ผ่านไปแล้วกับการรวมตัวของเสื้อแดงเพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อ3ปีก่อน
ก็มีทัศนะความเห็นกันไปความรู้สึกของแต่ละคนแต่ละฝ่าย ผมก็ขอนำเสนอทัศนะจากคนที่มองมาจากข้างนอกละกันนะครับ
จะกลางจะเอียงก็แล้วแต่จะพิจารณากันไปตามอารมณ์
การรวมตัวรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา3ปีแล้วที่อื่นอาจจะเป็นเรื่องธรรมดา
แต่สำหรับสังคมไทย
ผมมองว่ามันไม่ธรรมดา เพราะมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า”คนไทยลืมง่าย”
จากอดีตที่หลายเรื่องหลายเหตุการณ์ที่ไม่น่าลืมก็ลืมๆกันไปอย่างง่ายดาย เหตุการผู้เสียชีวิตจากการล้อมปราบของรัฐบาลก็เช่นกัน เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งแต่ก็มักจะทำลืมๆกันไป ไม่ยืดเยื้อตามติดเหมือนครั้งนี้ ที่ดูจากปริมาณแล้วไม่ได้ลดน้อยลงไปจากเดิมเลย เป็นปรากฏการณ์ที่มีนัยยะน่าสนใจ ที่ผมว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสมควรจะต้องนำไปศึกษาให้ดีทีเดียว
ในมุมมองของคนที่”เกลียดชัง”เสื้อแดงก็คงยังอยู่ในความเชื่อที่ว่า คนที่มารวมตัวกันมากมายอย่างนี้ คือ”คนโง่”ที่ทักษิณจ้างมา
จึงทำให้ยังคงแสดงท่าทีเย้ยหยันยั่วยุหาเหตุผลมาเข้าข้างความคิดตนเอง(ปลอบใจ??) ซึ่งผมกลับมองว่า
เพราะท่าทีดูถูกเหยียดหยามอย่างชิงชังที่บรรดากองเชียร์มีต่อเสื้อแดงนี่แหละที่มีส่วนกระตุ้นให้มีคนมาร่วมชุมนุมกับเสื้อแดงมากขึ้น
ยิ่งดูถูกปรักปรำใส่ร้ายผู้เสียชีวิตมากแค่ไหนก็เหมือนกับไปช่วยทำให้หลายคนเห็นความสำคัญว่าจำเป็นจะต้องออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตมากขึ้นเท่านั้น
ซึ่งผมมองว่าวิธีดิสเครดิตแบบเด็กๆที่บรรดากองเชียร์ฝ่ายตรงข้ามทำไปนั้นเป็นวิธีที่โง่เขลามาก เพียงแค่ความสะใจส่วนตัวที่กลับไปยั่วยุเป็นแรงกระตุ้นให้อีกฝ่ายฮึกเหิม ไม่ลืมในเรื่องที่พวกตัวเองอยากให้ลืมซะงั้น ไม่ได้อะไรจากการยั่วยุนั้นเลยจริงๆ
ในส่วนของ”คุณอภิสิทธิและพวก”ผมไม่รู้หรอกว่าพวกเค้าจะวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่ผ่านไปนี้อย่างไร ยังคงมีแนวคิดอย่างเดิมในแนวเดียวกับบรรดากองเชียร์รึปล่าว ที่เชื่อว่าคนที่มากันมากมายอย่างนี้” ถูกจ้างมา” หรือจะมองแค่ว่าถึงจะดูมากมายล้นถนนยังไงก็ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังเข้าข้างพวกตนอยู่บ้างล่ะน่า
แต่ถ้าเป็นผมก็คงต้องคิดหนักต้องทบทวนทุกอย่างแล้วว่าจะ”หาทางลงสวยๆ”ใหตัวเองกันยังไง บารมีที่คาดหวังว่าจะปกป้องพวกตนได้นั้น จะปกป้องได้จริงหรือ?
ยิ่งหากมีคนที่อยู่เบื้องหลังคุณอภิสิทธิจริงอย่างที่มีคนสงสัย ผมว่าเขาคนนั้นก็สมควรจะ"พรั่นพรึง"กับสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่พัดแรงขึ้นทุกขณะอย่างนี้
เพราะดูแล้วนี่คงไม่ใช่แค่ลมกรรโชกพัดแล้วผ่านไป แต่มันเป็นเค้าลางของพายุที่มีความรุนแรงสามารถโค่นล้มเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งที่ขวางทางได้จะฮึดสู้ต้านทานพายุ หรือจะโอนอ่อนปรับตัวรับกับความเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องที่ต้องติดตามด้วยใจระทึกทีเดียว
ทางด้านรัฐบาล การเคลื่อนไหวครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นคุณ เพราะหากมองจากภายนอกก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า”เสื้อแดง”นั้นไม่ต่างกับเกราะแก้วกำแพงเหล็กสำคัญที่ปกป้องรัฐบาลชุดนี้เอาไว้ ยิ่งมาแสดงพลังกันมากมายอย่างนี้ก็ย่อมทำให้คนที่คิดจะโค่นล้มรัฐบาลนี้ต้องคิดหนักทีเดียว
แต่หากมองให้ลึกซึ้งจริงๆแล้วผมว่า พลังเสื้อแดงก็ไม่ใช่พลังที่รัฐบาลหรือคุณทักษิณจะนำมาใช้เป็นประโยชน์ได้โดยอำเภอใจอย่างที่บางคนคิด หากไม่สามารถให้ความยุติธรรมตามที่พวกเค้าเรียกร้อง(อย่างใจเย็น) แรงหนุนก็กลายเป็นแรงต้านได้ง่ายๆทีเดียว
ที่ผ่านมานั้นก็พอเข้าใจว่าขยับช่วยเหลืออะไรคนเสื้อแดงไม่ได้เต็มที่
แต่จากนี้ไปหากไม่มีท่าทีหรือความพยายามที่จะทำตามในสิ่งที่เสื้อแดงเรียกร้อง ท่าทีต่อรัฐบาลก็มีสิทธิจะเปลี่ยนแปลงได้ไม่ยาก หากไม่ทำความเข้าใจ และตีโจทก์ไม่แตก
หรือเผลอไปมีความคิดอย่างเดียวฝั่งตรงข้ามพวกตนว่าคนเสื้อแดงเป็นคนโง่ที่โยนประชานิยมไปให้ก็หลั่งไหลมาสนับสนุนพวกตน โดยที่มองไม่เห็นว่าความยุติธรรมที่พวกเค้ามาเรียกร้องกันนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อการชุมนุม แต่เป็นความต้องการที่แท้จริงที่อยากได้จากรัฐบาลที่พวกเค้าสนับสนุน
ตรงนี้แหละครับสำคัญที่ทุกฝ่ายก็คงมองเห็นได้ว่า จะเป็นชนวนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคนเสื้อแดงกับรัฐบาลได้ไม่ยาก
กับข้อเรียกร้องที่อยากให้ปลดปล่อยเสื้อแดงที่โดนขังลืมอยู่ในคุกกลายเป็นประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
ที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลต้องพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ ขัดขวางการนิรโทษกรรม แต่ขณะเดียวกันก็ทำท่ามาแสดงความเห็นใจว่าเสื้อแดงถูกรัฐบาลทอดทิ้งไม่ได้ตั้งใจช่วยเหลือเสื้อแดงที่อยู่ในคุกจริงๆแต่ตั้งใจจะช่วยให้ทักษิณกลับมามากกว่า
ท่าทีเหล่านี้จริงๆแล้วคนเสื้อแดงก็อ่านออก และพยายามทำความเข้าใจถึงความยากลำบากที่รัฐบาลต้องเผชิญ
แต่หากต่อไปนี้ไม่เห็นความพยายามจากทางฝากรัฐบาลอย่างจริงจัง ความสัมพันธ์ก็อาจจะมีปัญหาได้ไม่ยาก
ในมุมของเสื้อแดงเองนั้นได้เห็นคนมาสนับสนุนมากมายอย่างนี้ก็ย่อมรู้สึกฮึกเหิม รู้ถึงพลังที่พวกตนมี อยากจะใช้พลังที่มีนี้ไปเปลี่ยนแปลงให้ได้อย่างที่พวกตนต้องการ
ซึ่งตรงนี้สมควรที่เสื้อแดงเองจะต้องตระหนักถึงพลังที่มีนั้นจะรักษาและใช้ให้มันเป็นประโยชน์ได้อย่างไร
การมารวมตัวกันมากมายอย่างนี้ อาจจะทำให้ดีใจปลื้มใจไปกับ”ปริมาณ” แต่ต้องไม่ลืมว่าที่มารวมตัวกันได้นี้ไม่ใช่เพียงเพื่อสำแดงพลังว่า”พวกเยอะกว่า” จะได้ไปเย้ยหยันอย่างสะใจว่าการรวมพลังของอีกฝ่ายหนึ่งว่าน้อยกว่า
ต้องไม่ลืมว่ามารวมตัวกันได้เพราะพลังขับเคลื่อนสำคัญคือ การเรียกร้องความถูกต้องและยุติธรรม
ต้องระวังอย่าไปทำอะไรที่มันจะเป็นการบั่นทอนพลังสำคัญนี้ลง เพราะมันมีตัวอย่างมาจากม๊อบเสื้อเหลืองให้ได้เห็นมาแล้วว่าที่เห็นมากันมืดฟ้ามัวดินนั้น หากทำอะไรไม่เข้าท่าก็กลายเป็นม๊อบกระหรอมกระแหรมได้ไม่ยาก
เมื่อผู้คนมากันด้วยใจนั่นก็คือ”คุณภาพ” ที่จะต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ อย่ามัวได้ปลื้มกับพลังที่ได้มานี้จนหลงลืมแนวทางสำคัญที่ตั้งใจกันไว้
ในส่วนของประชาชนอื่นๆ ที่ไม่เลือกข้างที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการมาชุมนุมกันของเสื้อแดง แน่นอนว่าหากมันไปกระทบหรือสร้างความเดือดร้อนก็ย่อมจะไม่พอใจ ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งก็คงมองเห็นล่ะครับถึงได้พยายามยั่วยุและไฮไลท์เรื่องน้มาดิสเครดิต
ก็พอจะเข้าใจได้นะครับกับความเดือดร้อนที่ได้รับ แต่หากจะมองกันให้ดีๆจะไปโกรธเคืองไม่พอใจกับการชุมนุมครั้งนี้ผมว่ามันปลายเหตุ
เพราะหากไม่มีต้นเหตุ ไม่มีการฆ่า มันก็คงไม่ต้องมาชุมนุมรำลึกกัน
หากระบบยุติธรรมมันดำเนินไปตามที่มันควรเป็นก็คงไม่ต้องมาชุมนุมเรียกร้องอะไรกันอีก จริงมั๊ยครับ?
ยิ่งหากไตร่ตรองดีๆแล้วก็จะเห็นว่า
ที่ว่าทำให้รถติด นั้น มันก็ไม่ได้ต่างไปจากที่มันติดอยู่ทุกวันเท่าไหร่หรอกครับผมว่าดีกว่าด้วยเพราะอันนี้เรารู้ล่วงหน้าว่ามันจะติดและหลีกเลี่ยงได้ ต่างจากรถติดทุกวันที่เราไม่รู้ล่วงหน้าเลี่ยงไม่ได้จริงมั๊ยครับ?
ที่ว่าทำให้คนค้าขายในบริเวณที่ชุมนุมเดือดร้อนขายไม่ได้ อันนี้ก็มีกระทบจริงเดือดร้อนจริง แต่เดือดร้อนระดับที่”รับไม่ได้”จริงๆหรือ? หากจะพอไปเทียบว่า หากกทม.เกิดจะกวดขันเรื่องการค้าขายบนทางเท้าอย่างจริงจังแน่นอนคงจะไม่ใช่แค่วันเดียวแน่ๆผมว่าเดือดร้อนกว่าเยอะ
ในห้างก็เช่นกันกลัวความวุ่นวาย ก็พอเข้าใจ แต่คนที่ทำการค้านั้นต้องพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสเพราะนั่นคือหัวใจสำคัญของการค้าขายที่ประสพความสำเร็จ ประเมิณกำลังซื้อของคนเสื้อแดงต่ำไปรึปล่าว?
แต่โดยรวมผมอยากให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมพยายามทำความเข้าใจถึงเหตุผลของการชุมนุมบ้างน่ะครับว่ามันคือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นและเป็นไป อย่างมี”เหตุ” และการชุมนุมเป็นแค่ผลของมัน ผลที่อาจจะทำให้รู้สึกเดิอดร้อน
แต่หากจะมองลึกลงไปอีกว่าถ้าผู้ที่เสียชีวิตเหล่านี้ไม่เสียสละชีวิตของตนเองจนเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ จะมั่นใจได้อย่างไรล่ะครับว่าเศรษฐกิจในเงื้อมมือของผู้ฝักใฝ่เผด็จการมันจะดีจนเป็นผลทำให้พวกคุณค้าขายได้อย่างทุกวันนี้ เคยได้เห็นผลงานการบริหารของพวกเค้ามาแล้วไม่ใช่หรือ?
จะไม่รู้สึกรู้สากับการสูญเสียที่ไม่ได้รับความยุติธรรมของมนุษย์ด้วยกันเพียงเพราะเค้าไม่ใช่ญาติ ผมว่ามันก็ผิดธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ไปนะครับ
จากทุกฝ่ายที่ผมกล่าวมานั้นล้วนเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศเรา ปรากฏการณ์ที่เปรียบได้กับสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่พัดแรงขึ้นทุกทีตามธรรมชาติของมัน อยู่ที่เราจะเรียนรู้และปรับตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังมาถึงอย่างไร จะคาดหวังว่ามันจะอ่อนแรงกลับไปเป็นเหมือนที่เคยเป็นผมว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ มันเลยจุดนั้นไปนานแล้ว
จะยืดหยัดต้านทาน ด้วยการด่าทอ ก็คงเป็นความพยายามที่สูญเปล่า
จะเริงร่าหาประโยชน์จากพลังนี้ก็ต้องทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งเพราะมันเป็นพลังที่ควบคุมได้ยาก
หนทางที่ควรก็คือในเมื่อมันจะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงก็ควรเข้าไปมีส่วนร่วมกับความเปลี่ยนแปลงนั้น
เพื่อช่วยกันทำให้มันพัดผ่านไปตามหนทางที่ถูกต้องร่วมกัน จะช่วยลดความเสียหายจากความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้มากทีเดียว
ร่ายมาซะยาวเชียวยาว(แบบเอียงๆซะด้วยสิ )
แค่จะบอกว่ามีสิ่งหนึ่งที่ผมผิดหวังกับการชุมนุมเมื่อวานนี้อย่างมากก็คือ
อยากเห็นคุณอภิสิทธิบุกมากลางงานแล้วตะโกนว่า”อย่าทำผมอย่าทำผม ผมมาคนเดียว”อ่ะ เสียดายจัง
(ล้อเล่นนะมาร์ค อย่าทำจริงๆล่ะ)
“สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง”กับการเรียนรู้และปรับตัว
ก็มีทัศนะความเห็นกันไปความรู้สึกของแต่ละคนแต่ละฝ่าย ผมก็ขอนำเสนอทัศนะจากคนที่มองมาจากข้างนอกละกันนะครับ
จะกลางจะเอียงก็แล้วแต่จะพิจารณากันไปตามอารมณ์
การรวมตัวรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา3ปีแล้วที่อื่นอาจจะเป็นเรื่องธรรมดา
แต่สำหรับสังคมไทย
ผมมองว่ามันไม่ธรรมดา เพราะมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า”คนไทยลืมง่าย”
จากอดีตที่หลายเรื่องหลายเหตุการณ์ที่ไม่น่าลืมก็ลืมๆกันไปอย่างง่ายดาย เหตุการผู้เสียชีวิตจากการล้อมปราบของรัฐบาลก็เช่นกัน เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งแต่ก็มักจะทำลืมๆกันไป ไม่ยืดเยื้อตามติดเหมือนครั้งนี้ ที่ดูจากปริมาณแล้วไม่ได้ลดน้อยลงไปจากเดิมเลย เป็นปรากฏการณ์ที่มีนัยยะน่าสนใจ ที่ผมว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสมควรจะต้องนำไปศึกษาให้ดีทีเดียว
ในมุมมองของคนที่”เกลียดชัง”เสื้อแดงก็คงยังอยู่ในความเชื่อที่ว่า คนที่มารวมตัวกันมากมายอย่างนี้ คือ”คนโง่”ที่ทักษิณจ้างมา
จึงทำให้ยังคงแสดงท่าทีเย้ยหยันยั่วยุหาเหตุผลมาเข้าข้างความคิดตนเอง(ปลอบใจ??) ซึ่งผมกลับมองว่า
