วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญสากลของโลก ควรน้อมปฏิบัติ
วันวิสาขบูชา เป็น "วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล" ของชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก เป็นวัน
สำคัญของโลก ตามมติเอกฉันท์ของที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ เพราะเป็นวันคล้ายวันที่เกิด
เหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา ๓ เหตุการณ์ด้วยกัน คือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ, ตรัสรู้
และปรินิพพาน แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในเมื่อวันวิสาขบูชา เป็นวันที่ได้รับการยอมรับ และยกย่องจากบุคคลทั่วโลกแล้ว เราชาวพุทธ
ยิ่งต้อง สำรวจ ตรวจสอบ สอบสวน เทียบเคียง ให้ปรากฎข้อเท็จจริงปรากฎขึ้นมา เพื่อยังพระ
สัทธรรมให้ดำรงคงอยู่ตลอดไปอีกยาวนาน
สิ่งที่ได้เกิดขึ้นและผ่านพ้นมาอย่างยาวนานนั้น มักต้องมีสิ่งแปลกปลอมปนเปื้อนเข้ามาไม่มาก
ก็น้อย ยิ่งในรุ่นต่อๆมาในภายหลัง ที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องหัวใจพระพุทธศาสนาเลย ยิ่งทำให้
ความเข้าใจนั้นจืดจางลง และสูญหายไปตามกาลเวลา
พระธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้เองโดยชอบมานั้น เป็นธรรมอันลุ่มลึก ยากที่จะเห็น ยากที่
จะรู้ เป็นธรรมเพื่อความสงบระงับ ประณีต
ไม่ใช่ธรรมที่จะหยั่งถึงได้ด้วยความตรึก เป็นธรรม
ที่ละเอียด บัณฑิตจึงจะรู้ได้
ได้ลองตั้งข้อสังเกตดู ปรากฎว่า เป็นเรื่องแปลกแต่จริง มีสิ่งหนึ่งที่ประจักษ์แก่สายตา คือผู้ที่
ศึกษาปฏิบัติธรรมะอยู่ในปัจจุบันนี้ ล้วนมีความเก่งกาจรู้จักการเก็บงำกิเลสของตนเองเอาไว้ได้
เนียนขึ้น แต่กลับไม่รู้จักการวิธีปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนา เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ เพื่อขจัด
สลัด สำรอกปล่อยวางกิเลสให้หมดไปจากจิตของตน
เพียงรู้จักจัดการสั่งสมเก็บงำอารมณ์ได้ดีขึ้น เช่น สามารถเก็บงำอารมณ์กิเลสทั้งหลาย ที่เกิด
จากความรู้สึกนึกคิดณ.ภายในของตนได้เป็นอย่างดี และทำได้เนียนมากยิ่งขึ้น ไม่แสดงอาการ
ของจิตที่กระเพื่อมปรากฎออกมา ทางกาย วาจาให้ใครเห็นได้ง่ายๆ แต่ภายในจิตใจของตนเอง
นั้น กลับร้อนลุ่มเหมือนมีไฟสุมอยู่ตลอดเวลาที่เก็บงำอารมณ์เหล่านั้นไว้
เพราะอะไร? เพราะผู้ที่ศึกษาปฏิบัติธรรมะรุ่นใหม่ๆในปัจจุบัน ชอบอะไรที่ง่ายๆ สบายๆ และ
ลัดสั้น ล้วนสำเร็จมรรคผลด้วยความรู้สึกนึกคิด ที่ได้มาจากสุตะมยปัญญา และจินตมยปัญญา
เท่านั้น โดยนำเอาสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟังจากอัตโนมัติอาจารย์ หรือ ศึกษามาจากตำรา แล้วเอาสิ่งที่
ว่ามานั้น นำมาคิดแล้วคิดเล่าเฝ้าแต่คิด จนจิตเพลินยิ่งเข้าไปในอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้น
จนความรู้สึกนึกคิดที่ว่าได้ตกผลึกลงตามกาลเวลา กลายเป็นวิปัสสนึกที่เกิดขึ้นเอง มีขึ้นมาใน
ตน จนสำคัญตนเองผิดไปจากความเป็นจริงที่คิดเองเออเองไปว่า ตนได้บรรลุธรรมชั้นสูงแล้ว
จากวิปัสสนึกที่ตนได้อุปโลกน์ขึ้นมาเอง
เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะคนในปัจจุบันนี้ ล้วนขาดสำนึกในตนเอง เรื่อง "ความซื่อสัตย์"
โดยเฉพาะ "ความซื่อสัตย์ต่อตนเอง"แล้ว ไม่ต้องไปหา ยากมาก แค่เรื่องง่ายๆ ที่ต้องซื่อสัตย์ต่อ
ตนเองในทางปฏิบัติ ยังทำกันไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องไปหา
"สัจธรรมความจริง" หรือ ที่เรียกว่า "อริยสัจ"
เลย เมื่อขาดรากฐานอันนำมาสู่พื้นฐานที่ถูกต้องตามความเป็นจริงเสียแล้ว ยังจะหวังมรรคผล
นิพพานที่เกิดจากการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาได้อีกหรือ?
