คุณแม่อายุ 65 ปี ท่านเพิ่งเสียไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมาค่ะ.....ถึงวันนี้ยังคิดถึงคุณแม่มากมายเลยอยากเอาเรื่องราวช่วงที่ดูแลคุณแม่มาแชร์ให้กับลูกๆที่มีญาติผู้ใหญ่ที่เรารักและเคารพ ป่วยด้วยโรคมะเร็งให้ได้อ่านเพื่อแชร์การดูแลผู้ป่วยกันค่ะ
ขอเท้าความก่อนนะค่ะ ครอบครัวเรามีด้วยกันทั้งหมด 3 คนแม่เราและน้องสาว เราเป็นคนบ้างานชอบทำงาน ไม่ค่อยได้อยู่บ้านช่วงวันหยุด มีแต่น้องกับแม่ที่จะอยู่ด้วยกันตลอด อ๋อ น้องสาวเราป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมมา 9 ปี ตอนนี้อยู่ระยะที่ 3 ค่ะ
ส่วนคุณแม่ นับถอยหลังไป 3 ปีก่อนก็เพิ่งรู้ว่าเป็นมะเร็งเต้านม ระยะสุดท้าย ตอนนั้นหลังจากเรื่องน้องสาวที่เป็นมะเร็งเต้านมเรา 3 คนแม่ลูก กอดคอกันร้องไห้ จำได้ดีถึงภาพนั้น และยิ่งมารู้ว่าคุณแม่ป่วยเป็นโรคเดียวกันกับน้อง และระยะสุดท้ายด้วย.... ซึ่งตอนตรวจเจอครั้งแรกคุณหมอบอกว่าแม่อาจจะอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน มะเร็งใหญ่มากเท่ากับลูกแตงโมผ่าครึ่ง ประมาณ 20 ซม. คุณหมอถามครอบครัวจะรักษาไหม เพราะระยะสุดท้ายแล้ว แน่นอนว่าครอบครัวเราต้องรักษาแน่ๆ ......แต่บอกตามตรงว่าจิตใจเราตอนนั้น เริ่มรู้สึกแบกเรื่องที่จะเสียแม่ไปแทบไม่ไหว เริ่มโทษตัวเองว่าชั้นมัวทำอะไรอยู่ ฉันบ้างานจนลืมผู้หญิงสองคนนี้แล้วเหรอ แล้วเริ่มร้องไห้.....
แต่น้องสาวที่ป่วยมาหลายปีเดินมาปลอบและบอกว่า.....”เชื่อสิแม่ต้องอยู่ได้มากกว่า 3-4 เดือน หนูยังอยู่มาได้หลายปีเลย.....พี่เชื่อไหม ช่วงเวลาที่หนูป่วย แม่ดูแลให้กำลังใจหนูตลอด ตัวหนูเองก็รู้ว่า พี่พยามหาเงินมารักษาหนู เลยทำให้พี่ไม่ค่อยมีเวลาว่าง แต่ไม่เป็นไรนะ เดี่ยวแม่หนูดูแลเอง พี่ทำงานที่พี่รักให้เต็มที่เถอะค่ะไม่ต้องเป็นห่วง” คำพูดของน้อง ทำให้เรา คิดได้ ดูสิขนาดคนป่วยต้องมาปลอบคนไม่เป็นอะไร เลยแบบเรา ....เราเลยตัดสินใจ ออกจากงาน มารับงานเป็นเอ้าซอท ให้ที่อ๊อฟฟิตที่เคยทำงานแทน เพื่อที่จะขอดูแลผู้หญิงสองคนที่เรารักมากขึ้น....จำได้ว่าตอนนั้นแม่ไม่พูดอะไร บอกเราแค่เพียงว่า.....แม่รักลูกทั้งสองคนมากนะ.....แค่นั้นจริงๆ
หลังจากวันนั้น เราก็ส่งคุณแม่ไปร.พ.รามา ซึ่งคุณหมอบอกว่าถ้าผ่าตัดโอกาส 50:50 แต่ตอนนั้นยังผ่าไม่ได้ เพราะมะเร็งขนาดใหญ่มาก เลยต้องให้คุณแม่ทำคีโมให้ขนาดมันเล็กลงก่อน ซึ่งการทำคีโมทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงอย่างมาก ร่างกายอ่อนแอ พยายามให้ทานของบำรุงสุขภาพ คุณหมอแนะนำให้ทานไก่ ผัก สลัด ไข่ แต่คุณแม่จะทานอะไรไม่ได้เลย อาเจียนออกหมด เราเริ่มกลุ้มใจมากตอนนั้น
น้องสาว(ที่เป็นมะเร็งเต้านมอยู่ก่อนแล้ว)ได้แนะนำให้ทาน เห็ดหลินจือสกัดวันละขวด ซึ่งก่อนที่จะให้คุณแม่ทานเราก็ถามคุณหมอว่า น้ำเห็ดหลินจือสกัดทานได้ไหม แต่คุณหมอไม่แนะนำให้ทาน แต่เราและน้องสาวก็ดื้อ โดยเฉพาะน้องสาวบอกว่าให้แม่ทานเหอะ เพราะตัวเค้าเองก็กินและอาการมันดีขึ้น โดยเฉพาะแม่บอกว่า แม่อยากลองทานดู เพราะไงก็คงต้องตาย ถ้าแม่ยังอาเจียนแล้วทานอะไรไม่ได้แบบนี้
เราก็ซื้อให้แม่ทานวันละ 4 ขวดเลย พอทานไปแม่เริ่มมีแรงมากขึ้น ทานไป 3 เดือนมะเร็งลดลงเหลือแค่ 8 ซม.เท่านั้น ตอนแรกคุณหมอบอกว่าถ้าลดเหลือแค่ 3 ซม.เมื่อไรถึงผ่าตัดพออีกซักพัก ลดเหลือ 4 ซม. คุณหมอจึงผ่าตัดเลย ผ่าคว้านไปตั้งแต่เต้านมจนถึงไหล่นิดนึง
ตอนที่คุณแม่ผ่าตัด ได้มีโอกาสคุยกับคนไข้คนอื่นๆ ซึ่งผ่าตัดพร้อมๆกัน 8 คน เปรียบเทียบกันแล้ว คุณแม่เราหายเร็วสุด แผลหายเร็ว และที่สำคัญคุณแม่เราแก่ที่สุดในบรรดา 8 คนที่ผ่าตัดพร้อมๆกัน หลังจากผ่าตัดก็พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล 1 อาทิตย์ กลับไปพักต่อที่บ้านได้ค่ะ จะบอกว่า ตอนที่รับตัวคุณแม่กลับบ้าน แอบดีใจว่าผ่านมา 3 เดือนแล้วคุณแม่ยังอยู่ เราใจชื่นขึ้นเยอะโดยเฉพาะเวลาที่คุณแม่ยิ้ม สีหน้าอารมณ์แม่ดีขึ้นมาก
ลืมเล่าไปค่ะ ช่วงเวลาที่คุณแม่ให้คีโม ได้คุณถามกับคุณหมอเรื่องน้ำเห็ดหลินจือสกัดมากขึ้น ตอนแรกคุณหมอไม่ค่อยสนับสนุนเพราะคิดว่ามันเปลืองตัง (เราซื้อแบบขวดที่สกัดมาเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่รู้ว่าต้มเองแล้วมันจะได้ประโยชน์มากพอหรือเปล่า) แต่ถ้าคุณแม่ทานและดีขึ้นก็ให้แกทานเถอะ แน่นอนค่ะว่าเราไม่สนใจเรื่องเงินที่จะต้องเสียเพื่อทำให้คุณแม่ดีขึ้น เราคิดว่าชีวิตของแม่ เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ แพงแค่ไหน ก็คุ้มสำหรับชีวิตคนที่เรารัก
มีญาติคนไข้ หลายๆคนเข้ามาถามว่าทำไมคุณแม่แข็งแรงจังดูแลยังไง การที่เราได้คุยกับผู้ป่วยคนอื่นๆ และญาติๆของเขา เราได้ให้คำแนะนำคนอื่นไปว่า เราดูแลคุณแม่ยังไงบ้างให้ท่านทานอะไร โดยเฉพาะ น้ำเห็ดหลินเจือสกัดมันช่วยคนที่ภูมิคุ้มกันโรคน้อยๆทำให้ดีขึ้นได้ และก็ย้ำกับเค้าไปค่ะว่ามันไม่ได้ทำให้หาย แต่มันทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน สามารถต้านทานโรคได้ มีแรงสู้กับโรคภัย