คือผมไม่ได้เรียนด้านนี้ ไม่รู้ว่ามันมีคำสั้นๆ technical term ไว้เรียกปรากฎการณ์เงื่อนไขลักษณะนี้ไหมครับ
ยกตัวอย่างเช่นลูกชิ้นหมู
นาย A ต้องการกินลูกชิ้นหมู แต่มีเงินติดตัวน้อย เลยซื้อลูกชิ้นข้างทาง ซึ่งมีแต่แป้ง
มีเนื้ออยู่นิดเดียว แถมไม่ใช่เนื้อหมูล้วน ผสมเนื้ออย่างอื่นไปด้วย แหวะมาก
ที่นาย A ซื้อเพราะไม่ต้องการจ่ายเยอะกว่านี้ มีกำลังซื้อแค่นี้
ต้นทุนเฉพาะเนื้อลูกชิ้น (ไม่รวมค่าไม้เสียบ ค่าเช่าที่วางรถเข็น ฯลฯ) ไม้ละ 3 บาท ขายราคาไม้ละ 6 บาท
นาย B ซื้อลูกชิ้นหมูในห้างดอกบัว ส่วนผสมใช้เนื้อหมูแท้ๆ
ผสมแป้งแค่นิดหน่อยตามสูตรให้มีลักษณะเด้งอย่างที่ควรจะเป็น
ต้นทุนเฉพาะเนื้อลูกชิ้นไม้ละ 6 บาท ขายราคาไม้ละ 10 บาท
นาย C ซื้อลูกชิ้นหมูจากเลานจ์สุดหรูในห้างย่านปทุมวัน
ต้นทุนเฉพาะเนื้อลูกชิ้นไม้ละ 9 บาท ขายราคาไม้ละ 40 บาท
กินแล้วแยกไม่ออก เลยซื้อลูกชิ้นจากห้างดอกบัวมาสลับกินเปรียบเทียบทีละคำ ถึงรู้สึกได้ว่า เออ มันดีกว่าจริงๆ
นาย C ไม่ได้ใช้ smartphone แชร์รูปให้เพื่อนดูว่ามากินลูกชิ้นหมูร้านนี้แล้วนะ กรณีนี้จึงไม่ได้รับมูลค่าเพิ่มด้านสังคม
และไม่ได้เป็นการซื้อแพงเพราะโอกาสบังคับ(เช่นยอมกินข้าวแพงๆที่อิมแพค) เพราะตั้งใจมาซื้อถึงที่
จริงๆแล้วนาย C แค่อยากกินลูกชิ้นหมูที่ดีที่สุดเท่าที่เงินจะซื้อได้ ต้องการคุณภาพสูงสุดจากเนื้อลูกชิ้นหมู
ถ้าวาดกราฟก็น่าจะได้ออกมาเป็นประมาณนี้
นาย A ตกอยู่ในพื้นที่สีส้ม ยอมจ่ายถูกสุดๆ แค่ให้ได้มาซึ่งอะไรก็ได้ มันก็ถูกกว่าสินค้าราคากลางๆไม่มาก แต่คุณภาพด้อยกว่ามากๆๆ คนขายทำขายคนจนที่ไม่มีทางเลือก กดต้นทุนได้ต่ำสุดแล้วก็มาขายราคาต่ำสุด
นาย B อยู่ที่จุดสีฟ้า คุณภาพดี อาจจะไม่ได้ถึงกับดีที่สุด แต่ก็รับได้ ไม่จัดว่าคุณภาพชีวิตตกต่ำ ราคาอาจจะแพงหน่อยแต่ก็สมเหตุสมผล เพราะยังต้องแข่งกับคู่แข่งอื่นๆ ภาษาไทยน่าจะเรียกจุดนี้ว่าคุ้มค่า
นาย C อยู่ในพื้นที่สีเขียวขวาสุดของกราฟ ตั้งราคาแพงเท่าไหร่ก็ได้ ตราบใดที่ยังไม่มีใครทำสู้ได้และยังมีกำลังซื้อ คนที่แสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดก็ยอมจ่ายเพื่อให้ได้มา
มี technical term ที่ไว้ใช้เรียกปรากฎการณ์แบบนี้ไหมครับ
ถ้าตรงพื้นที่สีเขียวเรียกว่าเป็นมูลค่าเพิ่มทางอารมณ์ เป็นสินค้า luxury
แล้วด้านพื้นที่สีส้มจะใช้คำว่าอะไรครับ
หรือมีทฤษฎีบทความอะไรที่ผมน่าจะหามาอ่านเพิ่มเติมบ้างครับ
ราคาจ่ายแพงเพิ่มขึ้น ไม่ได้เป็นอัตราส่วนโดยตรงกับสิ่งที่ได้รับเพิ่ม ในวิชาเศรษฐศาสตร์มีคำไว้อธิบายไหม
ยกตัวอย่างเช่นลูกชิ้นหมู
นาย A ต้องการกินลูกชิ้นหมู แต่มีเงินติดตัวน้อย เลยซื้อลูกชิ้นข้างทาง ซึ่งมีแต่แป้ง
มีเนื้ออยู่นิดเดียว แถมไม่ใช่เนื้อหมูล้วน ผสมเนื้ออย่างอื่นไปด้วย แหวะมาก
ที่นาย A ซื้อเพราะไม่ต้องการจ่ายเยอะกว่านี้ มีกำลังซื้อแค่นี้
ต้นทุนเฉพาะเนื้อลูกชิ้น (ไม่รวมค่าไม้เสียบ ค่าเช่าที่วางรถเข็น ฯลฯ) ไม้ละ 3 บาท ขายราคาไม้ละ 6 บาท
นาย B ซื้อลูกชิ้นหมูในห้างดอกบัว ส่วนผสมใช้เนื้อหมูแท้ๆ
ผสมแป้งแค่นิดหน่อยตามสูตรให้มีลักษณะเด้งอย่างที่ควรจะเป็น
ต้นทุนเฉพาะเนื้อลูกชิ้นไม้ละ 6 บาท ขายราคาไม้ละ 10 บาท
นาย C ซื้อลูกชิ้นหมูจากเลานจ์สุดหรูในห้างย่านปทุมวัน
ต้นทุนเฉพาะเนื้อลูกชิ้นไม้ละ 9 บาท ขายราคาไม้ละ 40 บาท
กินแล้วแยกไม่ออก เลยซื้อลูกชิ้นจากห้างดอกบัวมาสลับกินเปรียบเทียบทีละคำ ถึงรู้สึกได้ว่า เออ มันดีกว่าจริงๆ
นาย C ไม่ได้ใช้ smartphone แชร์รูปให้เพื่อนดูว่ามากินลูกชิ้นหมูร้านนี้แล้วนะ กรณีนี้จึงไม่ได้รับมูลค่าเพิ่มด้านสังคม
และไม่ได้เป็นการซื้อแพงเพราะโอกาสบังคับ(เช่นยอมกินข้าวแพงๆที่อิมแพค) เพราะตั้งใจมาซื้อถึงที่
จริงๆแล้วนาย C แค่อยากกินลูกชิ้นหมูที่ดีที่สุดเท่าที่เงินจะซื้อได้ ต้องการคุณภาพสูงสุดจากเนื้อลูกชิ้นหมู
ถ้าวาดกราฟก็น่าจะได้ออกมาเป็นประมาณนี้
นาย A ตกอยู่ในพื้นที่สีส้ม ยอมจ่ายถูกสุดๆ แค่ให้ได้มาซึ่งอะไรก็ได้ มันก็ถูกกว่าสินค้าราคากลางๆไม่มาก แต่คุณภาพด้อยกว่ามากๆๆ คนขายทำขายคนจนที่ไม่มีทางเลือก กดต้นทุนได้ต่ำสุดแล้วก็มาขายราคาต่ำสุด
นาย B อยู่ที่จุดสีฟ้า คุณภาพดี อาจจะไม่ได้ถึงกับดีที่สุด แต่ก็รับได้ ไม่จัดว่าคุณภาพชีวิตตกต่ำ ราคาอาจจะแพงหน่อยแต่ก็สมเหตุสมผล เพราะยังต้องแข่งกับคู่แข่งอื่นๆ ภาษาไทยน่าจะเรียกจุดนี้ว่าคุ้มค่า
นาย C อยู่ในพื้นที่สีเขียวขวาสุดของกราฟ ตั้งราคาแพงเท่าไหร่ก็ได้ ตราบใดที่ยังไม่มีใครทำสู้ได้และยังมีกำลังซื้อ คนที่แสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดก็ยอมจ่ายเพื่อให้ได้มา
มี technical term ที่ไว้ใช้เรียกปรากฎการณ์แบบนี้ไหมครับ
ถ้าตรงพื้นที่สีเขียวเรียกว่าเป็นมูลค่าเพิ่มทางอารมณ์ เป็นสินค้า luxury
แล้วด้านพื้นที่สีส้มจะใช้คำว่าอะไรครับ
หรือมีทฤษฎีบทความอะไรที่ผมน่าจะหามาอ่านเพิ่มเติมบ้างครับ