สิ่งที่ไม่เห็นด้วยคือ คุณยังไม่ได้ไตร่ตรอง ทดลอง พิสูจน์ ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่คุณเชื่อมากต่อพุทธศาสนา คุณก็เอามาเผยแพร่ ตำหนิซะแล้ว คุณต้องเข้าใจก่อนว่าศาสนาพุทธดำรงอยู่นานถึงเกือบ2600ปีแล้ว มีการแตกแขนงไปในหลายทางเป็นนิกายต่างๆ แม้จะหลากหลายแนวทาง แต่แก่นยังอยู่คือพระนิพพาน
ผมมองว่าศาสนามีการปรับแต่ง"เปลือก"ตลอดเวลาครับ
ศาสนากับการเมืองบางทีก็ต้องเดินไปในแนวทางเดียวกันในการเผยแผ่ศาสนา ผมคิดว่ายุคแรกเริ่มของอินเดียยังเต็มไปด้วยอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ ในการเผยแผ่ก็ต้องใช้เรื่องเล่าที่มีพลังบ้าง โดยสาวกเป็นผู้สร้างเรื่องราวขึ้น เช่น สร้างปาฎิหาริย์ให้พระพุทธเจ้า ประสูติแล้วดำเนินได้7ก้าว หรือปาฎิหาริย์อื่นๆ(ตรงนี้ผมก็ยังพิสูจน์ไม่ได้เช่นกันครับว่ามีจริงหรือไม่) พอเผยแผ่ไปตามประเทศต่างๆ ก็มีการแต่งเป็นเรื่องราวต่างๆตามแต่ประเทศนั้นๆ โดยสาวก หรืออื่นๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงและเผยแผ่ศาสนา แต่แก่นยังอยู่นะครับ
จนถึงปัจจุบัน เราอยู่ในยุควัตถุนิยม ความเร็ว ฟาสฟู้ด การแข่งสร้างวัดต่างๆให้โออ่าใหญ่โต ทำกุศโลบายต่างๆว่าทำบุญ บริจาคเงินจะได้บุญ อานิสงค์นั่นนี่ เพื่อดึงดูดให้คนเข้าวัดเยอะๆ คุณเองอาจจะไม่ชอบจุดนี้ มองเห็นความเสื่อมและไม่เป็นเหตุผลเอาซะเลยก็ได้
ซึ่งเหล่านี้คือการพัฒนา"เปลือก"ของศาสนา
แต่"แก่น"ของศาสนาพุทธไม่เคยเปลี่ยนจากเมื่อ2600ปีก่อน
(ถ้าคุณอ่านถึงตรงนี้ อัตตาคุณอาจเริ่มโตขึ้นๆ เกิดความคิดแล้วเรื่องที่ยังพิสูจน์ไม่ได้นั่นนี่ที่ระบุในพระไตรปิฎกละ ปรุงแต่งเป็นโทสะจิต ตอนนี้คุณเป็นทุกข์แล้วลองสังเกตดูนะครับ)
ซึ่งจริงๆศาสนาพุทธ ลึกซึ้งมากๆ เป็นศาสนาแห่งการปฎิบัติโดยแท้จริง คุณไม่มีทางลัดจากการอ่านหนังสือหรือคิดไปเองเท่านั้นแน่นอน คุณต้องฝึก ปฎิบัติตน พิสูจน์ด้วยตัวเองเท่านั้น จนสำเร็จเป็นขั้นๆ ผมอยากให้คุณเด็กกล่องรวมถึงคนอื่นๆที่เห็นไปในทางเดียวกันลองเปิดใจให้กว้างก่อนครับ อย่าเพิ่งไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้ เช่น ชาติหน้า ชาติก่อน บุญ บาปกรรม วิญญาณ หรืออื่นๆ ลองศึกษาจากพื้นฐาน อริยสัจสี่ อิทธิบาท4 มรรคองค์8 ธรรมพื้นฐานอื่นๆ อย่างที่เราเคยเรียนๆกันสมัยมัธยมนั่นละครับ คุณลองศึกษาดูและไตรตรองว่าจริงหรือป่าว แล้วค่อยๆลองสูงขี้นทีละขั้น ลองศึกษาหนังสือของพุทธทาส หลวงปู่ชา หลวงปู่มั่น หรือพระอริยสงฆ์ท่านอื่นๆ ถ้าคุณพยายามมากพอคุณจะได้คำตอบเองครับ
และพุทธศาสนาไม่เคยปฎิเสธวิทยาศาสตร์ ผมอยู่รอดทางกายมาได้เพราะวิทยาศาสตร์ แต่ผมอยู่รอดทางใจมาได้ด้วยธรรม สองสิ่งนี้เกื้อหนุนกัน ในวันที่คุณทุกข์ที่สุดเรื่องของวิทยาศาสตร์ต่างๆอาจจะสามารถช่วยคุณได้แค่ชั่วคราวหรือไม่ได้เลย แต่เรื่องธรรมมะช่วยคุณได้ถาวร ผมคิดว่าคงไม่ต้องยกตัวอย่างคุณก็น่าจะสังเกตได้ ถ้าคุณอ่านหนังสือบุคคลที่ประสบความสำเร็จ คนที่ผ่านความทุกข์แสนสาหัสมาได้ก็ด้วยธรรมทั้งนั้น เช่นเดียวกัน คุณเด็กกล่องและคนอื่นๆคงจะเป็นทุกข์จากที่โดนตำหนิ ความโกรธ อัตตา จากการตั้งกระทู้และคอยโต้ตอบตลอดเวลา นี่คือความทุกข์พื้นฐานที่สุดของมนุษย์ คุณยังหนีมันไม่พ้นด้วยวิทยาศาสตร์เลย
สุดท้ายแล้วผมทำได้เท่านี้จริงๆ จะเป็นอย่างไรต่อไปคุณก็เป็นคนทำขึ้นมาและรับผลของการกระทำเอง กรรมใครกรรมมัน อันนี้ผมพูดในแง่ตรรกะ
โชคดีครับ