และที่สำคัญเหนื่อสิ่งอื่นใด การให้กำลังใจผู้ป่วย คือเรื่องสำคัญที่สุด แต่ละคนก็มีวิธีการให้กำลังใจที่แตกต่างกันใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละคนไป อย่างเรา น้องเราแม่เรา คุยกันทุกเรื่องเราไม่เคยห่างจากแม่ น้องสาวก็ไม่เคยห่างจากแม่เหมือนกัน พวกเราสามคนช่วยกันดูแลกันและกันให้กำลังใจกันและกันเช้าทุกเช้าเราสามคนจะตื่นมาใส่บาตรด้วยกัน
หลังจากที่คุณแม่ผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกไปแล้ว คุณแม่ก็อยู่มาอีก 3 ปีค่ะและจากเราไปด้วยโรคมะเร็งตับค่ะ แน่นอนว่าดีกว่าที่แม่จะจากไปภายใน 3 เดือนมาก อย่างน้อย 3 ปีก็มากเพียงพอที่จะให้ลูกคนนี้ได้พอมีเวลาตั้งตัวที่จะตอบแทนพระคุณแม่
จากวันที่เสียคุณแม่จากไปถึงวันนี้ ก็ยังรู้สึกว่าคุณแม่มาใส่บาตรด้วย กับเราและน้องทุกเช้า ......ทุกวันนี้ยังนั้งยิ้มอยู่ในใจตลอดเวลา ขอบคุณคำพูดเตื่อนสติของน้องสาว ที่ทำให้ตลอดเวลาสามปี ได้อยู่กับแม่ได้ดูแลแม่แบบเต็มที่จริงๆ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านนะคะ อยากให้เรื่องราวของเราแม่และน้อง เตือนสติคนบ้างาน ไม่ใส่ใจแม่ พ่อ ครอบครัวให้คิดใหม่เพราะเมื่อเวลาที่ท่านจากไปเราจะได้ไม่ต้องเสียดายเวลาที่เราไม่ได้อยู่ดูแลท่านอย่างเต็มที่ค่ะ
จากไม่เกิน 3เดือน.....ดูแลจนเป็น 3 ปี ความทรงจำดีๆ กับคุณแม่
ขอเท้าความก่อนนะค่ะ ครอบครัวเรามีด้วยกันทั้งหมด 3 คนแม่เราและน้องสาว เราเป็นคนบ้างานชอบทำงาน ไม่ค่อยได้อยู่บ้านช่วงวันหยุด มีแต่น้องกับแม่ที่จะอยู่ด้วยกันตลอด อ๋อ น้องสาวเราป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมมา 9 ปี ตอนนี้อยู่ระยะที่ 3 ค่ะ
ส่วนคุณแม่ นับถอยหลังไป 3 ปีก่อนก็เพิ่งรู้ว่าเป็นมะเร็งเต้านม ระยะสุดท้าย ตอนนั้นหลังจากเรื่องน้องสาวที่เป็นมะเร็งเต้านมเรา 3 คนแม่ลูก กอดคอกันร้องไห้ จำได้ดีถึงภาพนั้น และยิ่งมารู้ว่าคุณแม่ป่วยเป็นโรคเดียวกันกับน้อง และระยะสุดท้ายด้วย.... ซึ่งตอนตรวจเจอครั้งแรกคุณหมอบอกว่าแม่อาจจะอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน มะเร็งใหญ่มากเท่ากับลูกแตงโมผ่าครึ่ง ประมาณ 20 ซม. คุณหมอถามครอบครัวจะรักษาไหม เพราะระยะสุดท้ายแล้ว แน่นอนว่าครอบครัวเราต้องรักษาแน่ๆ ......แต่บอกตามตรงว่าจิตใจเราตอนนั้น เริ่มรู้สึกแบกเรื่องที่จะเสียแม่ไปแทบไม่ไหว เริ่มโทษตัวเองว่าชั้นมัวทำอะไรอยู่ ฉันบ้างานจนลืมผู้หญิงสองคนนี้แล้วเหรอ แล้วเริ่มร้องไห้.....
