แม้หลังดูจบจะรู้สึกว่าไม่ยอดเยี่ยมสุดๆ ในระดับที่คาดไว้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีใครอีกแล้วที่เหมาะสมกับการนำนิยายเรื่องนี้กลับมาขึ้นจอ (อีกครั้ง) มากไปกว่า บาซ เลอห์มานน์ เจ้าของผลงานอลังการดาวล้านดวงอย่าง Moulin Rouge! และ Romeo + Juliet ฉบับโมเดิร์นเลิฟ
นวนิยายคลาสสิกของอเมริกันช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เรื่องนี้ เป็นผลงานของ เอฟ. สกอตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์ ที่เจ้าตัวเขียนขึ้นมาหลังจากผ่านการใช้ชีวิตฟู่ฟ่าบ้าบิ่น จนทำให้ตัวเองเริ่มเหลวแหลก ตกต่ำ เรื่องราวที่ออกมาจึงเป็นนิยายรักเชิงโศกนาฏกรรมอัดแน่นไว้ด้วยการเสียดสีทัศนคติ "ความฝันแบบอเมริกัน" ซึ่งชี้นำให้คนก่อร่างสร้างตัว สะสมวัตถุเงินทอง จนกระทั่งกลายเป็นเหยื่อของสังคมอันฟุ้งเฟ้อ และถือว่าเป็นผลงานมาสเตอร์พีซที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ ฟิตซ์เจอรัลด์ เคยเขียนออกมา
The Great Gatsby เล่าเรื่องย้อนอดีตผ่านตัวละครหลักอย่าง นิค คาร์ราเวย์ ผู้เป็นเหมือนตัวกลางที่พาเราไปรู้จักกับแกสบี้ หรือ เจย์ แกสบี้ มหาเศรษฐีผู้ยิ่งใหญ่ พระเอกตัวจริงของนิยายเรื่องนี้อีกที โดยมีฉากหลังเป็นสังคมยุคหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเศรษฐกิจในอเมริกากำลังรุ่งเรืองเฟื่องฟูถึงขีดสุด ผู้คนจัดงานเลี้ยงกันอย่างเอิกเกริก หาเงินมาซื้อวัตถุปรนเปรอตัวเองแบบไม่ลืมหูลืมตา
เจย์ แกสบี้ เป็นมหาเศรษฐีลึกลับที่มักจะจัดงานเลี้ยงขึ้นที่บ้านตัวเองอย่างใหญ่โตมโหฬารในทุกๆ อาทิตย์เช่นกัน คนทั่วทั้งเมืองล้วนแห่แหนมาเริงรมณ์กับงานที่ว่านี้จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ไม่ว่าจะได้รับเชิญหรือไม่ก็ตาม เบื้องลึกเบื้องหลังงานของเลี้ยง แกสบี้ ไม่ได้จัดขึ้นเพื่ออวยชัยให้กับความร่ำรวยมีฐานะของตัวเอง แต่จัดขึ้นเพื่อหวังว่า เดซี่ หญิงสาวคนรักจะโผล่มาที่งานเลี้ยงของเขาในวันหนึ่ง และกลับมารักกันอีกครั้ง แม้จะรู้ทั้งรู้ว่า เดซี่ แต่งงานไปแล้วกับคนอื่น แกสบี้ ก็ไม่อาจหักห้ามหัวใจตัวเองให้เลิกรักผู้หญิงคนนี้ได้
บาซ เลอห์มานน์ ไม่ทำให้ผิดหวังในส่วนของโปรดักชั่น กับความอลังการสะท้านฟ้าสมชื่อสมราคา เนรมิตบรรยากาศอันรื่นเริง หรูหรา ของผู้คนและสังคมยุคนั้นออกมาให้ผู้ชมสัมผัสได้อย่างแจ่มชัด โดยที่ไม่ได้อินังขังขอบกับความสมจริง ถูกต้อง ตามยุคสมัยเสียทีเดียว แต่อาศัยการผสมผสานความเก่าและใหม่เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ทั้งจากงานแสงสี เสื้อผ้า แฟชั่น ตลอดจนเพลงประกอบสมัยใหม่ ที่มีตั้งแต่งานพ็อพร็อค ฮิพฮอพ อาร์แอนด์บี ไปยันดนตรีเต้นรำตื๊ดต๊าดแบบดับสเต็ป
ขณะที่ในส่วนเนื้อเรื่อง หนังค่อนข้างซื่อตรงกับหนังสือต้นฉบับของ ฟิตซ์เจอรัลด์ แม้ว่าบางส่วนจะถูกบิด ย่น หรือยืดไปบ้างจากการนำเสนอในสไตล์ของ เลอห์มานน์ แต่โดยรวมแล้วยังคงรักษาใจความสำคัญๆ ของเรื่องไว้ได้ ด้วยเรื่องของความรัก วัตถุ ความมั่งคั่งในฉากหน้า และจิตใจอันดำมืดของผู้คนในฉากหลัง
