Credit : -คุณ : red_devil - [ 19 ก.พ. 52 15:53:27 ]
เป็นข้อมูลสำหรับคนที่เพิ่งเปิดบัญชีที่ครบถ้วนสมบูรณ์
พอดีจะเก็บไว้ใช้ พอทำเสร็จก็เลย เอามาแบ่งปัน
ขออนุญาติ คุณ : red_devil มา Post ไว้อีกรอบนะคะ
สารบัญเลขจะไม่เรียงนะคะ เพราะเอาความเห็นขอบคุณออก
ถ้าเรียงผิดช่วยแก้ให้ด้วยนะคะ
ความคิดเห็นที่ 1 >ต้องการเล่นหุ้นต้องทำอย่างไร
ความคิดเห็นที่ 2 >X ต่างๆ
ความคิดเห็นที่ 3 >ทำไมจึงเอาบริษัทเข้าตลาด
ความคิดเห็นที่ 4 >จะเป็นโบรกเกอร์
ความคิดเห็นที่ 5 >ค่าธรรมเนียม
ความคิดเห็นที่ 7 >เครื่องหมาย
ความคิดเห็นที่ 8 >เวลาเปิดปิดของตลาด
ความคิดเห็นที่ 9 >Warrant
ความคิดเห็นที่ 19 >Floor and Ceiling
ความคิดเห็นที่ 25 > NVDR คืออะไร และทำไมต้องมี
ความคิดเห็นที่ 26 >NP
ความคิดเห็นที่ 38 > หลักการส่งคำสั่งซื้อขายเข้าไปในตลาดฯ
ความคิดเห็นที่ 39 > Bid & Offer(Ask)
ความคิดเห็นที่ 42 >กระดานต่าง ๆ ในตลาดหลักทรัพย์
ความคิดเห็นที่ 44 >คำสั่งในการซื้อขายหุ้น ที่ควรทราบ
ความคิดเห็นที่ 46 > ถ้าบริษัทที่เราถือหุ้นเจ๊ง
ความคิดเห็นที่ 47 > ถ้าบริษัทออกจากตลาด
ความคิดเห็นที่ 48 >ใบหุ้น
ความคิดเห็นที่ 54 > Published หรือการซ่อนออร์เดอร์
### กระทู้สำหรับนักลงทุนมือใหม่ โดยเฉพาะ ภาค 2 ครับ ###
ความคิดเห็นที่ 1x >บัญชีเงินสด
ความคิดเห็นที่ 2x บัญชีเงินฝาก
ความคิดเห็นที่ 3x Warrat & Derivative Warrant
ความคิดเห็นที่ 5x >การโอนหุ้น
ความคิดเห็นที่ 6x >ใบหุ้นเอาเข้าพอร์ต
Search โดยการกด CTRL+F และความคิดเห็นที่ ...........
### กระทู้สำหรับนักลงทุนมือใหม่ โดยเฉพาะครับ ###
อยากจะตั้งกระทู้เพื่อรวบรวมข้อมูลที่มือใหม่ต้องการทราบเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นครับผม เพราะบางทีเจอคำถามบ่อย ๆ ที่นักลงทุนหน้าใหม่ ๆ เข้ามาถามกันบ่อยครับผม
ท่านใดเห็นว่าข้อมูลตรงไหนไม่ถูกต้องอย่างไร ก็ช่วยกรุณาบอกด้วยนะครับ (แหล่งข้อมูลคือ ตัวผมเองครับ ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า) อาจจะมีผิดพลาดบ้าง
** ความคิดเห็นที่ 1 >ต้องการเล่นหุ้นต้องทำอย่างไร
ก่อนอื่นถ้าต้องการเล่นหุ้น ต้องมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ครับ คล้าย ๆ กับเราไปเปิดบัญชีกับธนาคารนั่นแหละครับ มีโบรกเกอร์หรือนายหน้าหลายแห่งที่ให้บริการผู้ลงทุนอยู่ครับ ซึ่งตรงนี้ โดนบังคับเลยครับว่าต้องเปิดบัญชีหลักทรัพย์ผ่านโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น อยู่ ๆ จะไปเปิดบัญชีเทรดกับตลาดหลักทรัพย์เอง ไม่ได้ครับ
โดยเอกสารที่จำเป็นสำหรับการเปิดบัญชีทั่ว ๆ ไปก็คือ
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- เอกสารแสดงฐานะทางการเงิน (เพื่อให้โบรกเกอร์ทราบว่า ฐานะทางการเงินของเราเป็นอย่างไร, สมควรได้วงเงินในการเทรดเท่าไหร่ครับ)
