ต้องยอมรับว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มแอนตี้ทักษิณมาก่อน
ซึ่งจริงๆแล้วก็คือ ก็อยู่ในกลุ่มคนที่เอาใจช่วยทักษิณตอนคดีซุกหุ้นภาคแรก
เหมือนคนไทยทั้งประเทศนั่นแหละ
ที่ตื่นเต้นกับความหวือหวา ตื่นตา ตื่นใจ มีความหวัง
ไปกับสไตล์การทำงานการเมืองแนวใหม่ ที่หลายๆคนตั้งความหวังไว้ว่า
เขาคืออัศวินม้าขาว ที่จะมาเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดีขึ้น
แต่หลังจากที่ทักษิณบริหารประเทศสักพักใหญ่ๆ
ก็เริ่มมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไปกระทบความรู้สึกของคนไทย
เช่นการตีตนเสมอสถาบันสูงสุดอย่างจงใจหลายครั้ง
การใช้เหลี่ยมคูแบบพ่อค้า ซื้อพรรคการเมือง ซื้อนักการเมืองมาอยู่ในสังกัด
เพื่อให้ได้อำนาจเบ็ดเสร็จ ไม่ให้เกิดการตรวจสอบการทำงานของตนเองได้ง่ายๆ
จึงยิ่งสร้างความคลางแคลงใจให้กับคนที่ไม่ชอบการตีตนเสมอเจ้าเป็นทวีคูณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การซุกหุ้นภาค2 และการใช้เทคนิคชั้นเซียนในการขายหุ้น
เพื่อไม่ต้องเสียภาษีที่มีมูลค่ามหาศาล
หลายคนมองว่า เป็นความเจ้าเล่ห์ที่คนระดับผู้นำประเทศไม่น่าทำเป็นแบบอย่าง
เกิดการรวมตัวกันของผู้ไม่เห็นด้วย ในนามพันธมิตร เคลื่อนไหวต่อต้านทักษิณ
อย่างเปิดเผย จนกระทั่งมีการชุมนุมหลายครั้ง
ในขณะที่คนที่อยู่กลางๆ ก็เริ่มเฝ้ามองอยู่เงียบๆ พยายามชั่งใจว่าใครถูกใครผิด
แต่พอพันธมิตรชุมนุมบ่อยเข้า จนใช้สิทธิเกินเลย ไปยึดสนามบินและทำเนียบ
ทำให้คนที่เป็นกลางจำนวนมากเริ่มตำหนิและต่อต้านพันธมิตร
จนเป็นเหตุให้พันธมิตรอ่อนแอ และแตกแยกกันไปเป็นกลุ่มเล็กๆหลายกลุ่มอีกครัง
แต่แนวคิดยังคงต่อต้านทักษิณไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ไม่ออกไปชุมมุมในลักษณะเดิมอีก
จะเปลี่ยนแปลงหน่อยก็คือสายของสนธิ ที่เปลี่ยนไปเล่นงานอภิสิทธิ์มากกว่า
เพราะเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเล่นงาน หรือไม่ปกป้องเขา
ทั้งเรื่องคดีความและการลอบยิง
แต่กลับเสวยสุขจากการเสียสละของเขาและกลุ่มพันธมิตรผู้สูญเสีย
แต่เหตุการณ์ที่ทำให้คนที่อยู่กลางๆส่วนใหญ่ ไม่พอใจทักษิณและกลุ่มผู้สนับสนุนมากที่สุด
คือเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงหลายครั้ง ต่ออภิสิทธิ์และคนที่แสดงอาการต่อต้านคนเสื้อแดงหลายครั้ง
การชุมนุมยืดเยื้อ ปิดย่านเศรษฐกิจ การจาบจ้วงสถาบันที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้ความอดทนของคนที่อยู่กลางๆและเทิดทูนสถาบันก็สิ้นสุดลง
แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ออกมาแสดงการต่อต้านอย่างชัดเจน
เพียงเริ่มพูดคุยและแสดงจุดยืนกับคนใกล้ชิดว่า
ไม่เอาทักษิณและมวลชนเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์
ดังนั้น เมื่อเห็นมวลชนเสื้อแดงของทักษิณถูกปราบปรามอย่างรุนแรงจากรัฐบาลอภิสิทธิ์
จึงไม่ได้รับความเห็นใจเท่าที่ควรจากคนส่วนใหญ่ ที่มองเห็นด้านลบของมวลชนเสื้อแดงมากกว่า
เพราะหากคนส่วนใหญ่เห็นใจ รัฐบาลอภิสิทธิ์ย่อมอยู่ไม่ได้ในทันทีที่เกิดเหตุการณ์
เนื่องจาก แต่ไหนแต่ไรมา ยังไม่เคยมีใครอยู่ในอำนาจได้
หากมีการปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรงขนาดนี้
จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่ภาพความสูญเสียของผู้บริสุทธิ์
ได้ถูกกลบด้วยความรุนแรงของมวลชนเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์
เมื่อทักษิณชนะการเลือกตั้ง ผ่านตัวน้องสาวและพรรคที่ตนสนับสนุน
ฝ่ายต่อต้านก็ทนขมขื่น ยอมรับประชามติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ก็ได้แต่หวังว่า ทักษิณจะหยุด เมื่อได้อำนาจไปแล้ว
แต่ทักษิณไม่ยอมหยุด มุ่งหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองหนักขึ้นเรื่อยๆ
และยังคงใช้มวลชนเสื้อแดงเป็นพลังขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายอยู่
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่คิดว่า การใช้สภาเป็นอาวุธในการล้างคดีความจะราบรื่น
จึงได้บอกลามวลชนแดง ให้ยอมรับการปรองดอง ขอบคุณที่พาเขามาส่งถึงฝั่ง
จากนั้น เขาจะปีนภูเขาต่อ ไม่รบกวนมวลชนเสื้อแดงอีกแล้ว
แต่พอแนวทางนั้นไม่สำเร็จ เขาจึงหันกลับมาขอความช่วยเหลือจากมวลชนเสื้อแดงอีกครั้ง
ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านมองว่า ความพยายามทั้งหลายของทักษิณ เป็นการฟอกผิดให้ตัวเอง
ไม่ออกมาต่อต้านตรงๆ เพียงแสดงออกผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น
ในมุมมองของพลังเงียบ มองว่า แม้ปัญหาเรื่องความไม่เป็นธรรมของทักษิณจะจริงอย่างไร
ก็ไม่สมควรลากคนทั้งประเทศเข้าสู่วังวนความขัดแย้งนั้น ซึ่งเป็นความเห็นแก่ตัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้มวลชนที่รักและศรัทธาเป็นเครื่องมือและอาวุธ
ต่อสู้กับฝ่ายอำนาจเก่า จนคนเหล่านั้นต้องตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งนั้น
พลังเงียบและฝ่ายต่อต้านส่วนใหญ่ ไม่ได้รังเกียจมวลชนเสื้อแดง
แต่รังเกียจทักษิณและแกนนำที่ยุยงให้มวลชนเสื้อแดงใช้ความรุนแรง
เมื่อพยายามเตือนด้วยความหวังดี แต่มวลชนเสื้อแดงไม่ฟัง
ก็เลยโมโหพาลตราหน้าว่า โง่ถูกหลอกใช้ซ้ำซาก แล้วยังไม่รู้ตัวอีก
จึงกลายเป็นว่า ประชาชนจับคู่ทะเลาะกันเองอีกชั้นหนึ่ง
ทั้งๆที่ทีแรกต้องการต่อต้านทักษิณและพรรคการเมืองมากกว่า
สำหรับมวลชนของประชาธิปัตย์จริงๆนั้น ยังไม่แข็งแรงเป็นรูปธรรม
เพราะพรรคนี้ห่างเหินประชาชนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะคนยากจน
เป็นภาพของพรรคอนุรักษ์นิยม และรักษาผลประโยชน์ของอำนาจเก่า
เพิ่งมาเริ่มสร้างมวลชนของตนเองเมื่อไม่นาน
โดยใช้วิธีการจัดชุมนุม แบบเดียวกันกับพันธมิตร และเสื้อแดง
นั่นคือการเดินสาย ผ่าความจริง ไปตามจังหวัดต่างๆ
จุดสุดท้ายที่นำมาสู่โหมดของการแตกหัก คือทักษิณทุ่มหมดหน้าตัก
จากความพยายามแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งถือว่าเป็นปราการด่านสุดท้ายของฝ่ายต่อต้าน
เป็นเส้นที่ขีดไว้ว่า ใครล้ำต้องตะลุมบอนกันแน่
โดยเฉพาะฝ่ายอำนาจเก่าและพรรคตรงข้าม
ผมจึงมีความห่วงใยว่า มวลชนที่อยู่ทั้งสองฝ่าย จะตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งจะเป็นความผิดพลาด และความเจ็บปวดซ้ำๆที่ไม่รู้จักจำของสังคมไทย
เพราะเชื่อว่า หากทำสงครามกลางเมืองกันจริง
คนที่เป็นต้นตอของปัญหาทั้งสองฝ่าย
จะยังคงอยู่สบาย อย่างมากก็ต้องหลบไปอย่างถาวร
แต่ที่เจ็บและตายถาวร คือประชาชนคนหน้าเดิม ตามเคย....