นี่คือความเสื่อมถอย เสียหายต่อพระพุทธศาสนาที่ปรากฎให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน กลายเป็นว่า
ศาสนาพุทธสอนแต่เรื่องโกหกพกลม คือ เอาเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง มาพูดมาสอนกัน เพราะความ
เชื่อที่มีตามๆกันมาว่า อะไรๆก็ไม่มี อะไรๆก็ไม่ใช่ทั้งนั้น มีจริงแท้แน่นอน (ปรมัติ) อยู่เพียงอย่าง
เดียว คือ "พระนิพพาน"
เมื่อถูกผู้สนใจศึกษาสงสัยสอบถามว่า ในเมื่ออะไรๆ ในโลกนี้ ล้วนเป็นของเหลวไหลไม่มีอยู่จริง
แล้ว พระนิพพานที่เป็นอมตะธรรมโผล่มาจากไหน? ทั้งๆที่ พระนิพพานเป็นเพียงคุณลักษณะ
อย่างหนึ่งเท่านั้น คือ ความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ อะไรก็ตามที่เป็นคุณลักษณะ จะต้องมี
สิ่งที่รองรับคุณลักษณะนั้น ว่าเป็นคุณลักษณะของอะไร?
และยังมีคำถามต่อมาว่า แล้วพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ได้อย่างไรว่า พระองค์ได้ทรงสิ้นแล้ว ซึ่ง
ราคะ โทสะ โมหะ บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหา เมื่อยังมีการสอนกันว่า มีเพียงพระนิพพาน
เท่านั้นที่มีอยู่จริง นอกนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงสมมุติ แล้วที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่ารู้
นั้น ธาตุรู้ที่เป็นธรรมธาตุมีอยู่จริงหรือไม่? ทั้งๆที่มีพระพุทธวจนะ จากครั้งที่พระพุทธองค์ทรง
ตรัสรู้ใหม่ๆ พระพุทธอุทานไว้ว่า
"วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ตณฺหานํ อคฺขยมฌฺชคา = จิตของเราสิ้นการ
ปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหา" และมีพระพุทธพจน์อื่นๆ รับรองไว้อีก อาทิ
"ก็แหละ
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสคำเป็นไวยากรณ์นี้อยู่ จิตของท่านพระราหุลหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้ง
หลาย เพราะไม่ถือมั่น"
นี่เป็นเพียงแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น ที่น่าหนักใจไปกว่านี้ ที่ยังมีปรากฎให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน คือ
พวกที่ชอบแอบอ้าง สร้างภาพ อวดตนเองว่า ได้มรรคผลแล้วในชั้นต่างๆ ที่ไม่มีอยู่จริงในตน ที่
เรียกว่า "อวดอุตริมนุษยธรรม" เป็นสิ่งแก้ได้ยากมากๆ เพราะคนจำพวกนี้มักไม่มีความซื่อสัตย์
ต่อตนเองตามความเป็นจริงเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว และมักละเมิดศีลที่เป็นข้อห้ามได้ง่าย
เพราะขาดความซื่อสัตย์ต่อตนเอง เลยวิรัติศีลไม่เป็น จึงไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรมที่ตนเองได้
กระทำลงไป ยิ่งเป็นพวกฆราวาสหัวดำแล้ว มักมีข้ออ้างว่า ตนเองไม่ใช่พระ จะปรับอาบัติไม่ได้
แต่ลืมไปว่า การอวดอุตริมนุษยธรรม หรือ ที่เรียกว่าการ"ไม่มีซื่อสัตย์ต่อตนเอง"นั้น ก็เป็นสิ่งที่ตน