- สมุดบัญชีธนาคารออมทรัพย์ (เพื่อใช้ชำระเงินค่าซื้อ และรับเงินค่าขายหลักทรัพย์ครับ) ทางโบรกเกอร์จะมีการตกลงกับทางธนาคารเองครับ
** แนะนำให้เอาหลักฐานตัวจริงไปถ่ายเอกสารที่บริษัทฯ ได้เลยครับ เพราะทางบริษัทฯ จะใช้กี่ชุดก็จะจัดการเองครับ
โดยบัญชีหลัก ๆ ที่นักลงทุนควรทราบจะมีอยู่ 4 บัญชีครับ
1. บัญชีเงินสด (Cash ) ซึ่งเป็นบัญชีที่กำหนดวงเงินไว้นั้นแหละครับ ว่าลูกค้าแต่ละคนที่เข้ามาเปิดบัญชี จะได้วงเงินในการเทรดเท่าไหร่ (จากหลักฐานที่ลูกค้านำมาแสดงนั่นแหละครับ) ซึ่งต้องมีการวางหลักประกัน 15% เพื่อซื้อหลักทรัพย์ด้วยครับ
2. บัญชีเงินฝาก (Cash Balance) เป็นบัญชีที่ไม่มีวงเงินตายตัวครับ วงเงินที่สามารถซื้อได้ จะเป็นไปตามจำนวนเงินฝากที่ลูกค้าฝากไว้กับทางโบรกเกอร์ครับ เช่น ลูกค้าฝากเงินไว้กับบริษัท 1,000,000 บาท ก็จะซื้อได้ตามจำนวนที่ฝากไว้ครับ คือ 1,000,000 บาท เมื่อเปลี่ยนจากเงินสดไปเป็นหุ้นแล้ว จำนวนวงเงินก็ลดลงตามไปครับ เช่น ซื้อหุ้นไป 300,000 บาท วงเงินก็จะลดลงเหลือ 700,000 บาทด้วยครับ
3. บัญชีมาร์จิ้น (Credit Balance) อันนี้เหมือนกับการกู้เงินเพื่อซื้อหุ้นนั่นแหละครับ รายละเอียดค่อนข้างเยอะ และในตอนนี้โบรกเกอร์ต่าง ๆ ก็จะไม่เปิดให้กับลูกค้าแล้วครับ เพราะแม้แต่ TSFC ซึ่งเป็นผู้ให้กู้ใหญ่ตอนนี้ ยังเอาตัวไม่รอดเลยครับ
4. บัญชีอนุพันธ์ (Delivertive) เป็นบัญชีเพื่อเทรดตราสารอนุพันธ์โดยเฉพาะครับ
** ความคิดเห็นที่ 2 > X ต่างๆ
คำถามต่อไปครับ ซื้อหุ้นเมื่อไหร่ จึงจะได้สิทธิ ซึ่งสิทธิในที่นี้รวมทั้ง ปันผล, หุ้นเพิ่มทุน, วอร์แรนท์, สิทธิเข้าประชุม ฯลฯ
อย่างแรกต้องทำความเข้าใจก่อนครับว่า เมื่อบริษัทฯ ใดต้องการจะจ่ายเงินปันผลหรือต้องการที่จะให้สิทธิอะไรกับผู้ถือหุ้น จะต้องมีการทำรายชื่อผู้ที่มีสิทธินั้น ๆ ซึ่งที่เรารู้จักกันดีคือ วันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเพื่อ..... เพื่อ... รับสิทธิอะไรก็ตามแต่ครับ ซึ่งหมายความว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ที่รายชื่อ ณ วันปิดสมุดทะเบียนฯ เท่านั้นที่จะได้สิทธินั้นครับ
ตรงนี้แหละครับที่เราจะทราบว่าเราต้องซื้อหุ้นเมื่อไหร่ถึงจะได้สิทธิ เช่น บริษัทฯ A บอกว่าปิดสมุดทะเบียนเพื่อรับเงินปันผลวันที่ 27/2/2009 เราก็นับวันเลยครับ เมื่อปิดสมุดทะเบียน 27/2/2009 ให้นับก่อนหน้าไปสามวันทำการ ย้ำนะครับว่าสามวันทำการ ไม่นับวันหยุด เราก็จะได้วันที่หุ้นขึ้นเครื่องหมาย XD ซึ่งตรงนี้ใช้ได้หมดครับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหมายอะไร ซึ่งเดี๋ยวผมจะแจ้งให้ทราบครับ ว่าเครื่องหมายแต่ละอย่างหมายถึงอะไร แปลว่าหุ้น A จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24/2/2009 ซึ่งหมายความว่าในวันที่ขึ้นเครื่องหมายนั้น ผู้ถือหุ้นจะไม่ได้สิทธินั้นแล้วครับ ถ้าต้องการได้เงินปันผลของบริษัท A จะต้องซื้อหุ้นอย่างช้าในวันที่ 23/2/2009 ครับ และต้องถือหุ้นจนสิ้นวันที่ 23/2/2009 ครับ แม้ว่า ในวันขึ้นเครื่องหมาย XD คุณจะขายหุ้นออกไปหมดก็ตาม ก็จะได้รับเงินปันผลอยู่ดี เพราะชื่อของคุณได้เข้าไปในสมุดทะเบียนผู้ถือห้นเพื่อรับเงินปันผลแล้วนั้นเองครับ
เครื่องหมายต่าง ๆ ครับ
XD =ปิดสมุดทะเบียนเพื่อรับเงินปันผล
XW =ปิดสมุดทะเบียนเพื่อรับวอร์แรนท์
XR = ปิดสมุดทะเบียนเพื่อใช้สิทธิเพิ่มทุน
XM = ปิดสมุดทะเบียนเพื่อเข้าประชุมผู้ถือหุ้น
XA = ปิดสมุดทะเบียนเพื่อรับสิทธิ หนึ่งอย่างขึ้นไป (เช่น รับสิทธิเพื่อซื้อหุ้นเพิ่มทุน และ รับวอร์แรนท์)
สำหรับท่านที่ต้องการดูปฏิทิน ตามลิ้งค์นี่ไปครับ
http://www.set.or.th/set/xcalendar.do?language=th&country=TH
ความคิดเห็นที่ 3 >ทำไมจึงเอาบริษัทเข้าตลาด
คำถาม ทำไมบริษัทต่าง ๆ จึงต้องนำหุ้นเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
อันนี้ลองสมมุติตัวเองเป็นเจ้าของบริษัทฯ ๆ นึงนะครับ ซึ่งดำเนินกิจการไปเรื่อย ๆ วันนึง ต้องการเงินทุนเพิ่มขึ้นจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตามแต่ซึ่งถ้าโดยหลักการแล้วมีสองทางให้เลือก
1. กู้จากแหล่งเงินกู้ ไม่ว่าจะเป็น ธนาคาร หรือออกตราสารหนี้ หรือที่เรียกว่า หุ้นกู้ นั่นแหละครับ ซึ่งตรงนี้ บริษัทฯ จะมีสภาพเป็นลูกหนี้ทันที และยังมีภาระคือ ภาระดอกเบี้ยครับ
2. หาผู้ร่วมทุน คือการเอาหุ้นไปขายนั่นแหละครับ คราวนี้ก็อยู่ที่ว่าจะไปขายให้ใคร แล้วแต่คุณครับ แต่วิธีที่ทำกันคือ มาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครับ คราวนี้คุณก็เพิ่มทุน แล้วเอาทุนหรือ หุ้นที่เพิ่มขึ้นมา เข้ามากระจายในตลาดหลักทรัพย์ กำหนดราคาขายว่าจะขายในราคาเท่าไหร่ ถ้าผู้ลงทุนพอใจ ก็ซื้อหุ้นคุณไป ซึ่งตรงนี้ภาระของคุณคือการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น และผู้ถือหุ้นก็จะเป็นเจ้าของบริษัทร่วมกับคุณ และได้รับผลประโยชน์จากเงินปันผล และส่วนต่างของราคาหุ้น ซึ่งคุณไม่ต้องจ่ายปันผลทุกปีก็ได้ครับ ถ้าเห็นว่ากำไรที่ได้มาต้องการนำไปขยายกิจการ และผู้ถือหุ้นก็จะมีสถานะเป็นผู้ร่วมทุน ไม่ใช่เจ้าหนี้ครับ
ยกตัวอย่าง เอาแบบสด ๆ ซิง ๆ เลยครับ หุ้น AIM ที่เข้าเทรดวันที่ 19/2/2009 มีราคาพาร์คือ ราคาทุนจดทะเบียนหุ้นละ 1 บาท แต่ทางบริษัทฯ ขายหุ้นให้กับผู้จองหุ้นก่อนเข้าตลาดในราคาหุ้นละ 1.10 บาท ซึ่งตรงนี้ทางบริษัทได้กำไรไปแล้วหุ้นละ 0.10 บาท แล้วพอหุ้นเข้าเทรดในตลาดได้ราคา 1.65 บาท (ในราคาเปิด) แปลว่าผู้จองซื้อได้กำไรส่วนต่างราคาหุ้นแล้วหุ้นละ 0.55 บาท
แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 52 16:23:26
แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 52 16:10:13
ความคิดเห็นที่ 4 >จะเป็นโบรกเกอร์
คำถามนี้เจอบ่อยมากครับ จะเป็นโบรกเกอร์ ต้องทำอย่างไร
ส่วนใหญ่คนจะเข้าใจผิดคิดว่า มาร์ฯ หรือ มาร์เกตติ้ง ที่เรียกกันว่าเจ้าหน้าที่การตลาดกับ โบรกเกอร์ คืออันเดียวกัน ต้องขอทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า โบรกเกอร์คือ บริษัทฯ หลักทรัพย์ ไม่ใช่ตัวคน การจะเป็นโบรกเกอร์ต้องมีใบอนุญาตการเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ครับ ซึ่งตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ออกใหม่ให้แล้วครับ ต้องไปหาใบอนุญาตฯ จากบริษัทหลักทรัพย์ที่ปิดตัวไปนั่นแหละครับ ซื้อขายกันเป็นหลัก หลายล้านบาทครับ
คราวนี้มาดูความหมายที่ต้องการครับ มาร์ฯ หรือ เจ้าหน้าที่การตลาดคือ ผู้มีหน้าที่ติดต่อกับผู้ลงทุน โดยต้องไปสอบเพื่อเอาใบอนุญาตเป็นผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนโดยหลัก ๆ ก็คือ เจ้าหน้าที่การตลาดตราสารทุน ครับ รายละเอียดการสอบไปตามลิ้งค์นี่เลยครับ
http://www.tsi-thailand.org/
เจ้าหน้าที่การตลาด จะมีรายได้จากเงินเดือน และ หรือ ค่าคอมมิชชั่นที่ลูกค้าที่ตัวเองดูแล ซื้อหรือขายหุ้นครับ
ความคิดเห็นที่ 5 > ค่าธรรมเนียม
ค่าธรรมเนียมในการซื้อและขายหุ้นเป็นอย่างไร
โดยปกติ ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นรายได้หลักของโบรกเกอร์เลยครับ ซึ่งจะเรียกเก็บจากลูกค้าที่มีการซื้อและขายหลักทรัพย์ครับผมซึ่งตอนนี้ผู้ลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อและขาย ผ่านสองช่องทางหลัก ๆ ครับ
1. ผ่านเจ้าหน้าที่การตลาด คือ ลูกค้านั่งในห้องค้าแล้วตะโกนบอกมาร์ฯ ให้คีย์ออร์เดอร์ให้ หรือโทรศัพท์ให้มาร์ฯ คีย์ออร์เดอร์ให้ครับ ซึ่งค่าธรรมเนียมในส่วนนี้จะเก็บ 0.25% ของมูลค่าการซื้อและขาย โดยการซื้อจะบวกค่าธรรมเนียมเพิ่มไปกับจำนวนเงินที่ชำระ และถ้าขายก็จะหักออกจากจำนวนเงินที่รับครับ และยังมี ภาษีมูลค่าเพิ่ม คิดจากค่าธรรมเนียมนะครับ ไม่ใช่มูลค่าการซื้อขาย เช่น ซื้อหุ้น 100,000 บาท ก็จะต้องชำระเงิน 100,000 + 250 + 17.50 = 100,267.50 บาทครับ แต่ถ้าขาย 100,000 ก็จะได้รับเงิน 100,000 - 250 - 17.50 = 99,732.50 บาท ครับผม
2. ผ่านระบบอินเตอร์เนต ซึ่งตรงนี้ค่าธรรมเนียมในการเรียกเก็บแต่ละโบรกเกอร์จะไม่เท่ากันครับ ต้องสอบถามรายละเอียดจากแต่ละบริษัทเองครับ โดยส่วนใหญ่จะถูกว่าซื้อขายผ่านมาร์ฯ ครับ
ปล. ที่สำคัญต้องสอบถามค่าคอมฯ ขั้นต่ำด้วยนะครับว่าแต่ละโบรกเกอร์มีเงื่อนไขอย่างไรครับผม
Update 2013
https://www.ktzmico.com/th/productsandservices/online-broking.aspx
http://www.maybank-ke.co.th/thai/Settle.asp?page=9
