นครวัด อดีต 1 ใน 7 สิ่ง มหัศจรรย์ของโลก (2) @นครวัด นครธม : กัมพูชา

ความเดิมตอนที่แล้วค่ะ
โตนเลสาบ แก้มลิงธรรมชาติของคนเขมร  http://ppantip.com/topic/30420230
ปราสาทบายน มนตราศิลาทราย  http://ppantip.com/topic/30432009
ปราสาทตาพรหม มนตราศิลาทราย  http://ppantip.com/topic/30448730
ปราสาทบันทายสรี มนตราศิลาทราย  http://ppantip.com/topic/30464010
นครวัด อดีต 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก (1)  http://ppantip.com/topic/30493400



ต่อจากตอนที่แล้วกันเลยเนอะ    ...มาถึงเกือบใจกลางมหาปราสาทแล้ว ด้านหลังที่เห็นอยู่นี้ เป็นระเบียบคดชั้นบนสุด
เรียกว่า ชั้นบากาน ประกอบด้วยปรางค์ทั้งห้า  มีปรางค์ประธานอยู่ตรงกลาง ขนาดใหญ่สุด สูงถึง 65 เมตร
มีปรางค์ขนาดย่อมลงมาประจำทิศอีกสี่มุม


นครวัด เป็นปราสาทที่จำลองแผนภูมิตามหลักจักรวาลวิทยา  ของ ศาสนาฮินดู ได้อย่างถูกต้องชัดเจนที่สุด
ระเบียงคดชั้นบนสุด ถือเป็นที่ประทับของเทพ  สมัยก่อนผู้ที่จะขึ้นมาด้านบนนี่ได้ ต้องเป็นกษัตริย์กับนักบวชสมณศักดิ์สูง เท่านั้น
และเป็นที่ทำพิธี สถาปนากษัตริย์ ขึ้นเป็นเทพอีกด้วย


ร่ำลือกันว่า วิวทิวทัศน์จากที่ประทับของเทพ  จากบริเวณช่องประตูของปรางค์ทั้งสี่ทิศ สวยอย่าบอกใคร วิวก็จะแตกต่างกันออกไป
อย่างทิศตะวันตก ก็จะเห็นลานหน้าปราสาทเห็นทางเดินยาวเหยียด  และทางด้านทิศใต้เป็นท้องทุ่งยาวไกลถึงตัวเมืองเสียมเรียบ


ภาพแกะสลักนางอัปรา ที่ว่ากันว่า มีถึงเกือบ 1,700 ตน กันเลยทีเดียว  แต่ละตนไม่ซ้ำแบบกัน ทั้งเครื่องทรง การแต่งกาย ทรงผม
และภาพแกะสลักนางอัปราตรง ระเบียงคดชั้นที่สอง  มี จำนวนมากที่สุด และ หนาแน่นที่สุดในนครวัด



มุมนี้ (ภาพด้านบน) ดูเหมือนจะเป็นมุมที่เก็บภาพนางอัปราได้มากที่สุด  ให้ชื่อภาพนี่ว่า
นางอัปสรา ณ เขมร กับ นางสาวสยาม ณ เมืองยิ้ม อิอิ


สังเกตุ ภาพแกะสลักนางอัปราชั้นนี้ แตกต่างจากชั้นอื่นมาก  โดยเฉพาะเครื่องทรงผมและเครื่องสูงประดับศีรษะ  ดูวิจิตรงดงาม
มากกว่าชั้นอื่น สวยงามไม่ซ้ำแบบกันจริง ๆ ค่ะ


ว่ากันว่า นางอัปราชั้นนี้ มีใบหน้าคล้ายสาวจีนหรือญี่ปุ่น  มากกว่าจะเป็นสาวเขมรเหมือนชั้นอื่น เลยไม่นิยมสวมมงกุฏ
แต่ใช้วิธีผูกมัดจัดแต่งผมเป็นทรงต่าง ๆ แล้วตกแต่งเครื่องประดับแทน  เหมือนไม่เหมือนดูกันเอาเองนะคะ ไม่ออกความเห็น อิอิ


บันใดทางขึ้นในแต่ละด้าน มีความชั้นและอันตราย  ปัจจุบัน มีรั้วกั้นไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นชมตามใจชอบแล้ว
มีบันไดทางขึ้น ระเบียงคดชั้นบนสุด ถึง 12 ทาง  ปัจจุบันเห็นให้ขึ้นเพียงทางเดียว คือ ทิศตะวันออก มีเจ้าหน้าที่เฝ้าตรงประตูด้วย


และไม่อยากจะบอกเลยว่า ฉันอดอีกตามเคย  เพราะมัวแต่หลงเสน่ห์ น้องนางอัปรา ที่มีอยู่รอบ ๆ ระเบียงคดด้านใน
พอจะวิ่งไปขึ้นบันใด เจ้าหน้าที่บอกว่าขึ้นไม่ได้แล้ว หมดเวลาประตูปิด 5 โมงตรง   อยากจะกรี๊ดดัง ๆ อะไรกันหนักหนาทริปเนี่ย!!


ได้แต่ยืนตาละห้อย มองนักท่องเที่ยวเดินลงมาด้วยใจห่อเหี่่ยว  แอบริษยาคนที่ได้ขึ้นไปเล็กน้อย ทำไมพลาดโอกาสสำคัญซะได้หนอ
อีกนิดเดียวเอง มานครวัด แล้วไม่ได้ขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ได้บน  เดินมาตั้งไกลแต่ไม่ได้ขึ้นชั้นบนสุด เหมือนมาไม่ถึงยังไงยังงั้นเลย



ฮึ!! ไหน ๆ ก็ขึ้นข้างบนไม่ทันละ  ก้มหน้าก้มตา เก็บภาพนางอัปราต่อไป เพื่อปลอบประโลมใจตัวเองไปพลาง



ขากลับ เราจะเดินผ่านมุขกระสันด้านทิศใต้  ผ่านห้องพระพันซึ่งอยู่ตรงช่องขวาสุด มีพระพุทธรูปและเทวรูปองค์ใหญ่ตั้งไว้หลายองค์



ชาวเขมรรุ่นหลัง นิยมเอาพระพุทธรูปมาตั้งเพื่อบูชาที่นี่เป็นจำนวนมาก   ปัจจุบัน พระพุทธรูปมีมูลค่าจำพวกสำริด
ได้ถูกนำไปเก็บใน พิพิธภัณสถานที่พนมเปญ  ที่เหลือให้เห็นตรงนี้ เป็นเพียง พระพุทธรูปหินทราย เท่านั้น



ภาพนี้ น่าจะเป็นภาพแกะสลักขอบประตูค่ะ ดูกันไปเรื่อย ๆ เนอะ อยากให้เห็นว่าประติมากรรมการแกะสลักเค้าสวยงามมากจริง ๆ


ระหว่างเดินทางกลับ ก็เก็บภาพมาฝากเรื่อย ๆ  ทัวร์ไม่รอ ก็ไม่ง้อ เอ๊ย ให้มันรู้ไป จะปูเสื่อนอนในเนี่ยแหละ


จุดนี้ ยังอยู่อาณาบริเวณด้านในของระเบียงคดชั้นนอก    เอะ..รึว่า ตรงมุขกระสัน ชักงง รูปเยอะเกิน


นี่เป็นภาพแกะสลักที่ ระเบียงคดทิศตะวันตก ปีกด้านใต้   เป็นภาพ การยุทธที่ทุ่งกุรุเกษตร มีความยาวทั้งหมด 49 เมตร
ภาพไฮไลท์ของระเบียงคดด้านนี้ ก็คือ เป็นภาพการรบแบบตะลุมบอน  ประชิดตัวของทหารทั้งสองฝ่าย ระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์
และก็ไม่ได้เดินดูอีกเช่นเคย ถ่ายแต่เก็บภาพมาฝากกันค่ะ  



ได้ภาพมาแค่นี้ เสียดาย นี่ถ้าเป็นคนถ่ายรูปเก่ง ๆ  โดยเฉพาะมุมนี้ เวลานี้ แสงแดดยามเย็น ส่องแสงลอดเสาระเบียงคดด้านนอก
ทาบทาบนภาพแกะสลักในยามนี้ คงจะถ่ายออกมาได้สวยงามมาก ๆ  บังเอิญฉันมันชั้นอนุบาลแถมควงคู่หูตัวใหม่ออกทริปแรก
เพราะฉนั้น ได้มาอวดแค่นี้ ห้ามว่ากันเชียวนะ อิอิ



ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา จำใจต้องจากลา นครวัด อย่างอ้อยอิ่ง  ค่อย ๆ เดินกลับตามสะพานนาคอย่างใจหาย
ใจไม่อยากเร่งรีบทำเวลาเหมือนตอนขามา แม้จะเป็นคนสุดท้ายที่ขึ้นรถตลอดทริปก็ยอมแล้ว ไหน ๆ ก็เป็นปราสาทสุดท้ายแล้วในวันนี้
ขอเก็บ ภาพความทรงจำและบรรยากาศ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ไม่เคยอาลัยสถานที่ท่องเที่ยวที่เคยเที่ยวที่ไหน มากเท่าที่นี่มาก่อน  ใครจะว่าเยอะว่าเวอร์ก็ไม่สนใจ ก็ทริปในฝันมาเห็นแล้วชอบอ่ะ



ขากลับ จู่ ๆ ก็มาจะเอ๋เอากับหนุ่มล้ำบึ้กคนนี้กลางสนามหญ้า บริเวณชานชาลาด้านซ้าย สงสัยจะถ่ายทำรายการสารคดี
แนวประวัติศาสตร์ แต่จะออนแอร์ที่ไหน เมื่อไหร่  ไม่ได้ลงไปถามด้วยซี  ได้แต่แอบถ่ายภาพโดยไม่ขออนุญาตเจ้าตัวมาหนึ่งแชะ^^



นครวัด เป็นปราสาทแห่งเดียวในเมืองพระนคร  ที่หันหน้าไปทาง ทิศตะวันตก ดังนั้น เวลาที่ควรจะไปชมนครวัด คือ
ก่อน 6 โมงเช้า เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นหลังหมู่ปราสาท และ หลังบ่าย 3 โมง เพื่อที่จะชมพระอาทิตย์ตกกัน



แต่ส่วนใหญ่จะไปชมพระอาทิตย์ตกที่ ปราสาทพนมบาเค็ง  ว่าแล้วก็เสียดายที่ไปครั้งนี้ นอกจากไม่ได้ชมปราสาทพนมบาเค็ง
เพราะเวลาไม่พอแล้ว ก็ยังไม่ได้ขึ้นไปด้านบนสุดของนครวัดเพื่อชมทิวทัศน์และพระอาทิตย์ยามเย็นอีก

มันอะไรนักหนาน๊อ ทริปนี้ ตั้งแต่ปราสาทแรกยันปราสาทสุดท้าย พลาดจุดสำคัญทุกปราสาท
เหมือนจะบีบคั้นให้กลับมาอีกครั้งยังไงไม่รู้ หัวเราะ



ที่มาส่วนใหญ่ของข้อมูลเชิงลึก : คู่มือนำเที่ยว สำนักพิมพ์สารคดี นายรอบรู้

ขอบคุณทุกคนที่แวะมาทักทายกันนะคะ    รูปทั้งหมด (ยกเว้นรูปเจ้าของบล็อก) เกือบ 98 เปอร์เซ็นต์ ถ่ายจากกล้อง Canon 650D
เลนส์ 18-135 mm. คู่หูตัวใหม่ด้วยฝีมือชั้นอนุบาล กับ มือถือไอโฟน4 ของ จขบ.ค่ะ

หวังว่าเรื่องราวรูปภาพและเนื้อหา ในกระทู้จะเป็นประโยชน์ สร้างแรงจูงใจ ให้เพื่อน ๆ ไปเที่ยว ไปชมความยิ่งใหญ่
มหัศจรรย์ใจในความอลังการงานสร้างของอดีต  1 ใน 7 สิ่ง มหัศจรรย์ของโลก ด้วยกันนะคะ

ขอขอบคุณ :
บริษัท พีดี เอ็กเพรส เชียงใหม่ ทัวร์ จำกัด  อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50000  โทร. 053-208708-9 , 053-277876
บริษัท พลอยสยามทัวร์ จำกัด  อ.อรัญญประเทศ จ.สระแก้ว 27120   โทร. 081-4559970 , 081-5622810
ที่นำเที่ยว ทริป นครวัด นครธม ในครั้งนี้ค่ะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่