แต่น้องสาวที่ป่วยมาหลายปีเดินมาปลอบและบอกว่า.....”เชื่อสิแม่ต้องอยู่ได้มากกว่า 3-4 เดือน หนูยังอยู่มาได้หลายปีเลย.....พี่เชื่อไหม ช่วงเวลาที่หนูป่วย แม่ดูแลให้กำลังใจหนูตลอด ตัวหนูเองก็รู้ว่า พี่พยามหาเงินมารักษาหนู เลยทำให้พี่ไม่ค่อยมีเวลาว่าง แต่ไม่เป็นไรนะ เดี่ยวแม่หนูดูแลเอง พี่ทำงานที่พี่รักให้เต็มที่เถอะค่ะไม่ต้องเป็นห่วง” คำพูดของน้อง ทำให้เรา คิดได้ ดูสิขนาดคนป่วยต้องมาปลอบคนไม่เป็นอะไร เลยแบบเรา ....เราเลยตัดสินใจ ออกจากงาน มารับงานเป็นเอ้าซอท ให้ที่อ๊อฟฟิตที่เคยทำงานแทน เพื่อที่จะขอดูแลผู้หญิงสองคนที่เรารักมากขึ้น....จำได้ว่าตอนนั้นแม่ไม่พูดอะไร บอกเราแค่เพียงว่า.....แม่รักลูกทั้งสองคนมากนะ.....แค่นั้นจริงๆ
หลังจากวันนั้น เราก็ส่งคุณแม่ไปร.พ.รามา ซึ่งคุณหมอบอกว่าถ้าผ่าตัดโอกาส 50:50 แต่ตอนนั้นยังผ่าไม่ได้ เพราะมะเร็งขนาดใหญ่มาก เลยต้องให้คุณแม่ทำคีโมให้ขนาดมันเล็กลงก่อน ซึ่งการทำคีโมทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงอย่างมาก ร่างกายอ่อนแอ พยายามให้ทานของบำรุงสุขภาพ คุณหมอแนะนำให้ทานไก่ ผัก สลัด ไข่ แต่คุณแม่จะทานอะไรไม่ได้เลย อาเจียนออกหมด เราเริ่มกลุ้มใจมากตอนนั้น
น้องสาว(ที่เป็นมะเร็งเต้านมอยู่ก่อนแล้ว)ได้แนะนำให้ทาน เห็ดหลินจือสกัดวันละขวด ซึ่งก่อนที่จะให้คุณแม่ทานเราก็ถามคุณหมอว่า น้ำเห็ดหลินจือสกัดทานได้ไหม แต่คุณหมอไม่แนะนำให้ทาน แต่เราและน้องสาวก็ดื้อ โดยเฉพาะน้องสาวบอกว่าให้แม่ทานเหอะ เพราะตัวเค้าเองก็กินและอาการมันดีขึ้น โดยเฉพาะแม่บอกว่า แม่อยากลองทานดู เพราะไงก็คงต้องตาย ถ้าแม่ยังอาเจียนแล้วทานอะไรไม่ได้แบบนี้
เราก็ซื้อให้แม่ทานวันละ 4 ขวดเลย พอทานไปแม่เริ่มมีแรงมากขึ้น ทานไป 3 เดือนมะเร็งลดลงเหลือแค่ 8 ซม.เท่านั้น ตอนแรกคุณหมอบอกว่าถ้าลดเหลือแค่ 3 ซม.เมื่อไรถึงผ่าตัดพออีกซักพัก ลดเหลือ 4 ซม. คุณหมอจึงผ่าตัดเลย ผ่าคว้านไปตั้งแต่เต้านมจนถึงไหล่นิดนึง
ตอนที่คุณแม่ผ่าตัด ได้มีโอกาสคุยกับคนไข้คนอื่นๆ ซึ่งผ่าตัดพร้อมๆกัน 8 คน เปรียบเทียบกันแล้ว คุณแม่เราหายเร็วสุด แผลหายเร็ว และที่สำคัญคุณแม่เราแก่ที่สุดในบรรดา 8 คนที่ผ่าตัดพร้อมๆกัน หลังจากผ่าตัดก็พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล 1 อาทิตย์ กลับไปพักต่อที่บ้านได้ค่ะ จะบอกว่า ตอนที่รับตัวคุณแม่กลับบ้าน แอบดีใจว่าผ่านมา 3 เดือนแล้วคุณแม่ยังอยู่ เราใจชื่นขึ้นเยอะโดยเฉพาะเวลาที่คุณแม่ยิ้ม สีหน้าอารมณ์แม่ดีขึ้นมาก