### กระทู้สำหรับนักลงทุนมือใหม่ โดยเฉพาะครับ ### Credit : คุณ : red_devil - 19/0252
เป็นข้อมูลสำหรับคนที่เพิ่งเปิดบัญชีที่ครบถ้วนสมบูรณ์
พอดีจะเก็บไว้ใช้ พอทำเสร็จก็เลย เอามาแบ่งปัน
ขออนุญาติ คุณ : red_devil มา Post ไว้อีกรอบนะคะ
สารบัญเลขจะไม่เรียงนะคะ เพราะเอาความเห็นขอบคุณออก
ถ้าเรียงผิดช่วยแก้ให้ด้วยนะคะ
ความคิดเห็นที่ 1 >ต้องการเล่นหุ้นต้องทำอย่างไร
ความคิดเห็นที่ 2 >X ต่างๆ
ความคิดเห็นที่ 3 >ทำไมจึงเอาบริษัทเข้าตลาด
ความคิดเห็นที่ 4 >จะเป็นโบรกเกอร์
ความคิดเห็นที่ 5 >ค่าธรรมเนียม
ความคิดเห็นที่ 7 >เครื่องหมาย
ความคิดเห็นที่ 8 >เวลาเปิดปิดของตลาด
ความคิดเห็นที่ 9 >Warrant
ความคิดเห็นที่ 19 >Floor and Ceiling
ความคิดเห็นที่ 25 > NVDR คืออะไร และทำไมต้องมี
ความคิดเห็นที่ 26 >NP
ความคิดเห็นที่ 38 > หลักการส่งคำสั่งซื้อขายเข้าไปในตลาดฯ
ความคิดเห็นที่ 39 > Bid & Offer(Ask)
ความคิดเห็นที่ 42 >กระดานต่าง ๆ ในตลาดหลักทรัพย์
ความคิดเห็นที่ 44 >คำสั่งในการซื้อขายหุ้น ที่ควรทราบ
ความคิดเห็นที่ 46 > ถ้าบริษัทที่เราถือหุ้นเจ๊ง
ความคิดเห็นที่ 47 > ถ้าบริษัทออกจากตลาด
ความคิดเห็นที่ 48 >ใบหุ้น
ความคิดเห็นที่ 54 > Published หรือการซ่อนออร์เดอร์
### กระทู้สำหรับนักลงทุนมือใหม่ โดยเฉพาะ ภาค 2 ครับ ###
ความคิดเห็นที่ 1x >บัญชีเงินสด
ความคิดเห็นที่ 2x บัญชีเงินฝาก
ความคิดเห็นที่ 3x Warrat & Derivative Warrant
ความคิดเห็นที่ 5x >การโอนหุ้น
ความคิดเห็นที่ 6x >ใบหุ้นเอาเข้าพอร์ต
Search โดยการกด CTRL+F และความคิดเห็นที่ ...........
### กระทู้สำหรับนักลงทุนมือใหม่ โดยเฉพาะครับ ###
อยากจะตั้งกระทู้เพื่อรวบรวมข้อมูลที่มือใหม่ต้องการทราบเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นครับผม เพราะบางทีเจอคำถามบ่อย ๆ ที่นักลงทุนหน้าใหม่ ๆ เข้ามาถามกันบ่อยครับผม
ท่านใดเห็นว่าข้อมูลตรงไหนไม่ถูกต้องอย่างไร ก็ช่วยกรุณาบอกด้วยนะครับ (แหล่งข้อมูลคือ ตัวผมเองครับ ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า) อาจจะมีผิดพลาดบ้าง
** ความคิดเห็นที่ 1 >ต้องการเล่นหุ้นต้องทำอย่างไร
ก่อนอื่นถ้าต้องการเล่นหุ้น ต้องมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ครับ คล้าย ๆ กับเราไปเปิดบัญชีกับธนาคารนั่นแหละครับ มีโบรกเกอร์หรือนายหน้าหลายแห่งที่ให้บริการผู้ลงทุนอยู่ครับ ซึ่งตรงนี้ โดนบังคับเลยครับว่าต้องเปิดบัญชีหลักทรัพย์ผ่านโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น อยู่ ๆ จะไปเปิดบัญชีเทรดกับตลาดหลักทรัพย์เอง ไม่ได้ครับ
โดยเอกสารที่จำเป็นสำหรับการเปิดบัญชีทั่ว ๆ ไปก็คือ
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- เอกสารแสดงฐานะทางการเงิน (เพื่อให้โบรกเกอร์ทราบว่า ฐานะทางการเงินของเราเป็นอย่างไร, สมควรได้วงเงินในการเทรดเท่าไหร่ครับ)
- สมุดบัญชีธนาคารออมทรัพย์ (เพื่อใช้ชำระเงินค่าซื้อ และรับเงินค่าขายหลักทรัพย์ครับ) ทางโบรกเกอร์จะมีการตกลงกับทางธนาคารเองครับ
** แนะนำให้เอาหลักฐานตัวจริงไปถ่ายเอกสารที่บริษัทฯ ได้เลยครับ เพราะทางบริษัทฯ จะใช้กี่ชุดก็จะจัดการเองครับ
โดยบัญชีหลัก ๆ ที่นักลงทุนควรทราบจะมีอยู่ 4 บัญชีครับ
1. บัญชีเงินสด (Cash ) ซึ่งเป็นบัญชีที่กำหนดวงเงินไว้นั้นแหละครับ ว่าลูกค้าแต่ละคนที่เข้ามาเปิดบัญชี จะได้วงเงินในการเทรดเท่าไหร่ (จากหลักฐานที่ลูกค้านำมาแสดงนั่นแหละครับ) ซึ่งต้องมีการวางหลักประกัน 15% เพื่อซื้อหลักทรัพย์ด้วยครับ
2. บัญชีเงินฝาก (Cash Balance) เป็นบัญชีที่ไม่มีวงเงินตายตัวครับ วงเงินที่สามารถซื้อได้ จะเป็นไปตามจำนวนเงินฝากที่ลูกค้าฝากไว้กับทางโบรกเกอร์ครับ เช่น ลูกค้าฝากเงินไว้กับบริษัท 1,000,000 บาท ก็จะซื้อได้ตามจำนวนที่ฝากไว้ครับ คือ 1,000,000 บาท เมื่อเปลี่ยนจากเงินสดไปเป็นหุ้นแล้ว จำนวนวงเงินก็ลดลงตามไปครับ เช่น ซื้อหุ้นไป 300,000 บาท วงเงินก็จะลดลงเหลือ 700,000 บาทด้วยครับ
3. บัญชีมาร์จิ้น (Credit Balance) อันนี้เหมือนกับการกู้เงินเพื่อซื้อหุ้นนั่นแหละครับ รายละเอียดค่อนข้างเยอะ และในตอนนี้โบรกเกอร์ต่าง ๆ ก็จะไม่เปิดให้กับลูกค้าแล้วครับ เพราะแม้แต่ TSFC ซึ่งเป็นผู้ให้กู้ใหญ่ตอนนี้ ยังเอาตัวไม่รอดเลยครับ
4. บัญชีอนุพันธ์ (Delivertive) เป็นบัญชีเพื่อเทรดตราสารอนุพันธ์โดยเฉพาะครับ
** ความคิดเห็นที่ 2 > X ต่างๆ
คำถามต่อไปครับ ซื้อหุ้นเมื่อไหร่ จึงจะได้สิทธิ ซึ่งสิทธิในที่นี้รวมทั้ง ปันผล, หุ้นเพิ่มทุน, วอร์แรนท์, สิทธิเข้าประชุม ฯลฯ
อย่างแรกต้องทำความเข้าใจก่อนครับว่า เมื่อบริษัทฯ ใดต้องการจะจ่ายเงินปันผลหรือต้องการที่จะให้สิทธิอะไรกับผู้ถือหุ้น จะต้องมีการทำรายชื่อผู้ที่มีสิทธินั้น ๆ ซึ่งที่เรารู้จักกันดีคือ วันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเพื่อ..... เพื่อ... รับสิทธิอะไรก็ตามแต่ครับ ซึ่งหมายความว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ที่รายชื่อ ณ วันปิดสมุดทะเบียนฯ เท่านั้นที่จะได้สิทธินั้นครับ
ตรงนี้แหละครับที่เราจะทราบว่าเราต้องซื้อหุ้นเมื่อไหร่ถึงจะได้สิทธิ เช่น บริษัทฯ A บอกว่าปิดสมุดทะเบียนเพื่อรับเงินปันผลวันที่ 27/2/2009 เราก็นับวันเลยครับ เมื่อปิดสมุดทะเบียน 27/2/2009 ให้นับก่อนหน้าไปสามวันทำการ ย้ำนะครับว่าสามวันทำการ ไม่นับวันหยุด เราก็จะได้วันที่หุ้นขึ้นเครื่องหมาย XD ซึ่งตรงนี้ใช้ได้หมดครับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหมายอะไร ซึ่งเดี๋ยวผมจะแจ้งให้ทราบครับ ว่าเครื่องหมายแต่ละอย่างหมายถึงอะไร แปลว่าหุ้น A จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24/2/2009 