เองได้ถูกลงโทษสูงสุด จากการที่ตนเองไม่มีความซื่อสัตย์ ย่อมทำให้ขาดจากสัจธรรมความจริง
คือ "อริยสัจ" นั่นเอง
วันวิสาขบูชานี้ พวกเราชาวพุทธควรที่จะเปิดใจให้กว้าง เพื่อสำรวจ ตรวจสอบ สอบสวน เทียบ
เคียง ให้ชัดๆลงไปว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้เรื่องอะไรด้วยพระองค์เอง อย่าเพิ่งเชื่อตามตำรา
ที่มีอยู่ก่อนแล้ว และอย่าเพิ่งปฏิเสธตำราเช่นกัน ควรตั้งใจฟัง นำเอามาตั้งใจศึกษาด้วยดีเสียก่อน
และที่สำคัญพระพุทธองค์ได้ทรงเน้นยำเอาไว้ว่า ให้นำสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง และตั้งใจศึกษาด้วยดี
มาสมาทานเพื่อปฏิบัติลงมือจริงจัง เพื่อพิสูจน์ผล เมื่อปรากฎผลออกมาเห็นว่าดี มีประโยชน์ ผู้รู้
ไม่ติเตียน ค่อยเชื่อก็ยังไม่สาย แม้พระพุทธองค์เองในวันที่จะทรงตรัสรู้นั้น พระพุทธองค์ก็
สมาทานปฏิบัติภาวนา ทรงปฏิญาณตนไว้ว่า
"แม้วันนี้ เราไม่ตรัสรู้ ต่อให้ร่างกายเลือดเนื้อจะ
เหือดแห้งไป เราก็จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้"
เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ธรรมภูต
วันวิสาขบูชา ที่ควรน้อมนำมาปฏิบัติ
วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญสากลของโลก ควรน้อมปฏิบัติ
วันวิสาขบูชา เป็น "วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล" ของชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก เป็นวัน
สำคัญของโลก ตามมติเอกฉันท์ของที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ เพราะเป็นวันคล้ายวันที่เกิด
เหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา ๓ เหตุการณ์ด้วยกัน คือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ, ตรัสรู้
และปรินิพพาน แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในเมื่อวันวิสาขบูชา เป็นวันที่ได้รับการยอมรับ และยกย่องจากบุคคลทั่วโลกแล้ว เราชาวพุทธ
ยิ่งต้อง สำรวจ ตรวจสอบ สอบสวน เทียบเคียง ให้ปรากฎข้อเท็จจริงปรากฎขึ้นมา เพื่อยังพระ
สัทธรรมให้ดำรงคงอยู่ตลอดไปอีกยาวนาน
สิ่งที่ได้เกิดขึ้นและผ่านพ้นมาอย่างยาวนานนั้น มักต้องมีสิ่งแปลกปลอมปนเปื้อนเข้ามาไม่มาก
ก็น้อย ยิ่งในรุ่นต่อๆมาในภายหลัง ที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องหัวใจพระพุทธศาสนาเลย ยิ่งทำให้
ความเข้าใจนั้นจืดจางลง และสูญหายไปตามกาลเวลา
พระธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้เองโดยชอบมานั้น เป็นธรรมอันลุ่มลึก ยากที่จะเห็น ยากที่
จะรู้ เป็นธรรมเพื่อความสงบระงับ ประณีต ไม่ใช่ธรรมที่จะหยั่งถึงได้ด้วยความตรึก เป็นธรรม
ที่ละเอียด บัณฑิตจึงจะรู้ได้
ได้ลองตั้งข้อสังเกตดู ปรากฎว่า เป็นเรื่องแปลกแต่จริง มีสิ่งหนึ่งที่ประจักษ์แก่สายตา คือผู้ที่
ศึกษาปฏิบัติธรรมะอยู่ในปัจจุบันนี้ ล้วนมีความเก่งกาจรู้จักการเก็บงำกิเลสของตนเองเอาไว้ได้
เนียนขึ้น แต่กลับไม่รู้จักการวิธีปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนา เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ เพื่อขจัด
สลัด สำรอกปล่อยวางกิเลสให้หมดไปจากจิตของตน
เพียงรู้จักจัดการสั่งสมเก็บงำอารมณ์ได้ดีขึ้น เช่น สามารถเก็บงำอารมณ์กิเลสทั้งหลาย ที่เกิด
จากความรู้สึกนึกคิดณ.ภายในของตนได้เป็นอย่างดี และทำได้เนียนมากยิ่งขึ้น ไม่แสดงอาการ
ของจิตที่กระเพื่อมปรากฎออกมา ทางกาย วาจาให้ใครเห็นได้ง่ายๆ แต่ภายในจิตใจของตนเอง
นั้น กลับร้อนลุ่มเหมือนมีไฟสุมอยู่ตลอดเวลาที่เก็บงำอารมณ์เหล่านั้นไว้
เพราะอะไร? เพราะผู้ที่ศึกษาปฏิบัติธรรมะรุ่นใหม่ๆในปัจจุบัน ชอบอะไรที่ง่ายๆ สบายๆ และ
ลัดสั้น ล้วนสำเร็จมรรคผลด้วยความรู้สึกนึกคิด ที่ได้มาจากสุตะมยปัญญา และจินตมยปัญญา
เท่านั้น โดยนำเอาสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟังจากอัตโนมัติอาจารย์ หรือ ศึกษามาจากตำรา แล้วเอาสิ่งที่
ว่ามานั้น นำมาคิดแล้วคิดเล่าเฝ้าแต่คิด จนจิตเพลินยิ่งเข้าไปในอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้น
จนความรู้สึกนึกคิดที่ว่าได้ตกผลึกลงตามกาลเวลา กลายเป็นวิปัสสนึกที่เกิดขึ้นเอง มีขึ้นมาใน
ตน จนสำคัญตนเองผิดไปจากความเป็นจริงที่คิดเองเออเองไปว่า ตนได้บรรลุธรรมชั้นสูงแล้ว
จากวิปัสสนึกที่ตนได้อุปโลกน์ขึ้นมาเอง
เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะคนในปัจจุบันนี้ ล้วนขาดสำนึกในตนเอง เรื่อง "ความซื่อสัตย์"
โดยเฉพาะ "ความซื่อสัตย์ต่อตนเอง"แล้ว ไม่ต้องไปหา ยากมาก แค่เรื่องง่ายๆ ที่ต้องซื่อสัตย์ต่อ
ตนเองในทางปฏิบัติ ยังทำกันไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องไปหา "สัจธรรมความจริง" หรือ ที่เรียกว่า "อริยสัจ"
เลย เมื่อขาดรากฐานอันนำมาสู่พื้นฐานที่ถูกต้องตามความเป็นจริงเสียแล้ว ยังจะหวังมรรคผล
นิพพานที่เกิดจากการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาได้อีกหรือ?
นี่คือความเสื่อมถอย เสียหายต่อพระพุทธศาสนาที่ปรากฎให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน กลายเป็นว่า
ศาสนาพุทธสอนแต่เรื่องโกหกพกลม คือ เอาเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง มาพูดมาสอนกัน เพราะความ
เชื่อที่มีตามๆกันมาว่า อะไรๆก็ไม่มี อะไรๆก็ไม่ใช่ทั้งนั้น มีจริงแท้แน่นอน (ปรมัติ) อยู่เพียงอย่าง
เดียว คือ "พระนิพพาน"
เมื่อถูกผู้สนใจศึกษาสงสัยสอบถามว่า ในเมื่ออะไรๆ ในโลกนี้ ล้วนเป็นของเหลวไหลไม่มีอยู่จริง
แล้ว พระนิพพานที่เป็นอมตะธรรมโผล่มาจากไหน? ทั้งๆที่ พระนิพพานเป็นเพียงคุณลักษณะ
อย่างหนึ่งเท่านั้น คือ ความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ อะไรก็ตามที่เป็นคุณลักษณะ จะต้องมี
สิ่งที่รองรับคุณลักษณะนั้น ว่าเป็นคุณลักษณะของอะไร?
