....เกมส์ สั่ง ตาย บทที่ 6.... โดย ราชพฤกษ์

กระทู้สนทนา
บทที่ 6

    
เปลือกตาอันหนักอึ้งของร่างที่นอนอยู่บนเตียงต้องฝืนลืมขึ้นอย่างเสียไม่ได้ เพราะแสงตะวันยามสายส่องลอดหน้าตาเข้ามาแยงตา เอกราชนอนมองเพดานนิ่งๆ ใช้เวลาปรับสายตาให้ชินอยู่ครู่ แล้วลุกขึ้นนั่งพร้อมกับความเมื่อยขบแล่นปราดขึ้นมาจากส่วนต่างๆ ชายหนุ่มคลำตรงท้ายทอย พบว่ารอยปูดโนยุบลงจนเกือบหายเป็นปกติ และเจ็บน้อยลงกว่าเมื่อคืน

    เอกราชหันไปดูเด็กหนุ่ม เตียงข้างๆ นั้นว่างเปล่า ผ้าห่มกองขยุ้มอยู่ปลายเตียง ต่อมาเขาก็ได้คำตอบว่าเด็กหนุ่มหายไปไหน เมื่อได้ยินเสียงเปิดฝักบัวจากในห้องน้ำพร้อมสำเนียงภาษาอังกฤษกำลังร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี เอกราชดีดตัวลุกจากเตียง เดินไปเปิดตู้หยิบผ้าขนหนู และชุดออกมาเตรียมรออาบน้ำต่อจากแฟริค

    “อย่ามัวแต่ร้องเพลงเว้ย ฉันรออาบน้ำอยู่” เอกราชตะโกนบอก “ท้องเริ่มร้องด้วย สายป่านนี้คนอื่นคงฟาดเรียบหมดแล้ว”  

    “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ” เด็กหนุ่มตอบกลับ น้ำเสียงเริงร่า “ไม่ต้องวอร์รี่เรื่องกิน เมื่อกี้ฉันไปลงไปข้างล่าง ยังไม่มีใครลงไปสักคน มื้อเช้าวันนี้ คุณไพบูลย์ทำสเต็ก น่ากินสุดๆ”

    “เออๆ พูดมาก รีบอาบเข้าเถอะ แล้วอย่าให้น้ำเข้าแผล เดี๋ยวแผลเน่า”

    “ครับ คุณหมอ” เด็กหนุ่มพูดเสียงยานคาง ล้อเลียน

    
ห้านาทีต่อมาแฟริคก็ออกจากห้องน้ำพร้อมชุดที่เปลี่ยนเรียบร้อย เขาสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มยังเดินไม่คล่องนัก แต่ดูท่าทางสดชื่น แจ่มใส่มากกว่าเดิม ผิวปากหวือด้วยความเบิกบาน

    “ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่” เอกราชถาม “ทำไมนายไม่ปลุกฉัน”

    “เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ฉันเห็นนายกำลังหลับสบายเลยไม่อยากปลุก”

    “แล้วแผลนายเป็นไง?”

    “ก็ตึงๆ ปวดอยู่ แต่ไกลหัวใจ”

    เจ้าของรอยยิ้มทะเล้นเปิดรื้อกระเป๋าส่วนตัว หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาตรวจดูสัญญาณ พลางโคลงหัว แล้วพูดกับชายหนุ่ม
    
“โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณตั้งแต่เมื่อวาน ตอนนี้ก็ยังใช้การไม่ได้”

    “อื้อ ของฉันเหมือนกัน”

    โทรศัพท์ของเอกราชนอนสงบอยู่ก้นกระเป๋า เขาอยากหยิบขึ้นมาโทรถามอาการของแม่ และน้อง ด้วยความคิดถึง และเป็นห่วง แต่รู้ดีว่าเปล่าประโยชน์ เพราะคฤหาสน์หลังนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่อับสัญญาณ ใช้โทรศัพท์ติดต่อสื่อสารไม่ได้ ไม่ต่างกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และช่างเป็นความบังเอิญที่ใจตรงกับคนบางคนซึ่งตอนนี้กำลังพยายามโทรติดต่อเอกราชร่วมสิบสาย