ซึ่งหมายความว่าในวันที่ขึ้นเครื่องหมายนั้น ผู้ถือหุ้นจะไม่ได้สิทธินั้นแล้วครับ ถ้าต้องการได้เงินปันผลของบริษัท A จะต้องซื้อหุ้นอย่างช้าในวันที่ 23/2/2009 ครับ และต้องถือหุ้นจนสิ้นวันที่ 23/2/2009 ครับ แม้ว่า ในวันขึ้นเครื่องหมาย XD คุณจะขายหุ้นออกไปหมดก็ตาม ก็จะได้รับเงินปันผลอยู่ดี เพราะชื่อของคุณได้เข้าไปในสมุดทะเบียนผู้ถือห้นเพื่อรับเงินปันผลแล้วนั้นเองครับ
เครื่องหมายต่าง ๆ ครับ
XD =ปิดสมุดทะเบียนเพื่อรับเงินปันผล
XW =ปิดสมุดทะเบียนเพื่อรับวอร์แรนท์
XR = ปิดสมุดทะเบียนเพื่อใช้สิทธิเพิ่มทุน
XM = ปิดสมุดทะเบียนเพื่อเข้าประชุมผู้ถือหุ้น
XA = ปิดสมุดทะเบียนเพื่อรับสิทธิ หนึ่งอย่างขึ้นไป (เช่น รับสิทธิเพื่อซื้อหุ้นเพิ่มทุน และ รับวอร์แรนท์)
สำหรับท่านที่ต้องการดูปฏิทิน ตามลิ้งค์นี่ไปครับ http://www.set.or.th/set/xcalendar.do?language=th&country=TH
ความคิดเห็นที่ 3 >ทำไมจึงเอาบริษัทเข้าตลาด
คำถาม ทำไมบริษัทต่าง ๆ จึงต้องนำหุ้นเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
อันนี้ลองสมมุติตัวเองเป็นเจ้าของบริษัทฯ ๆ นึงนะครับ ซึ่งดำเนินกิจการไปเรื่อย ๆ วันนึง ต้องการเงินทุนเพิ่มขึ้นจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตามแต่ซึ่งถ้าโดยหลักการแล้วมีสองทางให้เลือก
1. กู้จากแหล่งเงินกู้ ไม่ว่าจะเป็น ธนาคาร หรือออกตราสารหนี้ หรือที่เรียกว่า หุ้นกู้ นั่นแหละครับ ซึ่งตรงนี้ บริษัทฯ จะมีสภาพเป็นลูกหนี้ทันที และยังมีภาระคือ ภาระดอกเบี้ยครับ
2. หาผู้ร่วมทุน คือการเอาหุ้นไปขายนั่นแหละครับ คราวนี้ก็อยู่ที่ว่าจะไปขายให้ใคร แล้วแต่คุณครับ แต่วิธีที่ทำกันคือ มาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครับ คราวนี้คุณก็เพิ่มทุน แล้วเอาทุนหรือ หุ้นที่เพิ่มขึ้นมา เข้ามากระจายในตลาดหลักทรัพย์ กำหนดราคาขายว่าจะขายในราคาเท่าไหร่ ถ้าผู้ลงทุนพอใจ ก็ซื้อหุ้นคุณไป ซึ่งตรงนี้ภาระของคุณคือการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น และผู้ถือหุ้นก็จะเป็นเจ้าของบริษัทร่วมกับคุณ และได้รับผลประโยชน์จากเงินปันผล และส่วนต่างของราคาหุ้น ซึ่งคุณไม่ต้องจ่ายปันผลทุกปีก็ได้ครับ ถ้าเห็นว่ากำไรที่ได้มาต้องการนำไปขยายกิจการ และผู้ถือหุ้นก็จะมีสถานะเป็นผู้ร่วมทุน ไม่ใช่เจ้าหนี้ครับ
ยกตัวอย่าง เอาแบบสด ๆ ซิง ๆ เลยครับ หุ้น AIM ที่เข้าเทรดวันที่ 19/2/2009 มีราคาพาร์คือ ราคาทุนจดทะเบียนหุ้นละ 1 บาท แต่ทางบริษัทฯ ขายหุ้นให้กับผู้จองหุ้นก่อนเข้าตลาดในราคาหุ้นละ 1.10 บาท ซึ่งตรงนี้ทางบริษัทได้กำไรไปแล้วหุ้นละ 0.10 บาท แล้วพอหุ้นเข้าเทรดในตลาดได้ราคา 1.65 บาท (ในราคาเปิด) แปลว่าผู้จองซื้อได้กำไรส่วนต่างราคาหุ้นแล้วหุ้นละ 0.55 บาท
แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 52 16:23:26
แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 52 16:10:13
ความคิดเห็นที่ 4 >จะเป็นโบรกเกอร์
คำถามนี้เจอบ่อยมากครับ จะเป็นโบรกเกอร์ ต้องทำอย่างไร
ส่วนใหญ่คนจะเข้าใจผิดคิดว่า มาร์ฯ หรือ มาร์เกตติ้ง ที่เรียกกันว่าเจ้าหน้าที่การตลาดกับ โบรกเกอร์ คืออันเดียวกัน ต้องขอทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า โบรกเกอร์คือ บริษัทฯ หลักทรัพย์ ไม่ใช่ตัวคน การจะเป็นโบรกเกอร์ต้องมีใบอนุญาตการเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ครับ ซึ่งตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ออกใหม่ให้แล้วครับ ต้องไปหาใบอนุญาตฯ จากบริษัทหลักทรัพย์ที่ปิดตัวไปนั่นแหละครับ ซื้อขายกันเป็นหลัก หลายล้านบาทครับ
คราวนี้มาดูความหมายที่ต้องการครับ มาร์ฯ หรือ เจ้าหน้าที่การตลาดคือ ผู้มีหน้าที่ติดต่อกับผู้ลงทุน โดยต้องไปสอบเพื่อเอาใบอนุญาตเป็นผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนโดยหลัก ๆ ก็คือ เจ้าหน้าที่การตลาดตราสารทุน ครับ รายละเอียดการสอบไปตามลิ้งค์นี่เลยครับ http://www.tsi-thailand.org/
เจ้าหน้าที่การตลาด จะมีรายได้จากเงินเดือน และ หรือ ค่าคอมมิชชั่นที่ลูกค้าที่ตัวเองดูแล ซื้อหรือขายหุ้นครับ
ความคิดเห็นที่ 5 > ค่าธรรมเนียม
ค่าธรรมเนียมในการซื้อและขายหุ้นเป็นอย่างไร
โดยปกติ ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นรายได้หลักของโบรกเกอร์เลยครับ ซึ่งจะเรียกเก็บจากลูกค้าที่มีการซื้อและขายหลักทรัพย์ครับผมซึ่งตอนนี้ผู้ลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อและขาย ผ่านสองช่องทางหลัก ๆ ครับ
1. ผ่านเจ้าหน้าที่การตลาด คือ ลูกค้านั่งในห้องค้าแล้วตะโกนบอกมาร์ฯ ให้คีย์ออร์เดอร์ให้ หรือโทรศัพท์ให้มาร์ฯ คีย์ออร์เดอร์ให้ครับ ซึ่งค่าธรรมเนียมในส่วนนี้จะเก็บ 0.25% ของมูลค่าการซื้อและขาย โดยการซื้อจะบวกค่าธรรมเนียมเพิ่มไปกับจำนวนเงินที่ชำระ และถ้าขายก็จะหักออกจากจำนวนเงินที่รับครับ และยังมี ภาษีมูลค่าเพิ่ม คิดจากค่าธรรมเนียมนะครับ ไม่ใช่มูลค่าการซื้อขาย เช่น ซื้อหุ้น 100,000 บาท ก็จะต้องชำระเงิน 100,000 + 250 + 17.50 = 100,267.50 บาทครับ แต่ถ้าขาย 100,000 ก็จะได้รับเงิน 100,000 - 250 - 17.50 = 99,732.50 บาท ครับผม
2. ผ่านระบบอินเตอร์เนต ซึ่งตรงนี้ค่าธรรมเนียมในการเรียกเก็บแต่ละโบรกเกอร์จะไม่เท่ากันครับ ต้องสอบถามรายละเอียดจากแต่ละบริษัทเองครับ โดยส่วนใหญ่จะถูกว่าซื้อขายผ่านมาร์ฯ ครับ
ปล. ที่สำคัญต้องสอบถามค่าคอมฯ ขั้นต่ำด้วยนะครับว่าแต่ละโบรกเกอร์มีเงื่อนไขอย่างไรครับผม
Update 2013 https://www.ktzmico.com/th/productsandservices/online-broking.aspx
http://www.maybank-ke.co.th/thai/Settle.asp?page=9