และยังมีคำถามต่อมาว่า แล้วพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ได้อย่างไรว่า พระองค์ได้ทรงสิ้นแล้ว ซึ่ง
ราคะ โทสะ โมหะ บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหา เมื่อยังมีการสอนกันว่า มีเพียงพระนิพพาน
เท่านั้นที่มีอยู่จริง นอกนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงสมมุติ แล้วที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่ารู้
นั้น ธาตุรู้ที่เป็นธรรมธาตุมีอยู่จริงหรือไม่? ทั้งๆที่มีพระพุทธวจนะ จากครั้งที่พระพุทธองค์ทรง
ตรัสรู้ใหม่ๆ พระพุทธอุทานไว้ว่า "วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ตณฺหานํ อคฺขยมฌฺชคา = จิตของเราสิ้นการ
ปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหา" และมีพระพุทธพจน์อื่นๆ รับรองไว้อีก อาทิ "ก็แหละ
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสคำเป็นไวยากรณ์นี้อยู่ จิตของท่านพระราหุลหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้ง
หลาย เพราะไม่ถือมั่น"
นี่เป็นเพียงแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น ที่น่าหนักใจไปกว่านี้ ที่ยังมีปรากฎให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน คือ
พวกที่ชอบแอบอ้าง สร้างภาพ อวดตนเองว่า ได้มรรคผลแล้วในชั้นต่างๆ ที่ไม่มีอยู่จริงในตน ที่
เรียกว่า "อวดอุตริมนุษยธรรม" เป็นสิ่งแก้ได้ยากมากๆ เพราะคนจำพวกนี้มักไม่มีความซื่อสัตย์
ต่อตนเองตามความเป็นจริงเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว และมักละเมิดศีลที่เป็นข้อห้ามได้ง่าย
เพราะขาดความซื่อสัตย์ต่อตนเอง เลยวิรัติศีลไม่เป็น จึงไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรมที่ตนเองได้
กระทำลงไป ยิ่งเป็นพวกฆราวาสหัวดำแล้ว มักมีข้ออ้างว่า ตนเองไม่ใช่พระ จะปรับอาบัติไม่ได้
แต่ลืมไปว่า การอวดอุตริมนุษยธรรม หรือ ที่เรียกว่าการ"ไม่มีซื่อสัตย์ต่อตนเอง"นั้น ก็เป็นสิ่งที่ตน
เองได้ถูกลงโทษสูงสุด จากการที่ตนเองไม่มีความซื่อสัตย์ ย่อมทำให้ขาดจากสัจธรรมความจริง
คือ "อริยสัจ" นั่นเอง
วันวิสาขบูชานี้ พวกเราชาวพุทธควรที่จะเปิดใจให้กว้าง เพื่อสำรวจ ตรวจสอบ สอบสวน เทียบ
เคียง ให้ชัดๆลงไปว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้เรื่องอะไรด้วยพระองค์เอง อย่าเพิ่งเชื่อตามตำรา
ที่มีอยู่ก่อนแล้ว และอย่าเพิ่งปฏิเสธตำราเช่นกัน ควรตั้งใจฟัง นำเอามาตั้งใจศึกษาด้วยดีเสียก่อน
และที่สำคัญพระพุทธองค์ได้ทรงเน้นยำเอาไว้ว่า ให้นำสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง และตั้งใจศึกษาด้วยดี
มาสมาทานเพื่อปฏิบัติลงมือจริงจัง เพื่อพิสูจน์ผล เมื่อปรากฎผลออกมาเห็นว่าดี มีประโยชน์ ผู้รู้
ไม่ติเตียน ค่อยเชื่อก็ยังไม่สาย แม้พระพุทธองค์เองในวันที่จะทรงตรัสรู้นั้น พระพุทธองค์ก็
สมาทานปฏิบัติภาวนา ทรงปฏิญาณตนไว้ว่า "แม้วันนี้ เราไม่ตรัสรู้ ต่อให้ร่างกายเลือดเนื้อจะ
เหือดแห้งไป เราก็จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้"
เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ธรรมภูต