จุดที่ดูเหมือนจะเป็นความล้มเหลวเล็กๆ แต่มีผลให้หนังไม่พีคขึ้นไปถึงระดับที่ควรจะเป็น ก็คือ เลอห์มานน์ ไม่สามารถกระตุ้นให้คนดูกระหายใคร่รู้ในความลึกลับ และแรงขับอันเป็นที่มาที่ไปภายใต้มาดผู้ดีของ แกสบี้ ได้สักเท่าไหร่นัก ซึ่งส่งผลโดยตรงกับความเห็นใจของคนดูที่มีต่อชะตากรรมของตัวละครในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะตอนกลางเรื่องที่ แกสบี้ ระเบิดอารมณ์ออกมาจนไม่เหลือมาด(ผู้ดี) หรือในช่วงไคลแม็กซ์ ที่แม้จะประสบความสำเร็จในการเร้าอารมณ์คนดูในระดับที่น่าพอใจ แต่ด้วยเรื่องของที่ ฟิตซ์เจอรัลด์ เขียนไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว หนังควรจะทำให้ผู้ชมร่วม "จี๊ด" และ "เจ็บ" ไปกับผู้ชายบ้ารักอย่าง เจย์ แกสบี้ ได้มากกว่านี้
คะแนน : สามดาวครึ่ง
PS. หนังเข้าฉายแล้ว โดยรวม ดี อลังการ แม้จะไม่ยอดเยี่ยมกระเทียมเจียว แต่ไม่ผิดหวังอย่างที่ว่ามานี่แหละ อ้อ หนังยาวเกือบ 2 ชั่วโมงครึ่ง กรุณาเตรียมตัวกันล่วงหน้า (แล้วก็อย่าลืมผ้าเช็ดหน้าด้วยนะจ๊ะ) ส่วนงาน 3D ทำออกมาดูดีในระดับมาตรฐาน เพิ่มอรรถรสให้กับตัวหนังได้มากขึ้น
ฝากกด like แฟนเพจด้วยจ้า
http://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518
(แอบดูมาแล้ว) The Great Gatsby (2013) : แกสบี้ คนโง่บ้ารัก..หล่อเลือกได้ แต่รวยเลือกก่อน
แม้หลังดูจบจะรู้สึกว่าไม่ยอดเยี่ยมสุดๆ ในระดับที่คาดไว้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีใครอีกแล้วที่เหมาะสมกับการนำนิยายเรื่องนี้กลับมาขึ้นจอ (อีกครั้ง) มากไปกว่า บาซ เลอห์มานน์ เจ้าของผลงานอลังการดาวล้านดวงอย่าง Moulin Rouge! และ Romeo + Juliet ฉบับโมเดิร์นเลิฟ
นวนิยายคลาสสิกของอเมริกันช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เรื่องนี้ เป็นผลงานของ เอฟ. สกอตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์ ที่เจ้าตัวเขียนขึ้นมาหลังจากผ่านการใช้ชีวิตฟู่ฟ่าบ้าบิ่น จนทำให้ตัวเองเริ่มเหลวแหลก ตกต่ำ เรื่องราวที่ออกมาจึงเป็นนิยายรักเชิงโศกนาฏกรรมอัดแน่นไว้ด้วยการเสียดสีทัศนคติ "ความฝันแบบอเมริกัน" ซึ่งชี้นำให้คนก่อร่างสร้างตัว สะสมวัตถุเงินทอง จนกระทั่งกลายเป็นเหยื่อของสังคมอันฟุ้งเฟ้อ และถือว่าเป็นผลงานมาสเตอร์พีซที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ ฟิตซ์เจอรัลด์ เคยเขียนออกมา
The Great Gatsby เล่าเรื่องย้อนอดีตผ่านตัวละครหลักอย่าง นิค คาร์ราเวย์ ผู้เป็นเหมือนตัวกลางที่พาเราไปรู้จักกับแกสบี้ หรือ เจย์ แกสบี้ มหาเศรษฐีผู้ยิ่งใหญ่ พระเอกตัวจริงของนิยายเรื่องนี้อีกที โดยมีฉากหลังเป็นสังคมยุคหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเศรษฐกิจในอเมริกากำลังรุ่งเรืองเฟื่องฟูถึงขีดสุด ผู้คนจัดงานเลี้ยงกันอย่างเอิกเกริก หาเงินมาซื้อวัตถุปรนเปรอตัวเองแบบไม่ลืมหูลืมตา