เพราะท่าทีดูถูกเหยียดหยามอย่างชิงชังที่บรรดากองเชียร์มีต่อเสื้อแดงนี่แหละที่มีส่วนกระตุ้นให้มีคนมาร่วมชุมนุมกับเสื้อแดงมากขึ้น
ยิ่งดูถูกปรักปรำใส่ร้ายผู้เสียชีวิตมากแค่ไหนก็เหมือนกับไปช่วยทำให้หลายคนเห็นความสำคัญว่าจำเป็นจะต้องออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตมากขึ้นเท่านั้น
ซึ่งผมมองว่าวิธีดิสเครดิตแบบเด็กๆที่บรรดากองเชียร์ฝ่ายตรงข้ามทำไปนั้นเป็นวิธีที่โง่เขลามาก เพียงแค่ความสะใจส่วนตัวที่กลับไปยั่วยุเป็นแรงกระตุ้นให้อีกฝ่ายฮึกเหิม ไม่ลืมในเรื่องที่พวกตัวเองอยากให้ลืมซะงั้น ไม่ได้อะไรจากการยั่วยุนั้นเลยจริงๆ
ในส่วนของ”คุณอภิสิทธิและพวก”ผมไม่รู้หรอกว่าพวกเค้าจะวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่ผ่านไปนี้อย่างไร ยังคงมีแนวคิดอย่างเดิมในแนวเดียวกับบรรดากองเชียร์รึปล่าว ที่เชื่อว่าคนที่มากันมากมายอย่างนี้” ถูกจ้างมา” หรือจะมองแค่ว่าถึงจะดูมากมายล้นถนนยังไงก็ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังเข้าข้างพวกตนอยู่บ้างล่ะน่า
แต่ถ้าเป็นผมก็คงต้องคิดหนักต้องทบทวนทุกอย่างแล้วว่าจะ”หาทางลงสวยๆ”ใหตัวเองกันยังไง บารมีที่คาดหวังว่าจะปกป้องพวกตนได้นั้น จะปกป้องได้จริงหรือ?
ยิ่งหากมีคนที่อยู่เบื้องหลังคุณอภิสิทธิจริงอย่างที่มีคนสงสัย ผมว่าเขาคนนั้นก็สมควรจะ"พรั่นพรึง"กับสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่พัดแรงขึ้นทุกขณะอย่างนี้
เพราะดูแล้วนี่คงไม่ใช่แค่ลมกรรโชกพัดแล้วผ่านไป แต่มันเป็นเค้าลางของพายุที่มีความรุนแรงสามารถโค่นล้มเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งที่ขวางทางได้จะฮึดสู้ต้านทานพายุ หรือจะโอนอ่อนปรับตัวรับกับความเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องที่ต้องติดตามด้วยใจระทึกทีเดียว
ทางด้านรัฐบาล การเคลื่อนไหวครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นคุณ เพราะหากมองจากภายนอกก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า”เสื้อแดง”นั้นไม่ต่างกับเกราะแก้วกำแพงเหล็กสำคัญที่ปกป้องรัฐบาลชุดนี้เอาไว้ ยิ่งมาแสดงพลังกันมากมายอย่างนี้ก็ย่อมทำให้คนที่คิดจะโค่นล้มรัฐบาลนี้ต้องคิดหนักทีเดียว
แต่หากมองให้ลึกซึ้งจริงๆแล้วผมว่า พลังเสื้อแดงก็ไม่ใช่พลังที่รัฐบาลหรือคุณทักษิณจะนำมาใช้เป็นประโยชน์ได้โดยอำเภอใจอย่างที่บางคนคิด หากไม่สามารถให้ความยุติธรรมตามที่พวกเค้าเรียกร้อง(อย่างใจเย็น) แรงหนุนก็กลายเป็นแรงต้านได้ง่ายๆทีเดียว
ที่ผ่านมานั้นก็พอเข้าใจว่าขยับช่วยเหลืออะไรคนเสื้อแดงไม่ได้เต็มที่
แต่จากนี้ไปหากไม่มีท่าทีหรือความพยายามที่จะทำตามในสิ่งที่เสื้อแดงเรียกร้อง ท่าทีต่อรัฐบาลก็มีสิทธิจะเปลี่ยนแปลงได้ไม่ยาก หากไม่ทำความเข้าใจ และตีโจทก์ไม่แตก
หรือเผลอไปมีความคิดอย่างเดียวฝั่งตรงข้ามพวกตนว่าคนเสื้อแดงเป็นคนโง่ที่โยนประชานิยมไปให้ก็หลั่งไหลมาสนับสนุนพวกตน โดยที่มองไม่เห็นว่าความยุติธรรมที่พวกเค้ามาเรียกร้องกันนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อการชุมนุม แต่เป็นความต้องการที่แท้จริงที่อยากได้จากรัฐบาลที่พวกเค้าสนับสนุน
ตรงนี้แหละครับสำคัญที่ทุกฝ่ายก็คงมองเห็นได้ว่า จะเป็นชนวนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคนเสื้อแดงกับรัฐบาลได้ไม่ยาก
กับข้อเรียกร้องที่อยากให้ปลดปล่อยเสื้อแดงที่โดนขังลืมอยู่ในคุกกลายเป็นประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
ที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลต้องพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ ขัดขวางการนิรโทษกรรม แต่ขณะเดียวกันก็ทำท่ามาแสดงความเห็นใจว่าเสื้อแดงถูกรัฐบาลทอดทิ้งไม่ได้ตั้งใจช่วยเหลือเสื้อแดงที่อยู่ในคุกจริงๆแต่ตั้งใจจะช่วยให้ทักษิณกลับมามากกว่า
ท่าทีเหล่านี้จริงๆแล้วคนเสื้อแดงก็อ่านออก และพยายามทำความเข้าใจถึงความยากลำบากที่รัฐบาลต้องเผชิญ
แต่หากต่อไปนี้ไม่เห็นความพยายามจากทางฝากรัฐบาลอย่างจริงจัง ความสัมพันธ์ก็อาจจะมีปัญหาได้ไม่ยาก
ในมุมของเสื้อแดงเองนั้นได้เห็นคนมาสนับสนุนมากมายอย่างนี้ก็ย่อมรู้สึกฮึกเหิม รู้ถึงพลังที่พวกตนมี อยากจะใช้พลังที่มีนี้ไปเปลี่ยนแปลงให้ได้อย่างที่พวกตนต้องการ
ซึ่งตรงนี้สมควรที่เสื้อแดงเองจะต้องตระหนักถึงพลังที่มีนั้นจะรักษาและใช้ให้มันเป็นประโยชน์ได้อย่างไร
การมารวมตัวกันมากมายอย่างนี้ อาจจะทำให้ดีใจปลื้มใจไปกับ”ปริมาณ” แต่ต้องไม่ลืมว่าที่มารวมตัวกันได้นี้ไม่ใช่เพียงเพื่อสำแดงพลังว่า”พวกเยอะกว่า” จะได้ไปเย้ยหยันอย่างสะใจว่าการรวมพลังของอีกฝ่ายหนึ่งว่าน้อยกว่า
ต้องไม่ลืมว่ามารวมตัวกันได้เพราะพลังขับเคลื่อนสำคัญคือ การเรียกร้องความถูกต้องและยุติธรรม
ต้องระวังอย่าไปทำอะไรที่มันจะเป็นการบั่นทอนพลังสำคัญนี้ลง เพราะมันมีตัวอย่างมาจากม๊อบเสื้อเหลืองให้ได้เห็นมาแล้วว่าที่เห็นมากันมืดฟ้ามัวดินนั้น หากทำอะไรไม่เข้าท่าก็กลายเป็นม๊อบกระหรอมกระแหรมได้ไม่ยาก
เมื่อผู้คนมากันด้วยใจนั่นก็คือ”คุณภาพ” ที่จะต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ อย่ามัวได้ปลื้มกับพลังที่ได้มานี้จนหลงลืมแนวทางสำคัญที่ตั้งใจกันไว้
ในส่วนของประชาชนอื่นๆ ที่ไม่เลือกข้างที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการมาชุมนุมกันของเสื้อแดง แน่นอนว่าหากมันไปกระทบหรือสร้างความเดือดร้อนก็ย่อมจะไม่พอใจ ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งก็คงมองเห็นล่ะครับถึงได้พยายามยั่วยุและไฮไลท์เรื่องน้มาดิสเครดิต
ก็พอจะเข้าใจได้นะครับกับความเดือดร้อนที่ได้รับ แต่หากจะมองกันให้ดีๆจะไปโกรธเคืองไม่พอใจกับการชุมนุมครั้งนี้ผมว่ามันปลายเหตุ
เพราะหากไม่มีต้นเหตุ ไม่มีการฆ่า มันก็คงไม่ต้องมาชุมนุมรำลึกกัน
หากระบบยุติธรรมมันดำเนินไปตามที่มันควรเป็นก็คงไม่ต้องมาชุมนุมเรียกร้องอะไรกันอีก จริงมั๊ยครับ?