ลืมเล่าไปค่ะ ช่วงเวลาที่คุณแม่ให้คีโม ได้คุณถามกับคุณหมอเรื่องน้ำเห็ดหลินจือสกัดมากขึ้น ตอนแรกคุณหมอไม่ค่อยสนับสนุนเพราะคิดว่ามันเปลืองตัง (เราซื้อแบบขวดที่สกัดมาเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่รู้ว่าต้มเองแล้วมันจะได้ประโยชน์มากพอหรือเปล่า) แต่ถ้าคุณแม่ทานและดีขึ้นก็ให้แกทานเถอะ แน่นอนค่ะว่าเราไม่สนใจเรื่องเงินที่จะต้องเสียเพื่อทำให้คุณแม่ดีขึ้น เราคิดว่าชีวิตของแม่ เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ แพงแค่ไหน ก็คุ้มสำหรับชีวิตคนที่เรารัก
มีญาติคนไข้ หลายๆคนเข้ามาถามว่าทำไมคุณแม่แข็งแรงจังดูแลยังไง การที่เราได้คุยกับผู้ป่วยคนอื่นๆ และญาติๆของเขา เราได้ให้คำแนะนำคนอื่นไปว่า เราดูแลคุณแม่ยังไงบ้างให้ท่านทานอะไร โดยเฉพาะ น้ำเห็ดหลินเจือสกัดมันช่วยคนที่ภูมิคุ้มกันโรคน้อยๆทำให้ดีขึ้นได้ และก็ย้ำกับเค้าไปค่ะว่ามันไม่ได้ทำให้หาย แต่มันทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน สามารถต้านทานโรคได้ มีแรงสู้กับโรคภัย และที่สำคัญเหนื่อสิ่งอื่นใด การให้กำลังใจผู้ป่วย คือเรื่องสำคัญที่สุด แต่ละคนก็มีวิธีการให้กำลังใจที่แตกต่างกันใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละคนไป อย่างเรา น้องเราแม่เรา คุยกันทุกเรื่องเราไม่เคยห่างจากแม่ น้องสาวก็ไม่เคยห่างจากแม่เหมือนกัน พวกเราสามคนช่วยกันดูแลกันและกันให้กำลังใจกันและกันเช้าทุกเช้าเราสามคนจะตื่นมาใส่บาตรด้วยกัน
หลังจากที่คุณแม่ผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกไปแล้ว คุณแม่ก็อยู่มาอีก 3 ปีค่ะและจากเราไปด้วยโรคมะเร็งตับค่ะ แน่นอนว่าดีกว่าที่แม่จะจากไปภายใน 3 เดือนมาก อย่างน้อย 3 ปีก็มากเพียงพอที่จะให้ลูกคนนี้ได้พอมีเวลาตั้งตัวที่จะตอบแทนพระคุณแม่
จากวันที่เสียคุณแม่จากไปถึงวันนี้ ก็ยังรู้สึกว่าคุณแม่มาใส่บาตรด้วย กับเราและน้องทุกเช้า ......ทุกวันนี้ยังนั้งยิ้มอยู่ในใจตลอดเวลา ขอบคุณคำพูดเตื่อนสติของน้องสาว ที่ทำให้ตลอดเวลาสามปี ได้อยู่กับแม่ได้ดูแลแม่แบบเต็มที่จริงๆ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านนะคะ อยากให้เรื่องราวของเราแม่และน้อง เตือนสติคนบ้างาน ไม่ใส่ใจแม่ พ่อ ครอบครัวให้คิดใหม่เพราะเมื่อเวลาที่ท่านจากไปเราจะได้ไม่ต้องเสียดายเวลาที่เราไม่ได้อยู่ดูแลท่านอย่างเต็มที่ค่ะ