สดๆร้อนๆเมื่อตอนห้าโมงจะครึ่งค่ะ เด็กที่รอคอยเข้าเซเว่นเพื่อซื้อน้ำแข็ง พลันก้อต้องชะงักเพราะน้องสุนัขพุดเดิ้ลสีขาวที่อยู่ในอ้อมแขนคุณผู้หญิงเชื้อจีนท่านนึง อายุราว 40 เธอพาสุนัขเดินอยู่แถวที่เป็นอาหารแช่เย็นและบริเวณผักสดสำหรับเบอร์เกอร์ ดูจะเป็นคนรักสุนัขแต่ไม่รู้จักกาลเทศะ ...เด็กที่รอคอยจึงเข้าไปบอกพนักงานคนนึงว่า
"น้องคะ ร้านสะดวกซื้อเขาห้ามเอาหมาเข้ามาไม่ใช่เรอะคะ" พนักงานตอบแบบงงๆว่า "ใช่ค่ะ" เด็กที่รอคอยจึงบอกอีกว่า มีลูกค้านำเข้ามาเดินอยู่ในร้านตอนนี้พร้อมทั้งชี้ให้ดู เธอทำหน้ามึนๆแล้วตอบกลับมาว่า "สงสัยไม่มีคนบอกค่ะ..." แล้วเธอก็จัดเรียงน้ำในตู้เย็นต่อ ไร้ปฏิกิริยาตอบรับเพิ่มเติม
เด็กที่รอคอยบอกเขาเพราะเห็นว่าน่าจะว่างพอและอยู่ใกล้สุดที่จะเดินเข้าไปเตือนลูกค้านะคะ คนอื่นเขาอยู่เคาน์เตอร์ก้อกำลังคิดเงินลูกค้าอยู่ ... พอเป็นเช่นนั้นจึงถอนหายใจเบาๆ 1 เฮือก แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปพูดกับเจ้าของสุนัขที่กอดไว้ในอ้อมแขนอย่างรักใคร่ว่า "คุณคะ ร้านเขาห้ามนำสุนัขเข้ามานะคะ" คุณผู้หญิงคนนั้นชักสีหน้า แต่ยังรักษาระดับเสียงเหมือนปกติแล้วตอบว่า
"ไม่นี่คะ ก็เอาเข้ามาทุกที" ...เอาเข้ามาทุกที มันเด็ดตรงนี้ล่ะค่ะ
เด็กที่รอคอยไม่ได้จะอยากมีเรื่องกับเขานะคะ เรื่องเตือนกันนี่ก้อถือว่าเราอยู่ในดินแดนของ 7/11 เพราะฉะนั้นจะมาเถียงกันแบบเอาเป็นเอาตายก็คงไม่เกิดอะไรขึ้นเพราะเจ้าของดินแดนไม่ปริปากใดๆ จึงเดินไปจ่ายเงินค่าน้ำแข็งแล้วบอกพนักงานตรงเคาน์เตอร์อีกครั้งหนึ่งว่า "น้องคะ ลูกค้านำสุนัขเข้ามานะคะ ป้ายก็บอกอยู่ว่าห้าม ทำไมไม่เตือนลูกค้าคะ" พนักงานอ้อมแอ้มตอบค่ะ
"เขาคงไม่รู้มั้งคะ" เอ๊าาาาาาาาาาาา ... ! เขาไม่รู้ แต่ร้านน่ะรู้อยู่เต็มอก เด็กที่รอคอยว่าควรเป็นน้องพนักงานนะคะที่ต้องไปบอกเขาน่ะ! แต่จะโมโหไปก้อไม่รู้จะได้อะไรขึ้นมา ตอนนั้นรู้สึกเอือมระอามากกว่า ในเมื่อทั้งร้านดูจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับกรณีนี้ เด็กที่รอคอยจึงพูดทิ้งท้ายไว้ว่า
"เอาอย่างนี้นะคะ ถ้าน้องไม่กล้าบอก พี่จะบอกกับสาขาใหญ่ให้เองเลยละกัน" แล้วเด็กที่รอคอยก็โทรศัพท์ไปร้องเรียนที่สาขาอย่างสุภาพค่ะ เล่าเหตุการณ์ให้ฟังอย่างละเอียดและย้ำเตือนว่า ควรอบรมพนักงานให้มีมารยาทที่ดีและให้กล้าที่จะบอกลูกค้าถึงกฏข้อห้าม หรือถ้าต้องทำป้ายให้ใหญ่และชัดเจนขึ้นก็ควรทำ กรณีนี้ในร้านคงจะมีกล้องวงจรปิด ให้สาขาเรียกมาเปิดดูได้เลยตามเวลาที่ร้องเรียนให้ทราบ พนักงานลูกค้าสัมพันธ์ได้รับเรื่องไว้แล้วค่ะ
คงมีคนอยากบอกว่าโทรไปร้องเรียนแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ยอมรับนะคะว่าคิดเหมือนกัน ตอนโทรไปแจ้งก็รู้สึกว่าอย่างมากคงมีคนรับเรื่องไว้ แล้วมันก็จะเป็นแค่ค่าโทรศัพท์ที่เราสูญเสียไปเปล่าๆ ได้คืนมาแต่ความเงียบ แล้วเหตุการณ์เดิมๆก็คงจะเกิดขึ้นอีกเพราะเราเป็นแค่เสียงเล็กๆ แต่เด็กที่รอคอยว่าถ้าเราปล่อยผ่านไป เราก็คงเป็นส่วนหนึ่งที่เอื้อให้เหตุการณ์แบบนี้มีมากขึ้น จนวันนึงมันก็เป็นเรื่องปกติว่ามีป้ายห้ามแต่ไม่มีคนว่าอะไรก็แปลว่าทำต่อได้ เหมือนกรณีนำสุนัขเข้ามากินข้าวด้วยใน MK น่ะค่ะ เด็กที่รอคอยว่าระยะสิบปีให้หลังมานี้กิจการ 7/11 เปลี่ยนไปจากสมัยแรกๆที่เข้ามาในเมืองไทยมากนะคะ มาตรฐานต่ำลงจนเหมือนจ้างใครก็ได้มาทำงานและไม่มีการอบรมอย่างเข้มงวดในฐานะที่เป็น
ธุรกิจแฟรนไชส์
อยากให้ 7/11 ปรับปรุงแก้ไขนะคะ ในฐานะลูกค้าก็ขอให้ท่านรับฟังปัญหาจากลูกค้าอย่างจริงใจ และลงมือแก้ไขอย่างจริงจังด้วยค่ะ
ถ้าพนักงาน 7/11 ไม่กล้าบอกลูกค้าว่าห้ามนำสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงเข้ามา เด็กที่รอคอยจะช่วยบอกให้ทราบโดยทั่วกันค่ะ
"น้องคะ ร้านสะดวกซื้อเขาห้ามเอาหมาเข้ามาไม่ใช่เรอะคะ" พนักงานตอบแบบงงๆว่า "ใช่ค่ะ" เด็กที่รอคอยจึงบอกอีกว่า มีลูกค้านำเข้ามาเดินอยู่ในร้านตอนนี้พร้อมทั้งชี้ให้ดู เธอทำหน้ามึนๆแล้วตอบกลับมาว่า "สงสัยไม่มีคนบอกค่ะ..." แล้วเธอก็จัดเรียงน้ำในตู้เย็นต่อ ไร้ปฏิกิริยาตอบรับเพิ่มเติม
เด็กที่รอคอยบอกเขาเพราะเห็นว่าน่าจะว่างพอและอยู่ใกล้สุดที่จะเดินเข้าไปเตือนลูกค้านะคะ คนอื่นเขาอยู่เคาน์เตอร์ก้อกำลังคิดเงินลูกค้าอยู่ ... พอเป็นเช่นนั้นจึงถอนหายใจเบาๆ 1 เฮือก แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปพูดกับเจ้าของสุนัขที่กอดไว้ในอ้อมแขนอย่างรักใคร่ว่า "คุณคะ ร้านเขาห้ามนำสุนัขเข้ามานะคะ" คุณผู้หญิงคนนั้นชักสีหน้า แต่ยังรักษาระดับเสียงเหมือนปกติแล้วตอบว่า
"ไม่นี่คะ ก็เอาเข้ามาทุกที" ...เอาเข้ามาทุกที มันเด็ดตรงนี้ล่ะค่ะ
เด็กที่รอคอยไม่ได้จะอยากมีเรื่องกับเขานะคะ เรื่องเตือนกันนี่ก้อถือว่าเราอยู่ในดินแดนของ 7/11 เพราะฉะนั้นจะมาเถียงกันแบบเอาเป็นเอาตายก็คงไม่เกิดอะไรขึ้นเพราะเจ้าของดินแดนไม่ปริปากใดๆ จึงเดินไปจ่ายเงินค่าน้ำแข็งแล้วบอกพนักงานตรงเคาน์เตอร์อีกครั้งหนึ่งว่า "น้องคะ ลูกค้านำสุนัขเข้ามานะคะ ป้ายก็บอกอยู่ว่าห้าม ทำไมไม่เตือนลูกค้าคะ" พนักงานอ้อมแอ้มตอบค่ะ
"เขาคงไม่รู้มั้งคะ" เอ๊าาาาาาาาาาาา ... ! เขาไม่รู้ แต่ร้านน่ะรู้อยู่เต็มอก เด็กที่รอคอยว่าควรเป็นน้องพนักงานนะคะที่ต้องไปบอกเขาน่ะ! แต่จะโมโหไปก้อไม่รู้จะได้อะไรขึ้นมา ตอนนั้นรู้สึกเอือมระอามากกว่า ในเมื่อทั้งร้านดูจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับกรณีนี้ เด็กที่รอคอยจึงพูดทิ้งท้ายไว้ว่า
"เอาอย่างนี้นะคะ ถ้าน้องไม่กล้าบอก พี่จะบอกกับสาขาใหญ่ให้เองเลยละกัน" แล้วเด็กที่รอคอยก็โทรศัพท์ไปร้องเรียนที่สาขาอย่างสุภาพค่ะ เล่าเหตุการณ์ให้ฟังอย่างละเอียดและย้ำเตือนว่า ควรอบรมพนักงานให้มีมารยาทที่ดีและให้กล้าที่จะบอกลูกค้าถึงกฏข้อห้าม หรือถ้าต้องทำป้ายให้ใหญ่และชัดเจนขึ้นก็ควรทำ กรณีนี้ในร้านคงจะมีกล้องวงจรปิด ให้สาขาเรียกมาเปิดดูได้เลยตามเวลาที่ร้องเรียนให้ทราบ พนักงานลูกค้าสัมพันธ์ได้รับเรื่องไว้แล้วค่ะ
คงมีคนอยากบอกว่าโทรไปร้องเรียนแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ยอมรับนะคะว่าคิดเหมือนกัน ตอนโทรไปแจ้งก็รู้สึกว่าอย่างมากคงมีคนรับเรื่องไว้ แล้วมันก็จะเป็นแค่ค่าโทรศัพท์ที่เราสูญเสียไปเปล่าๆ ได้คืนมาแต่ความเงียบ แล้วเหตุการณ์เดิมๆก็คงจะเกิดขึ้นอีกเพราะเราเป็นแค่เสียงเล็กๆ แต่เด็กที่รอคอยว่าถ้าเราปล่อยผ่านไป เราก็คงเป็นส่วนหนึ่งที่เอื้อให้เหตุการณ์แบบนี้มีมากขึ้น จนวันนึงมันก็เป็นเรื่องปกติว่ามีป้ายห้ามแต่ไม่มีคนว่าอะไรก็แปลว่าทำต่อได้ เหมือนกรณีนำสุนัขเข้ามากินข้าวด้วยใน MK น่ะค่ะ เด็กที่รอคอยว่าระยะสิบปีให้หลังมานี้กิจการ 7/11 เปลี่ยนไปจากสมัยแรกๆที่เข้ามาในเมืองไทยมากนะคะ มาตรฐานต่ำลงจนเหมือนจ้างใครก็ได้มาทำงานและไม่มีการอบรมอย่างเข้มงวดในฐานะที่เป็น
ธุรกิจแฟรนไชส์
อยากให้ 7/11 ปรับปรุงแก้ไขนะคะ ในฐานะลูกค้าก็ขอให้ท่านรับฟังปัญหาจากลูกค้าอย่างจริงใจ และลงมือแก้ไขอย่างจริงจังด้วยค่ะ