ยิ่งหากไตร่ตรองดีๆแล้วก็จะเห็นว่า
ที่ว่าทำให้รถติด นั้น มันก็ไม่ได้ต่างไปจากที่มันติดอยู่ทุกวันเท่าไหร่หรอกครับผมว่าดีกว่าด้วยเพราะอันนี้เรารู้ล่วงหน้าว่ามันจะติดและหลีกเลี่ยงได้ ต่างจากรถติดทุกวันที่เราไม่รู้ล่วงหน้าเลี่ยงไม่ได้จริงมั๊ยครับ?
ที่ว่าทำให้คนค้าขายในบริเวณที่ชุมนุมเดือดร้อนขายไม่ได้ อันนี้ก็มีกระทบจริงเดือดร้อนจริง แต่เดือดร้อนระดับที่”รับไม่ได้”จริงๆหรือ? หากจะพอไปเทียบว่า หากกทม.เกิดจะกวดขันเรื่องการค้าขายบนทางเท้าอย่างจริงจังแน่นอนคงจะไม่ใช่แค่วันเดียวแน่ๆผมว่าเดือดร้อนกว่าเยอะ
ในห้างก็เช่นกันกลัวความวุ่นวาย ก็พอเข้าใจ แต่คนที่ทำการค้านั้นต้องพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสเพราะนั่นคือหัวใจสำคัญของการค้าขายที่ประสพความสำเร็จ ประเมิณกำลังซื้อของคนเสื้อแดงต่ำไปรึปล่าว?
แต่โดยรวมผมอยากให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมพยายามทำความเข้าใจถึงเหตุผลของการชุมนุมบ้างน่ะครับว่ามันคือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นและเป็นไป อย่างมี”เหตุ” และการชุมนุมเป็นแค่ผลของมัน ผลที่อาจจะทำให้รู้สึกเดิอดร้อน
แต่หากจะมองลึกลงไปอีกว่าถ้าผู้ที่เสียชีวิตเหล่านี้ไม่เสียสละชีวิตของตนเองจนเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ จะมั่นใจได้อย่างไรล่ะครับว่าเศรษฐกิจในเงื้อมมือของผู้ฝักใฝ่เผด็จการมันจะดีจนเป็นผลทำให้พวกคุณค้าขายได้อย่างทุกวันนี้ เคยได้เห็นผลงานการบริหารของพวกเค้ามาแล้วไม่ใช่หรือ?
จะไม่รู้สึกรู้สากับการสูญเสียที่ไม่ได้รับความยุติธรรมของมนุษย์ด้วยกันเพียงเพราะเค้าไม่ใช่ญาติ ผมว่ามันก็ผิดธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ไปนะครับ
จากทุกฝ่ายที่ผมกล่าวมานั้นล้วนเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศเรา ปรากฏการณ์ที่เปรียบได้กับสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่พัดแรงขึ้นทุกทีตามธรรมชาติของมัน อยู่ที่เราจะเรียนรู้และปรับตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังมาถึงอย่างไร จะคาดหวังว่ามันจะอ่อนแรงกลับไปเป็นเหมือนที่เคยเป็นผมว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ มันเลยจุดนั้นไปนานแล้ว
จะยืดหยัดต้านทาน ด้วยการด่าทอ ก็คงเป็นความพยายามที่สูญเปล่า
จะเริงร่าหาประโยชน์จากพลังนี้ก็ต้องทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งเพราะมันเป็นพลังที่ควบคุมได้ยาก
หนทางที่ควรก็คือในเมื่อมันจะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงก็ควรเข้าไปมีส่วนร่วมกับความเปลี่ยนแปลงนั้น
เพื่อช่วยกันทำให้มันพัดผ่านไปตามหนทางที่ถูกต้องร่วมกัน จะช่วยลดความเสียหายจากความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้มากทีเดียว
ร่ายมาซะยาวเชียวยาว(แบบเอียงๆซะด้วยสิ )
แค่จะบอกว่ามีสิ่งหนึ่งที่ผมผิดหวังกับการชุมนุมเมื่อวานนี้อย่างมากก็คือ
อยากเห็นคุณอภิสิทธิบุกมากลางงานแล้วตะโกนว่า”อย่าทำผมอย่าทำผม ผมมาคนเดียว”อ่ะ เสียดายจัง
(ล้อเล่นนะมาร์ค อย่าทำจริงๆล่ะ)