- นี่คือมุมมองของผม ผิดถูกประการใด ก็สามารถแสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ-
คราวนี้ มาสะท้อนมุมมองของกลุ่มแอนตี้ทักษิณกันบ้าง
ซึ่งจริงๆแล้วก็คือ ก็อยู่ในกลุ่มคนที่เอาใจช่วยทักษิณตอนคดีซุกหุ้นภาคแรก
เหมือนคนไทยทั้งประเทศนั่นแหละ
ที่ตื่นเต้นกับความหวือหวา ตื่นตา ตื่นใจ มีความหวัง
ไปกับสไตล์การทำงานการเมืองแนวใหม่ ที่หลายๆคนตั้งความหวังไว้ว่า
เขาคืออัศวินม้าขาว ที่จะมาเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดีขึ้น
แต่หลังจากที่ทักษิณบริหารประเทศสักพักใหญ่ๆ
ก็เริ่มมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไปกระทบความรู้สึกของคนไทย
เช่นการตีตนเสมอสถาบันสูงสุดอย่างจงใจหลายครั้ง
การใช้เหลี่ยมคูแบบพ่อค้า ซื้อพรรคการเมือง ซื้อนักการเมืองมาอยู่ในสังกัด
เพื่อให้ได้อำนาจเบ็ดเสร็จ ไม่ให้เกิดการตรวจสอบการทำงานของตนเองได้ง่ายๆ
จึงยิ่งสร้างความคลางแคลงใจให้กับคนที่ไม่ชอบการตีตนเสมอเจ้าเป็นทวีคูณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การซุกหุ้นภาค2 และการใช้เทคนิคชั้นเซียนในการขายหุ้น
เพื่อไม่ต้องเสียภาษีที่มีมูลค่ามหาศาล
หลายคนมองว่า เป็นความเจ้าเล่ห์ที่คนระดับผู้นำประเทศไม่น่าทำเป็นแบบอย่าง
เกิดการรวมตัวกันของผู้ไม่เห็นด้วย ในนามพันธมิตร เคลื่อนไหวต่อต้านทักษิณ
อย่างเปิดเผย จนกระทั่งมีการชุมนุมหลายครั้ง
ในขณะที่คนที่อยู่กลางๆ ก็เริ่มเฝ้ามองอยู่เงียบๆ พยายามชั่งใจว่าใครถูกใครผิด
แต่พอพันธมิตรชุมนุมบ่อยเข้า จนใช้สิทธิเกินเลย ไปยึดสนามบินและทำเนียบ
ทำให้คนที่เป็นกลางจำนวนมากเริ่มตำหนิและต่อต้านพันธมิตร
จนเป็นเหตุให้พันธมิตรอ่อนแอ และแตกแยกกันไปเป็นกลุ่มเล็กๆหลายกลุ่มอีกครัง
แต่แนวคิดยังคงต่อต้านทักษิณไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ไม่ออกไปชุมมุมในลักษณะเดิมอีก
จะเปลี่ยนแปลงหน่อยก็คือสายของสนธิ ที่เปลี่ยนไปเล่นงานอภิสิทธิ์มากกว่า
เพราะเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเล่นงาน หรือไม่ปกป้องเขา
ทั้งเรื่องคดีความและการลอบยิง
แต่กลับเสวยสุขจากการเสียสละของเขาและกลุ่มพันธมิตรผู้สูญเสีย
แต่เหตุการณ์ที่ทำให้คนที่อยู่กลางๆส่วนใหญ่ ไม่พอใจทักษิณและกลุ่มผู้สนับสนุนมากที่สุด
คือเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงหลายครั้ง ต่ออภิสิทธิ์และคนที่แสดงอาการต่อต้านคนเสื้อแดงหลายครั้ง
การชุมนุมยืดเยื้อ ปิดย่านเศรษฐกิจ การจาบจ้วงสถาบันที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้ความอดทนของคนที่อยู่กลางๆและเทิดทูนสถาบันก็สิ้นสุดลง
แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ออกมาแสดงการต่อต้านอย่างชัดเจน
เพียงเริ่มพูดคุยและแสดงจุดยืนกับคนใกล้ชิดว่า
ไม่เอาทักษิณและมวลชนเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์
ดังนั้น เมื่อเห็นมวลชนเสื้อแดงของทักษิณถูกปราบปรามอย่างรุนแรงจากรัฐบาลอภิสิทธิ์
จึงไม่ได้รับความเห็นใจเท่าที่ควรจากคนส่วนใหญ่ ที่มองเห็นด้านลบของมวลชนเสื้อแดงมากกว่า
เพราะหากคนส่วนใหญ่เห็นใจ รัฐบาลอภิสิทธิ์ย่อมอยู่ไม่ได้ในทันทีที่เกิดเหตุการณ์
เนื่องจาก แต่ไหนแต่ไรมา ยังไม่เคยมีใครอยู่ในอำนาจได้
หากมีการปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรงขนาดนี้
จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่ภาพความสูญเสียของผู้บริสุทธิ์
ได้ถูกกลบด้วยความรุนแรงของมวลชนเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์
เมื่อทักษิณชนะการเลือกตั้ง ผ่านตัวน้องสาวและพรรคที่ตนสนับสนุน
ฝ่ายต่อต้านก็ทนขมขื่น ยอมรับประชามติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ก็ได้แต่หวังว่า ทักษิณจะหยุด เมื่อได้อำนาจไปแล้ว
แต่ทักษิณไม่ยอมหยุด มุ่งหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองหนักขึ้นเรื่อยๆ
และยังคงใช้มวลชนเสื้อแดงเป็นพลังขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายอยู่
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่คิดว่า การใช้สภาเป็นอาวุธในการล้างคดีความจะราบรื่น
จึงได้บอกลามวลชนแดง ให้ยอมรับการปรองดอง ขอบคุณที่พาเขามาส่งถึงฝั่ง
จากนั้น เขาจะปีนภูเขาต่อ ไม่รบกวนมวลชนเสื้อแดงอีกแล้ว
แต่พอแนวทางนั้นไม่สำเร็จ เขาจึงหันกลับมาขอความช่วยเหลือจากมวลชนเสื้อแดงอีกครั้ง
ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านมองว่า ความพยายามทั้งหลายของทักษิณ เป็นการฟอกผิดให้ตัวเอง
ไม่ออกมาต่อต้านตรงๆ เพียงแสดงออกผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น
ในมุมมองของพลังเงียบ มองว่า แม้ปัญหาเรื่องความไม่เป็นธรรมของทักษิณจะจริงอย่างไร
ก็ไม่สมควรลากคนทั้งประเทศเข้าสู่วังวนความขัดแย้งนั้น ซึ่งเป็นความเห็นแก่ตัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้มวลชนที่รักและศรัทธาเป็นเครื่องมือและอาวุธ
ต่อสู้กับฝ่ายอำนาจเก่า จนคนเหล่านั้นต้องตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งนั้น
พลังเงียบและฝ่ายต่อต้านส่วนใหญ่ ไม่ได้รังเกียจมวลชนเสื้อแดง
แต่รังเกียจทักษิณและแกนนำที่ยุยงให้มวลชนเสื้อแดงใช้ความรุนแรง
เมื่อพยายามเตือนด้วยความหวังดี แต่มวลชนเสื้อแดงไม่ฟัง
ก็เลยโมโหพาลตราหน้าว่า โง่ถูกหลอกใช้ซ้ำซาก แล้วยังไม่รู้ตัวอีก
จึงกลายเป็นว่า ประชาชนจับคู่ทะเลาะกันเองอีกชั้นหนึ่ง
ทั้งๆที่ทีแรกต้องการต่อต้านทักษิณและพรรคการเมืองมากกว่า
สำหรับมวลชนของประชาธิปัตย์จริงๆนั้น ยังไม่แข็งแรงเป็นรูปธรรม
เพราะพรรคนี้ห่างเหินประชาชนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะคนยากจน
เป็นภาพของพรรคอนุรักษ์นิยม และรักษาผลประโยชน์ของอำนาจเก่า
เพิ่งมาเริ่มสร้างมวลชนของตนเองเมื่อไม่นาน
โดยใช้วิธีการจัดชุมนุม แบบเดียวกันกับพันธมิตร และเสื้อแดง
นั่นคือการเดินสาย ผ่าความจริง ไปตามจังหวัดต่างๆ
จุดสุดท้ายที่นำมาสู่โหมดของการแตกหัก คือทักษิณทุ่มหมดหน้าตัก
จากความพยายามแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งถือว่าเป็นปราการด่านสุดท้ายของฝ่ายต่อต้าน
เป็นเส้นที่ขีดไว้ว่า ใครล้ำต้องตะลุมบอนกันแน่
โดยเฉพาะฝ่ายอำนาจเก่าและพรรคตรงข้าม
ผมจึงมีความห่วงใยว่า มวลชนที่อยู่ทั้งสองฝ่าย จะตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งจะเป็นความผิดพลาด และความเจ็บปวดซ้ำๆที่ไม่รู้จักจำของสังคมไทย
เพราะเชื่อว่า หากทำสงครามกลางเมืองกันจริง
คนที่เป็นต้นตอของปัญหาทั้งสองฝ่าย
จะยังคงอยู่สบาย อย่างมากก็ต้องหลบไปอย่างถาวร
แต่ที่เจ็บและตายถาวร คือประชาชนคนหน้าเดิม ตามเคย....
- นี่คือมุมมองของผม ผิดถูกประการใด ก็สามารถแสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ-