“ปิดประตู....เร็ว!”
แฟริค และวิลาวัลย์ที่ยืนตะลึงนิ่งเป็นก้อนหินได้สติในทันทีนั้น ตะลีตะลานช่วยเอกราชดันประตูปิด แล้วลงกลอนทุกอันอย่างลนลาน ความหวังเดียวที่ช่วยป้องกันพวกเขาจากบุคคลลึกลับภายนอกไม่ให้รุกล้ำเข้ามา แต่ในขณะเดียวกันมันก็ขังคนทั้งสามไว้ในคฤหาสน์ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายที่หลบซุ่มอยู่ในมุมมืด พร้อมจะจู่โจมได้ทุกเมื่อ
แต่ละคนพร้อมใจกันถอยกรูออกหากจากประตู ยืนนิ่งแทบหยุดหายใจ เงี่ยหูรอฟังสรรพสำเนียงจากหลังบานประตู ความตึงเครียด กดดันเพิ่มขึ้นจนวิลาวัลย์ร่ำๆ จะร้องไห้ แต่เธอก็ขลาดกลัวเกินกว่าจะเปล่งเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากจนห้อเลือด สองไหล่ที่แบกกระเป๋าสัมภาระหนักอึ้งสั่นเทาเพราะความล้า และอาการตื่นเต้น เอกราชไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกนิ้ว กลัวว่าจะทำให้เกิดเสียงดังไปถึงใครก็ตามที่หมายฆ่าพวกเขา
ผ่านไปหลายวินาทีที่มีแต่ความเงียบครอบคลุม ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้นจากคนที่อยู่ภายนอก วิลาวัลย์ แฟริค หันหน้ามองชายหนุ่มพร้อมกันเป็นคำถาม เขาที่ซึ่งบัดนี้กลายเป็นหัวหน้าจำเป็นก็มิอาจหยั่งรู้ได้เช่นกัน เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากไหลย้อยลงเข้าเบ้าตาจนรู้สึกแสบ แต่จำต้องฝืนเบิกตาค้าง ไม่กล้าหลับลงแม้แต่วินาทีเดียว
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ สงัดจนน่าหวาดหวั่น สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจอย่างทันทีทันด่วน ปลดสัมภาระทั้งหมดลง แล้ววิ่งถลันไม่บอกไม่กล่าวไปยังหน้าต่างบานที่ใกล้ที่สุด แง้มเปิดผ้าม่านเล็กน้อยพอให้เห็นภายนอก สองคนที่เหลือพอจะเข้าใจเรื่องราว ค่อยๆว่างสัมภาระลง ก่อนย่างเท้าเร็วๆตามมาอย่างเงียบกริบ แล้วแฟริคจึงสะกิดหลังชายหนุ่มๆ เบาถามแผ่วเบา
“เห็นอะไรบ้างไหม”
คนถูกถามยังไม่ปริปาก เพ่งมองผ่านหน้าต่างออกไปตรงมุกอาคาร ซึ่งแสงไฟสีส้มเรืองๆ พอให้เห็นบริเวณรอบเป็นเค้าราง จุดนั้นว่างเปล่า แต่ถัดไกลออกไปตรงริมสนามหญ้าคือคนพวกนั้นทั้งหมด ยืนกระจุกตัวรวมกัน นิ่งทื่อราวกับรูปปั้น เอกราชลอบดูอยู่ครู่ ก็ยังไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว แม้แต่ลมก็ไม่กระดิก
“พวกมันไม่ได้เข้ามา” เขาว่าเสียงทุ้มต่ำในลำคอ “หยุดอยู่แค่ริมสนามด้านนอก”
ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจฟู่ใหญ่ด้านหลัง ก่อนที่แฟริคจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายขึ้น
“ฉันกลัวใจพวกมันจริงๆ คิดจะทำอะไรกันแน่ ...ในป่าก็แบบนี้หลายครั้ง เหมือนจะทำก็ไม่ทำ”
“เราจะทำยังไงกันดี” วิลาวัลย์ถามเสียงสั่น “จะหนีออกไปพวกมันก็รออยู่ด้านหน้า ข้างในนี้ก็ไม่รู้ว่าสุตาภาแอบซ่อนอยู่ส่วนไหน”
พูดพลางเธอก็เหลียวมองรอบตัวด้วยความอกสั่นขวัญแขวน บรรยากาศที่ทึมสลัว หลายมุมตกอยู่ภายใต้เงามืดชวนให้ขวัญหนีดีฝ่อ หญิงสาวอดนึกถึง‘อะไร’หลบซุ่มอยู่ในนั้นไม่ได้ ถ้าต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ต่อไป เธอคงได้ไกลเป็นบ้าเป็นแน่แท้
ระหว่างที่ทั้งสามตกอยู่ภาวะนิ่งงัน กระแสเสียงทุ้มต่ำของ‘เสียงปริศนา’ก็พลันดังขึ้น ก้องกังวานไปทั่วทั้งคฤหาสน์
“ไม่ต้องห่วงคนพวกนั้น ตราบใดที่พวกแกไม่เหยียบย่างออกจากคฤหาสน์ มันก็จะไม่ทำอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น...และอย่าคิดหนี เพราะไม่มีทางไหนให้ออกไป ถ้าไม่แข่งขันจนจบเกมส์”
“ว้อท ดู ยู ว้อนท์ ฟรอม มี” แฟริคตะโกนลั่นจนเส้นเอ็นปูดโปน “เกมบ้าอะไรขอแก พวกฉันอยากออกไปเป็นๆ ไม่ได้อยากตายอยู่ในนี้”
“นั่นเป็นสิ่งที่พวกแกเลือกเอง และตอนนี้ก็ถึงเวลาชดใช้ที่แกตัดสินใจเข้าร่วมเล่นเกมนี้”
แล้วมันก็หัวเราะเสียงแหลมน่ารังเกียจ ความโกรธ และเคียดแค้นพลุ่งพล่านอยู่ในอกของเอกราชราวกับเพลิงสุม การได้เงินสองล้านแลกกับการเอาชีวิตมาทิ้งที่นี้... มันบ้าสิ้นดี
“พวกฉันไม่ยอมเล่นตามเกมของแกเด็ดขาด!”
“เดี๋ยวก็ได้รู้ เพราะยังมีอีกคนหนึ่งที่ยอมเดินตามหมากที่ฉันวางไว้...และตอนนี้ก็กำลังวางแผนเพื่อฆ่าพวกแกทั้งหมด...เลือกเอาซะว่าจะยอมเสี่ยงตาย แล้วได้เงินสองล้านกลับไป หรือว่าจะตายฟรีๆ เป็นผีเฝ้าที่นี่ เหมือนกับ นิตาภา กับสุทัศน์ หรือผีเซ่นเจ้าป่าอย่างกิตติ”
วิลาวัลย์ไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความหวาดผวาไว้ได้อีกต่อไป หลั่งพรั่งพรูอาบเต็มสองแก้ม แฟริคสบถคำด่าลั่นอย่างโกรธแค้น และสิ้นหวัง ความอ่อนแอพรั่นพรึงของคนที่ยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ เหมือนเป็นโอรสบำรุงชั้นดีให้แก่เจ้าของเสียงปริศนา มันหัวเราะร่วน ก่อนพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่า
“เตรียมพร้อมเอาไว้ให้ดี...ไม่ว่าพวกแกจะเต็มใจหรือไม่ เกมส์สั่งตายจะเริ่มอีกครั้งในไม่ช้า และผู้ที่อยู่รอดเป็นคนสุดท้าย จะได้เงินสองล้านบาทไปครอง...ขอให้โชคดี อย่างน้อยขอให้ตายช้าที่สุด”
ยังไม่ทันสิ้นประโยค เสียงเคลื่อนไหวของ‘อะไรบางอย่าง’ ก็ดังขึ้นจากห้องหนึ่งฝั่งตรงข้ามพวกเขา หากทว่ามุมของบันไดทำให้ไม่เห็นว่าคืออะไร ทั้งสามคนสะดุ้งขึ้นพร้อมกัน แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นเร็วปรื๋อแทบไม่เป็นคำ
“เข้าไปหลบหลังตรงนี้ก่อน”
ว่าพลางวิ่งเหยาะๆนำเพื่อนไปหลบหลังรูปปั้นอันใหญ่ที่ใกล้ที่สุด คนทั้งสามนั่งยองๆ เบียดเสียดกันอยู่ในพื้นที่เล็กๆ แต่พ้นระยะจากการมองเห็นเพราะมีเงาทอดลงมาบังช่วยอีกต่อ ในความเงียบชั่ววินาทีที่ได้ยินแต่เสียงลมหายใจคนข้างๆ ต่อมาก็แว่วเสียงฝีเท้าแผ่วเบามาจากอีกฝั่งของโถง
เสียงย่ำเดินค่อยๆ ดังใกล้เข้ามาทางนี้ เขาแอบมองลอดช่องว่าง เงารางๆ สูงผอมพร้อมมีดในมือที่สะท้อนแสงไฟวาววับ กำลังก้าวอย่างเชื่องช้าตัดห้องโถงตรงแล้วจู่ๆ ก็หยุดกึก ก่อนเบนทิศเดินไปยังประตูหน้าคฤหาสน์ พร้อมๆ กับหัวใจของเขาที่หล่นวูบ มือเท้าเย็นลงอย่างฉับพลัน เมื่อตระหนักได้ว่าพวกเขาทิ้งกระเป๋าสัมภาระทั้งหมดไว้ตรงนั้น
ถ้าหล่อนเห็นของพวกนั้น ก็จะรู้ทันทีว่าพวกเราอยู่ในอาณาบริเวณนี้ และคงไม่ยอมปล่อยให้เหยื่อของหล่อนหลุดมือไปเป็นครั้งที่สอง...ซึ่งแน่นอนว่าสุตาภาเห็นมันแล้ว พร้อมกับกระแสเสียงดุกร้าวโพล่งขึ้นทะลุความเงียบ
“ฉันรู้ว่าพวกแกอยู่แถวนี้”
แววตาวาวโรจน์ประดุจเหยี่ยวกวาดมองไปรอบๆ อย่างหมายมาด ก้าวอาดๆ ทั่วบริเวณพลางใช้สันมีดเคาะตามรูปปั้นน้อยใหญ่ เกิดเป็นเสียงแหลมดังกังวาน ข่มขวัญ‘เหยื่อ’ให้ขวัญกระเจิง วิลาวัลย์สะดุ้งเฮือกอยู่ด้านหลัง เกือบเผลอร้องอุทานออกมา ดีที่แฟริครีบเอามือปิดปากหล่อนทันท่วงที เพราะร่างของสุตาภาเฉียดผ่านพวกเขาไปเพียงไม่กี่นิ้ว ยังมองไม่เห็นเหยื่อของตน
“อย่าให้ฉันต้องเหนื่อยเดินหา ไม่งั้นเจ็บตัวมากกว่านี้ ออกมาซะดีๆ...โดยเฉพาะแก ไอ้เอก เล่นฉันเอาไว้แสบนักนะ ถ้าเจอแกโดนก่อนคนแรก”
เขาขดเกร็งเป็นรูปปั้น ปลายท้าจิกเกร็งจนชาไร้ความรู้สึก ต้นคอสัมผัสกับลมหายใจถี่ๆ ของวิลาวัลย์ หล่อนกลั้นสะอื้นอย่างหนักหน่วง ตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ ท่ามกลางช่วงเวลาแห่งความกดดัน ตึงเขม็ง โชคชะตาแห่งชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย
สุตาภาเดินมาถึงจุดที่เผยให้เห็นที่ซ่อนของพวกเขาเต็มๆ หากผินหน้ามามองเพียงนิดเดียว แต่บุญเก่าที่สั่งสมมาคงพอมีบ้าง หล่อนเดินเลยไปทางห้องอาหารโดยไม่ได้หยุดสังเกตมอง ช่วยยืดเวลาแห่งชีวิตออกไปได้ชั่วขณะหนึ่ง
“เราต้องทำอะไรสักอย่าง” แฟริคกระซิบเร่งร้อน “ขืนอยู่แบบนี้ต่อไป ต้องเสร็จมันแน่”
เอกราชไม่ตอบ ชะเง้อดูสุตาภา ทันเห็นแผ่นหลังของหญิงสาวแวบหายเข้าไปในห้องอาหาร จังหวะโอกาสเปิดช่องให้กับพวกเขาแล้ว
“มันเข้าไปในห้องครัว” เอกราชกระซิบเสียงเครียด “พอมีเวลาแปปหนึ่งให้เราหนี”
“หนีไปไหน”
“พวกเราต้องรีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าที่หน้าประตู แล้ววิ่งขึ้นไปบนชั้นสาม กลับไปตั้งหลักที่ห้อง”
“แล้วมันจะปลอดภัยเหรอ” เด็กหนุ่มถามสีหน้าหวาดหวั่น “สุ่มเสี่ยงมากเลยนะ ห้องพักที่แรกเป็นที่มันต้องไปหาแน่ๆ”
“ตอนนี้ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้นแหละ ไม่มีเวลาแล้ว เราต้องรีบไป...วิพร้อมนะ...ไป!”
เขาตะโกนเป็นเสียงกระซิบพร้อมๆ กับพุ่งถลันมุ่งตงไปจุดที่วางกระเป๋าซึ่งห่างออกไปไม่กี่เมตร เด็กหนุ่มอาศัยร่างปราดเปรียววิ่งไปถึงก่อน โดยเขาปิดท้ายอยู่ด้านหลัง เด็กหนุ่มรีบหยิบกระเป๋าขึ้นมาก่อนโยนให้เขา วิลาวัลย์หอบสัมภาระด้วยมืออันสั่นเทาพลางเหลียวไปมองทางห้องอาหารด้วยความพรั่นพรึง สุตาภายังไม่ออกมา นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับคนทั้งสาม
ไม่ต้องรอให้สั่งการใดๆกันอีก ต่างคนต่างวิ่งหน้าตั้งขึ้นบันไดหินเย็นเยียบ ทั้งตัวซีดเผือดราวกับเลือดแห้งเหือดไปหมดสิ้น ขาสองข้างที่ชาจนแข็งออกแรงฮึดก้าวเท้าสุดชีวิต หนีให้รอดพ้นจากความตายที่ไล่กวดตามมาเบื้องหลัง สุดท้ายจึงมาถึงชั้นสาม เล่นเอาหอบฮัก แล้วรุดแล่นเข้าไปในห้องพักของชายหนุ่ม ก่อนกดล็อคลูกบิดทันที
วิลาวัลย์ทรุดตัวลงกับพื้นทันที ทั้งเหนื่อยหอบ และหวาดกลัวถาโถมเข้าใส่ผู้หญิงตัวเล็ก เกินกว่าจะรับไหว หล่อนร่ำไห้ออกมาจนตัวโยน หากทว่ายังเก็บกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ แฟริคทิ้งตัวลงบนเตียงทั้งๆ กระเป๋าสัมภาระ หน้าอกกระเพื่อมถี่ๆ หายใจแรง เขาเดินโซเซไปนั่งตรงปลายเตียง ห้องนี้พอเป็นที่พักปลอดภัยที่สุดในคฤหาสน์ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน
ยังไงสุตาภาต้องขึ้นมาหาพวกเราบนนี้...ไม่ช้าก็เร็ว!
ไม่มีใครปริปากพูดคำใดกันครู่หนึ่ง ต่างตกอยู่ในห้วงอารมณ์ของตนเอง แต่ละคนพยายามข่มจิตใจที่เตลิดเปิดเปิงตลอดทั้งคืนให้สงบลงเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่นานวิลาวัลย์ก็หยุดร้องลุกขึ้นปาดน้ำตาก็เปลี่ยนมานั่งกอดเข่าตัวสั่น แฟริคดีดตัวขึ้น แล้วเอ่ยเป็นคนแรก
“ทางเดียวที่เราจะหนีออกไปได้ มันก็มีคนพวกนั้นมาขวางไว้ ฉันอับจนหนทาง มองไม่เห็นทางออกใดๆอีกแล้ว”
ในใจเขาก็คิดไม่ต่างกับเด็กหนุ่ม แต่การจะพูดย้ำไปอีก มันก็จะทำให้ใจที่หดหู่อยู่แล้ว เหี่ยวเฉาขึ้นไปอีก
“อย่าเพิ่งคิดอย่างนั้นสิ” เขาพูดเสียงอ่อย ตาเหม่อมองบนพื้น “ตราบใดที่เรายังไม่ตาย ก็ต้องสู้ ที่ฉันเคยบอกนายว่ายังไงก็ต้องเอาเงินสอง
ล้านกลับไปให้ได้...แต่ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการได้มีชีวิตรอดกลับไปพบหน้าคนที่บ้าน”
พูดถึงตรงนี้ก็มีก้อนแข็งแล่นขึ้นมาจุกลำคอ ดวงตาร้อนผ่าวด้วยหยาดน้ำที่รื้นขึ้นจนตาพร่ามัว ชายหนุ่มแสร้งหันไปมองทางหน้าต่างเสีย เห็นพระจันทร์ดวงโตลอยเด่น ทอแสงเหลืองนวล แต่วันนี้มันช่างดูเศร้าสร้อย เสียเหลือเกินเมื่อคิดว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นดวงจันทร์สวยงามเช่นนี้
เด็กหนุ่มด้านหลังไสตัวลงมานั่งข้างๆ วิลาวัลย์ก่อนโอบไหล่ เป็นการปลอบหญิงสาวซึ่งยังเหลือเค้ารอยแห่งความหวั่นผวา แม้เขาก็กลัวไม่ต่างกัน แต่ก็ต้องสวมบทให้เข้มแข็งเพื่อให้คนที่อ่อนแอกว่าได้พึ่งพิง
“ฉันคิดว่าสุดท้ายแล้ว...” เอกราชเอ่ยขึ้นอย่างยากเย็น ตายังมองไปที่หน้าต่าง “อย่างที่เสียงนั่นพูด มันเตรียมการไว้หมดแล้ว เราไม่มีทางหนีไปไหนได้เลย นอกจากต้องเล่นไม่ตามเกมของมัน”
....เกมส์ สั่ง ตาย บทที่ 9.... โดย ราชพฤกษ์
แฟริค และวิลาวัลย์ที่ยืนตะลึงนิ่งเป็นก้อนหินได้สติในทันทีนั้น ตะลีตะลานช่วยเอกราชดันประตูปิด แล้วลงกลอนทุกอันอย่างลนลาน ความหวังเดียวที่ช่วยป้องกันพวกเขาจากบุคคลลึกลับภายนอกไม่ให้รุกล้ำเข้ามา แต่ในขณะเดียวกันมันก็ขังคนทั้งสามไว้ในคฤหาสน์ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายที่หลบซุ่มอยู่ในมุมมืด พร้อมจะจู่โจมได้ทุกเมื่อ
แต่ละคนพร้อมใจกันถอยกรูออกหากจากประตู ยืนนิ่งแทบหยุดหายใจ เงี่ยหูรอฟังสรรพสำเนียงจากหลังบานประตู ความตึงเครียด กดดันเพิ่มขึ้นจนวิลาวัลย์ร่ำๆ จะร้องไห้ แต่เธอก็ขลาดกลัวเกินกว่าจะเปล่งเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากจนห้อเลือด สองไหล่ที่แบกกระเป๋าสัมภาระหนักอึ้งสั่นเทาเพราะความล้า และอาการตื่นเต้น เอกราชไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกนิ้ว กลัวว่าจะทำให้เกิดเสียงดังไปถึงใครก็ตามที่หมายฆ่าพวกเขา
ผ่านไปหลายวินาทีที่มีแต่ความเงียบครอบคลุม ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้นจากคนที่อยู่ภายนอก วิลาวัลย์ แฟริค หันหน้ามองชายหนุ่มพร้อมกันเป็นคำถาม เขาที่ซึ่งบัดนี้กลายเป็นหัวหน้าจำเป็นก็มิอาจหยั่งรู้ได้เช่นกัน เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากไหลย้อยลงเข้าเบ้าตาจนรู้สึกแสบ แต่จำต้องฝืนเบิกตาค้าง ไม่กล้าหลับลงแม้แต่วินาทีเดียว
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ สงัดจนน่าหวาดหวั่น สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจอย่างทันทีทันด่วน ปลดสัมภาระทั้งหมดลง แล้ววิ่งถลันไม่บอกไม่กล่าวไปยังหน้าต่างบานที่ใกล้ที่สุด แง้มเปิดผ้าม่านเล็กน้อยพอให้เห็นภายนอก สองคนที่เหลือพอจะเข้าใจเรื่องราว ค่อยๆว่างสัมภาระลง ก่อนย่างเท้าเร็วๆตามมาอย่างเงียบกริบ แล้วแฟริคจึงสะกิดหลังชายหนุ่มๆ เบาถามแผ่วเบา
“เห็นอะไรบ้างไหม”
คนถูกถามยังไม่ปริปาก เพ่งมองผ่านหน้าต่างออกไปตรงมุกอาคาร ซึ่งแสงไฟสีส้มเรืองๆ พอให้เห็นบริเวณรอบเป็นเค้าราง จุดนั้นว่างเปล่า แต่ถัดไกลออกไปตรงริมสนามหญ้าคือคนพวกนั้นทั้งหมด ยืนกระจุกตัวรวมกัน นิ่งทื่อราวกับรูปปั้น เอกราชลอบดูอยู่ครู่ ก็ยังไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว แม้แต่ลมก็ไม่กระดิก
“พวกมันไม่ได้เข้ามา” เขาว่าเสียงทุ้มต่ำในลำคอ “หยุดอยู่แค่ริมสนามด้านนอก”
ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจฟู่ใหญ่ด้านหลัง ก่อนที่แฟริคจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายขึ้น
“ฉันกลัวใจพวกมันจริงๆ คิดจะทำอะไรกันแน่ ...ในป่าก็แบบนี้หลายครั้ง เหมือนจะทำก็ไม่ทำ”
“เราจะทำยังไงกันดี” วิลาวัลย์ถามเสียงสั่น “จะหนีออกไปพวกมันก็รออยู่ด้านหน้า ข้างในนี้ก็ไม่รู้ว่าสุตาภาแอบซ่อนอยู่ส่วนไหน”
พูดพลางเธอก็เหลียวมองรอบตัวด้วยความอกสั่นขวัญแขวน บรรยากาศที่ทึมสลัว หลายมุมตกอยู่ภายใต้เงามืดชวนให้ขวัญหนีดีฝ่อ หญิงสาวอดนึกถึง‘อะไร’หลบซุ่มอยู่ในนั้นไม่ได้ ถ้าต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ต่อไป เธอคงได้ไกลเป็นบ้าเป็นแน่แท้
ระหว่างที่ทั้งสามตกอยู่ภาวะนิ่งงัน กระแสเสียงทุ้มต่ำของ‘เสียงปริศนา’ก็พลันดังขึ้น ก้องกังวานไปทั่วทั้งคฤหาสน์
“ไม่ต้องห่วงคนพวกนั้น ตราบใดที่พวกแกไม่เหยียบย่างออกจากคฤหาสน์ มันก็จะไม่ทำอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น...และอย่าคิดหนี เพราะไม่มีทางไหนให้ออกไป ถ้าไม่แข่งขันจนจบเกมส์”
“ว้อท ดู ยู ว้อนท์ ฟรอม มี” แฟริคตะโกนลั่นจนเส้นเอ็นปูดโปน “เกมบ้าอะไรขอแก พวกฉันอยากออกไปเป็นๆ ไม่ได้อยากตายอยู่ในนี้”
“นั่นเป็นสิ่งที่พวกแกเลือกเอง และตอนนี้ก็ถึงเวลาชดใช้ที่แกตัดสินใจเข้าร่วมเล่นเกมนี้”
แล้วมันก็หัวเราะเสียงแหลมน่ารังเกียจ ความโกรธ และเคียดแค้นพลุ่งพล่านอยู่ในอกของเอกราชราวกับเพลิงสุม การได้เงินสองล้านแลกกับการเอาชีวิตมาทิ้งที่นี้... มันบ้าสิ้นดี
“พวกฉันไม่ยอมเล่นตามเกมของแกเด็ดขาด!”
“เดี๋ยวก็ได้รู้ เพราะยังมีอีกคนหนึ่งที่ยอมเดินตามหมากที่ฉันวางไว้...และตอนนี้ก็กำลังวางแผนเพื่อฆ่าพวกแกทั้งหมด...เลือกเอาซะว่าจะยอมเสี่ยงตาย แล้วได้เงินสองล้านกลับไป หรือว่าจะตายฟรีๆ เป็นผีเฝ้าที่นี่ เหมือนกับ นิตาภา กับสุทัศน์ หรือผีเซ่นเจ้าป่าอย่างกิตติ”
วิลาวัลย์ไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความหวาดผวาไว้ได้อีกต่อไป หลั่งพรั่งพรูอาบเต็มสองแก้ม แฟริคสบถคำด่าลั่นอย่างโกรธแค้น และสิ้นหวัง ความอ่อนแอพรั่นพรึงของคนที่ยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ เหมือนเป็นโอรสบำรุงชั้นดีให้แก่เจ้าของเสียงปริศนา มันหัวเราะร่วน ก่อนพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่า
“เตรียมพร้อมเอาไว้ให้ดี...ไม่ว่าพวกแกจะเต็มใจหรือไม่ เกมส์สั่งตายจะเริ่มอีกครั้งในไม่ช้า และผู้ที่อยู่รอดเป็นคนสุดท้าย จะได้เงินสองล้านบาทไปครอง...ขอให้โชคดี อย่างน้อยขอให้ตายช้าที่สุด”
ยังไม่ทันสิ้นประโยค เสียงเคลื่อนไหวของ‘อะไรบางอย่าง’ ก็ดังขึ้นจากห้องหนึ่งฝั่งตรงข้ามพวกเขา หากทว่ามุมของบันไดทำให้ไม่เห็นว่าคืออะไร ทั้งสามคนสะดุ้งขึ้นพร้อมกัน แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นเร็วปรื๋อแทบไม่เป็นคำ
“เข้าไปหลบหลังตรงนี้ก่อน”
ว่าพลางวิ่งเหยาะๆนำเพื่อนไปหลบหลังรูปปั้นอันใหญ่ที่ใกล้ที่สุด คนทั้งสามนั่งยองๆ เบียดเสียดกันอยู่ในพื้นที่เล็กๆ แต่พ้นระยะจากการมองเห็นเพราะมีเงาทอดลงมาบังช่วยอีกต่อ ในความเงียบชั่ววินาทีที่ได้ยินแต่เสียงลมหายใจคนข้างๆ ต่อมาก็แว่วเสียงฝีเท้าแผ่วเบามาจากอีกฝั่งของโถง
เสียงย่ำเดินค่อยๆ ดังใกล้เข้ามาทางนี้ เขาแอบมองลอดช่องว่าง เงารางๆ สูงผอมพร้อมมีดในมือที่สะท้อนแสงไฟวาววับ กำลังก้าวอย่างเชื่องช้าตัดห้องโถงตรงแล้วจู่ๆ ก็หยุดกึก ก่อนเบนทิศเดินไปยังประตูหน้าคฤหาสน์ พร้อมๆ กับหัวใจของเขาที่หล่นวูบ มือเท้าเย็นลงอย่างฉับพลัน เมื่อตระหนักได้ว่าพวกเขาทิ้งกระเป๋าสัมภาระทั้งหมดไว้ตรงนั้น
ถ้าหล่อนเห็นของพวกนั้น ก็จะรู้ทันทีว่าพวกเราอยู่ในอาณาบริเวณนี้ และคงไม่ยอมปล่อยให้เหยื่อของหล่อนหลุดมือไปเป็นครั้งที่สอง...ซึ่งแน่นอนว่าสุตาภาเห็นมันแล้ว พร้อมกับกระแสเสียงดุกร้าวโพล่งขึ้นทะลุความเงียบ
“ฉันรู้ว่าพวกแกอยู่แถวนี้”
แววตาวาวโรจน์ประดุจเหยี่ยวกวาดมองไปรอบๆ อย่างหมายมาด ก้าวอาดๆ ทั่วบริเวณพลางใช้สันมีดเคาะตามรูปปั้นน้อยใหญ่ เกิดเป็นเสียงแหลมดังกังวาน ข่มขวัญ‘เหยื่อ’ให้ขวัญกระเจิง วิลาวัลย์สะดุ้งเฮือกอยู่ด้านหลัง เกือบเผลอร้องอุทานออกมา ดีที่แฟริครีบเอามือปิดปากหล่อนทันท่วงที เพราะร่างของสุตาภาเฉียดผ่านพวกเขาไปเพียงไม่กี่นิ้ว ยังมองไม่เห็นเหยื่อของตน
“อย่าให้ฉันต้องเหนื่อยเดินหา ไม่งั้นเจ็บตัวมากกว่านี้ ออกมาซะดีๆ...โดยเฉพาะแก ไอ้เอก เล่นฉันเอาไว้แสบนักนะ ถ้าเจอแกโดนก่อนคนแรก”
เขาขดเกร็งเป็นรูปปั้น ปลายท้าจิกเกร็งจนชาไร้ความรู้สึก ต้นคอสัมผัสกับลมหายใจถี่ๆ ของวิลาวัลย์ หล่อนกลั้นสะอื้นอย่างหนักหน่วง ตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ ท่ามกลางช่วงเวลาแห่งความกดดัน ตึงเขม็ง โชคชะตาแห่งชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย
สุตาภาเดินมาถึงจุดที่เผยให้เห็นที่ซ่อนของพวกเขาเต็มๆ หากผินหน้ามามองเพียงนิดเดียว แต่บุญเก่าที่สั่งสมมาคงพอมีบ้าง หล่อนเดินเลยไปทางห้องอาหารโดยไม่ได้หยุดสังเกตมอง ช่วยยืดเวลาแห่งชีวิตออกไปได้ชั่วขณะหนึ่ง
“เราต้องทำอะไรสักอย่าง” แฟริคกระซิบเร่งร้อน “ขืนอยู่แบบนี้ต่อไป ต้องเสร็จมันแน่”
เอกราชไม่ตอบ ชะเง้อดูสุตาภา ทันเห็นแผ่นหลังของหญิงสาวแวบหายเข้าไปในห้องอาหาร จังหวะโอกาสเปิดช่องให้กับพวกเขาแล้ว
“มันเข้าไปในห้องครัว” เอกราชกระซิบเสียงเครียด “พอมีเวลาแปปหนึ่งให้เราหนี”
“หนีไปไหน”
“พวกเราต้องรีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าที่หน้าประตู แล้ววิ่งขึ้นไปบนชั้นสาม กลับไปตั้งหลักที่ห้อง”
“แล้วมันจะปลอดภัยเหรอ” เด็กหนุ่มถามสีหน้าหวาดหวั่น “สุ่มเสี่ยงมากเลยนะ ห้องพักที่แรกเป็นที่มันต้องไปหาแน่ๆ”
“ตอนนี้ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้นแหละ ไม่มีเวลาแล้ว เราต้องรีบไป...วิพร้อมนะ...ไป!”
เขาตะโกนเป็นเสียงกระซิบพร้อมๆ กับพุ่งถลันมุ่งตงไปจุดที่วางกระเป๋าซึ่งห่างออกไปไม่กี่เมตร เด็กหนุ่มอาศัยร่างปราดเปรียววิ่งไปถึงก่อน โดยเขาปิดท้ายอยู่ด้านหลัง เด็กหนุ่มรีบหยิบกระเป๋าขึ้นมาก่อนโยนให้เขา วิลาวัลย์หอบสัมภาระด้วยมืออันสั่นเทาพลางเหลียวไปมองทางห้องอาหารด้วยความพรั่นพรึง สุตาภายังไม่ออกมา นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับคนทั้งสาม
ไม่ต้องรอให้สั่งการใดๆกันอีก ต่างคนต่างวิ่งหน้าตั้งขึ้นบันไดหินเย็นเยียบ ทั้งตัวซีดเผือดราวกับเลือดแห้งเหือดไปหมดสิ้น ขาสองข้างที่ชาจนแข็งออกแรงฮึดก้าวเท้าสุดชีวิต หนีให้รอดพ้นจากความตายที่ไล่กวดตามมาเบื้องหลัง สุดท้ายจึงมาถึงชั้นสาม เล่นเอาหอบฮัก แล้วรุดแล่นเข้าไปในห้องพักของชายหนุ่ม ก่อนกดล็อคลูกบิดทันที
วิลาวัลย์ทรุดตัวลงกับพื้นทันที ทั้งเหนื่อยหอบ และหวาดกลัวถาโถมเข้าใส่ผู้หญิงตัวเล็ก เกินกว่าจะรับไหว หล่อนร่ำไห้ออกมาจนตัวโยน หากทว่ายังเก็บกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ แฟริคทิ้งตัวลงบนเตียงทั้งๆ กระเป๋าสัมภาระ หน้าอกกระเพื่อมถี่ๆ หายใจแรง เขาเดินโซเซไปนั่งตรงปลายเตียง ห้องนี้พอเป็นที่พักปลอดภัยที่สุดในคฤหาสน์ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน
ยังไงสุตาภาต้องขึ้นมาหาพวกเราบนนี้...ไม่ช้าก็เร็ว!
ไม่มีใครปริปากพูดคำใดกันครู่หนึ่ง ต่างตกอยู่ในห้วงอารมณ์ของตนเอง แต่ละคนพยายามข่มจิตใจที่เตลิดเปิดเปิงตลอดทั้งคืนให้สงบลงเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่นานวิลาวัลย์ก็หยุดร้องลุกขึ้นปาดน้ำตาก็เปลี่ยนมานั่งกอดเข่าตัวสั่น แฟริคดีดตัวขึ้น แล้วเอ่ยเป็นคนแรก
“ทางเดียวที่เราจะหนีออกไปได้ มันก็มีคนพวกนั้นมาขวางไว้ ฉันอับจนหนทาง มองไม่เห็นทางออกใดๆอีกแล้ว”
ในใจเขาก็คิดไม่ต่างกับเด็กหนุ่ม แต่การจะพูดย้ำไปอีก มันก็จะทำให้ใจที่หดหู่อยู่แล้ว เหี่ยวเฉาขึ้นไปอีก
“อย่าเพิ่งคิดอย่างนั้นสิ” เขาพูดเสียงอ่อย ตาเหม่อมองบนพื้น “ตราบใดที่เรายังไม่ตาย ก็ต้องสู้ ที่ฉันเคยบอกนายว่ายังไงก็ต้องเอาเงินสอง
ล้านกลับไปให้ได้...แต่ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการได้มีชีวิตรอดกลับไปพบหน้าคนที่บ้าน”
พูดถึงตรงนี้ก็มีก้อนแข็งแล่นขึ้นมาจุกลำคอ ดวงตาร้อนผ่าวด้วยหยาดน้ำที่รื้นขึ้นจนตาพร่ามัว ชายหนุ่มแสร้งหันไปมองทางหน้าต่างเสีย เห็นพระจันทร์ดวงโตลอยเด่น ทอแสงเหลืองนวล แต่วันนี้มันช่างดูเศร้าสร้อย เสียเหลือเกินเมื่อคิดว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นดวงจันทร์สวยงามเช่นนี้
เด็กหนุ่มด้านหลังไสตัวลงมานั่งข้างๆ วิลาวัลย์ก่อนโอบไหล่ เป็นการปลอบหญิงสาวซึ่งยังเหลือเค้ารอยแห่งความหวั่นผวา แม้เขาก็กลัวไม่ต่างกัน แต่ก็ต้องสวมบทให้เข้มแข็งเพื่อให้คนที่อ่อนแอกว่าได้พึ่งพิง
“ฉันคิดว่าสุดท้ายแล้ว...” เอกราชเอ่ยขึ้นอย่างยากเย็น ตายังมองไปที่หน้าต่าง “อย่างที่เสียงนั่นพูด มันเตรียมการไว้หมดแล้ว เราไม่มีทางหนีไปไหนได้เลย นอกจากต้องเล่นไม่ตามเกมของมัน”