เจย์ แกสบี้ เป็นมหาเศรษฐีลึกลับที่มักจะจัดงานเลี้ยงขึ้นที่บ้านตัวเองอย่างใหญ่โตมโหฬารในทุกๆ อาทิตย์เช่นกัน คนทั่วทั้งเมืองล้วนแห่แหนมาเริงรมณ์กับงานที่ว่านี้จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ไม่ว่าจะได้รับเชิญหรือไม่ก็ตาม เบื้องลึกเบื้องหลังงานของเลี้ยง แกสบี้ ไม่ได้จัดขึ้นเพื่ออวยชัยให้กับความร่ำรวยมีฐานะของตัวเอง แต่จัดขึ้นเพื่อหวังว่า เดซี่ หญิงสาวคนรักจะโผล่มาที่งานเลี้ยงของเขาในวันหนึ่ง และกลับมารักกันอีกครั้ง แม้จะรู้ทั้งรู้ว่า เดซี่ แต่งงานไปแล้วกับคนอื่น แกสบี้ ก็ไม่อาจหักห้ามหัวใจตัวเองให้เลิกรักผู้หญิงคนนี้ได้
บาซ เลอห์มานน์ ไม่ทำให้ผิดหวังในส่วนของโปรดักชั่น กับความอลังการสะท้านฟ้าสมชื่อสมราคา เนรมิตบรรยากาศอันรื่นเริง หรูหรา ของผู้คนและสังคมยุคนั้นออกมาให้ผู้ชมสัมผัสได้อย่างแจ่มชัด โดยที่ไม่ได้อินังขังขอบกับความสมจริง ถูกต้อง ตามยุคสมัยเสียทีเดียว แต่อาศัยการผสมผสานความเก่าและใหม่เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ทั้งจากงานแสงสี เสื้อผ้า แฟชั่น ตลอดจนเพลงประกอบสมัยใหม่ ที่มีตั้งแต่งานพ็อพร็อค ฮิพฮอพ อาร์แอนด์บี ไปยันดนตรีเต้นรำตื๊ดต๊าดแบบดับสเต็ป
ขณะที่ในส่วนเนื้อเรื่อง หนังค่อนข้างซื่อตรงกับหนังสือต้นฉบับของ ฟิตซ์เจอรัลด์ แม้ว่าบางส่วนจะถูกบิด ย่น หรือยืดไปบ้างจากการนำเสนอในสไตล์ของ เลอห์มานน์ แต่โดยรวมแล้วยังคงรักษาใจความสำคัญๆ ของเรื่องไว้ได้ ด้วยเรื่องของความรัก วัตถุ ความมั่งคั่งในฉากหน้า และจิตใจอันดำมืดของผู้คนในฉากหลัง
จุดที่ดูเหมือนจะเป็นความล้มเหลวเล็กๆ แต่มีผลให้หนังไม่พีคขึ้นไปถึงระดับที่ควรจะเป็น ก็คือ เลอห์มานน์ ไม่สามารถกระตุ้นให้คนดูกระหายใคร่รู้ในความลึกลับ และแรงขับอันเป็นที่มาที่ไปภายใต้มาดผู้ดีของ แกสบี้ ได้สักเท่าไหร่นัก ซึ่งส่งผลโดยตรงกับความเห็นใจของคนดูที่มีต่อชะตากรรมของตัวละครในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะตอนกลางเรื่องที่ แกสบี้ ระเบิดอารมณ์ออกมาจนไม่เหลือมาด(ผู้ดี) หรือในช่วงไคลแม็กซ์ ที่แม้จะประสบความสำเร็จในการเร้าอารมณ์คนดูในระดับที่น่าพอใจ แต่ด้วยเรื่องของที่ ฟิตซ์เจอรัลด์ เขียนไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว หนังควรจะทำให้ผู้ชมร่วม "จี๊ด" และ "เจ็บ" ไปกับผู้ชายบ้ารักอย่าง เจย์ แกสบี้ ได้มากกว่านี้
คะแนน : สามดาวครึ่ง
PS. หนังเข้าฉายแล้ว โดยรวม ดี อลังการ แม้จะไม่ยอดเยี่ยมกระเทียมเจียว แต่ไม่ผิดหวังอย่างที่ว่ามานี่แหละ อ้อ หนังยาวเกือบ 2 ชั่วโมงครึ่ง กรุณาเตรียมตัวกันล่วงหน้า (แล้วก็อย่าลืมผ้าเช็ดหน้าด้วยนะจ๊ะ) ส่วนงาน 3D ทำออกมาดูดีในระดับมาตรฐาน เพิ่มอรรถรสให้กับตัวหนังได้มากขึ้น
ฝากกด like แฟนเพจด้วยจ้า http://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518