    เก่งกล้าเพิ่งวางโทรศัพท์ หลังจากเฝ้าโทรหาเอกราชนับสิบสาย แต่ทว่าไร้สัญญาณตอบรับ จนเริ่มเกิดความเป็นห่วงกังวล พยายามคิดหาเหตุผลความเป็นไปได้ที่ทำให้โทรศัพท์ของเด็กหนุ่มใช้การไม่ได้ แต่ก็ได้แต่เพียงคาดเดา นับตั้งแต่คุยกันครั้งหลังสุดกว่ากำลังจะกลับไปเยี่ยมแม่ และน้องที่ป่วยกะทันหัน เขาก็ไม่ได้รับข่าวคราวจากเอกราชอีกเลย

    นอกจากเบอร์ของเอกราชแล้ว เขาก็ไม่มีเบอร์ที่บ้าน หรือเบอร์เพื่อนคนอื่นของเด็กหนุ่มอีก ระหว่างที่จนใจไม่รู้จะหาทางติดต่ออย่างไร ยอด และหน่อง พนักงานเสริฟอีกสองคนก็เดินเข้าร้านมาพอดี เจ้าของร้านข้าวต้มโต้รุ่งจึงถามลูกน้องอย่างมีความหวัง

    “ไอ้ยอด ไอ้หน่อง มีเบอร์ที่บ้านของไอ้เก่ง หรือเบอร์เพื่อนมันบ้างไหม”

    “เบอร์ที่บ้านมันไม่มีหรอก แต่เบอร์เพื่อนมี ก็พวกเราสองคนไงเพื่อนมัน เฮียจะเอาไหมล่ะ”
    
ไอ้หน่องหยอกเหย้า ด้วยว่าสนิทสนมกับเจ้านาย แต่เก่งกล้าแทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ใส่หัวเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างมีโมโห ความดีใจหายวับไปทันที สองเกลอหัวร่อชอบใจ ในขณะที่ฝ่ายผู้เป็นเจ้านายกำลังมีสีหน้ากลุ้มใจ

    “เฮีย จะเอาเบอร์เพื่อนมันไปทำไม ก็โทรหามันเลยดิ” ไอ้ยอดว่า
    
“ถ้าโทรติด ฉันคงไม่ถามพวกแกหรอก” เก่งกล้าตอบห้วนๆ “ไม่รู้ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว จะส่งข่าวมาบอกสักนิดก็ไม่มี”

    “เฮีย ไอ้เอกมันมันหนีไปไหนเหรอ” ไอ้หน่องแกล้งถามอย่างหน้าตาตื่น จนผู้ที่เห็นอยากจะถีบยอดหน้ามันเสียเต็มประดาในความไม่รู้กาละเทศะ  

    “ไม่ใช่โว้ย ไอ้เอกมันกลับไปเยี่ยมแม่กับน้องที่ป่วย” เก่งกล้าว่าอย่างระอา “แล้วพวกเองเลิกเล่นก่อนได้ไหม มาช่วยหาทางติดต่อไอ้เอกหน่อย ฉันชักเป็นห่วง ไม่รู้มันจะเป็นยังไงบ้าง ติดต่อไม่ได้เลย”

    “อ้าว เฮียไม่บอกตั้งแต่แรก” ไอ้ยอดร้องขึ้นพลางตบเข่าฉาดใหญ่ “แม่กับน้องมันเป็นอะไรเหรอเฮีย?”

    “ก็ไม่รู้ไง ยังติดต่อไม่ได้ แล้วพวกแกไม่มีเบอร์คนอื่นที่รู้จักเอกอีกเหรอวะ”

    “แต่จะว่าไปก็มีนะเฮีย...ฉันไง”
    
ไอ้หน่องพูดพลางทำสีหน้าครุ่นคิด ไม่รู้ว่าทีเล่นหรือทีจริง พอเห็นว่าผู้เป็นเจ้านายกำลังจะปาของใส่ด้วยความเดือดดาล ก็รีบร้องละล่ำละลัก

    “เดี๋ยวๆ เฮีย ฉันพูดเรื่องจริง ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันก่อน ไอ้เอกมันยืมโทรศัพท์ฉันโทรกลับไปหาแม่มันที่ต่างจังหวัด”    
    
“ไหนๆ รีบเอามา”
    
หน่องยืนกดไล่หาบันทึกโทรศัพท์แปปหนึ่ง แล้วอุทานอย่างดีใจพร้อมยื่นโทรศัพท์ให้เจ้านาย เก่งกล้ารีบรับมาอย่างเร็ว เลขโทรศัพท์สิบตัวปรากฏอยู่บนหน้าจอ


    
สองหนุ่มคงลงมาถึงห้องอาหารเป็นคนสุดท้าย ถ้าสองพ่อลูกไม่มัวเสียเวลาเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เมื่อทั้งสองก้าวเข้ามาภายในห้องอาหารก็ได้แววอันดุดันของสุทัศน์จ้องมาเป็นการทักทายยามเช้า แต่เขาแสร้งทำว่าไม่เห็นเสีย เดินไปนั่งเงียบๆ ข้างฝั่งสองสาว สุตาภา กับวิลาวัลย์ ซึ่งมีสีหน้า ยิ้มแย้มสดชื่นกว่าเมื่อคืน เอกราชยิ้มตอบทักทายก่อนหันไปสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
    
บนจานอาหารคือเสต็ก ฝีมือคุณไพบูลย์ ส่งกลิ่นหอมโชยเตะจมูก เนื้อนั้นถูกหั่นเป็นชิ้นๆ บาง สีดูซีดกว่าปกติ แต่ละคนไม่รอช้า เริ่มลงมีรับประทานด้วยความหิวโหย หลังจากใช้พลังงาน เหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งคืน แต่ทว่าเพียงคำแรกที่เข้าปากชายหนุ่ม ก็แทบทำให้เอกราชอิ่มเสียเดี๋ยวนั้น ลิ้นสัมผัสรสเนื้อสเต็ก มันเปรี้ยวๆ เค็มๆ ปะแล่มๆ หลายอย่างผสมปนเปกัน จนรู้สึกพะอืดพะอม กลืนไม่ลง ครั้นจะคายก็กลัวเสียมารยาทคุณไพบูลย์ ซึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ปลายโต๊ะ

    “คุณไพบูลย์ครับ สเต็กทำจากเนื้ออะไรครับ รสชาติคล้ายเนื้อหมู แต่ก็ไม่ใช่เสียที่เดียว บอกไม่ถูก”
    
แฟริคเงยหน้าถามคุณไพบูลย์ หลังจากได้ชิมเสต็กเพียงคำแรก รู้สึกประหลาดในรสชาติอาหารไม่ต่างกับทุกคน ซึ่งมีปฏิกิริยาเดียวกัน หากไม่มีผู้ใดกล้าถามออกมา นอกจากเด็กหนุ่มลูกครึ่งผมทอง

    “เนื้อหมูปกตินี่แหละครับ” คุณไพบูลย์พูดอย่างเฉยเมย “เป็นหมูป่าที่ผมเลี้ยงไว้ในป่า เมื่อหัวรุ่งผมไปเจอมันบาดเจ็บ ขาหัก ใกล้ตาย ได้จังหวะเอามาทำเป็นอาหารสำหรับพวกคุณ...ทำไม รสชาติไม่ถูกปากเหรอครับ”
    
“เปล่าๆ ครับ ไม่ใช่อย่างนั้น” เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธ ด้วยกลัวเสียน้ำใจ “สงสัยผมไม่ค่อยชินสูตรเสต็กแบบคนไทย”

    ที่แท้สิ่งเขาเห็นว่าคุณไพบูลย์กำลังลากออกจากป่าคือหมูป่านี่เอง เป็นเนื้อหมูป่าที่รสชาติแตกต่างจากที่ชายหนุ่มเคยทาน ยิ่งบวกกับน้ำซอสรสชาติคาวฉุนตลบ ไม่รู้ปรุงด้วยอะไร รสชาติถึงได้ออกมาแย่ขนาดนี้นี้ เขาหันไปมองคนข้างๆ สุตาภาตัดชิ้นเนื้อทานเพียงนิดเดียว แล้ววางมีดส้อมลง

    “อิ่มแล้วเหรอ ทานน้อยจัง” เอกราชถาม
    
“ไม่ไหวล่ะค่ะ” หล่อนเอียงตัวกระซิบ  “หิวแค่ไหนก็ทานไม่ลงจริงๆ”

    “ใช่ แค่กัดคำแรกแทบจะคายออกมา” แฟริคพูดเสริมด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่ยังไงซะ ก็ต้องกินเพื่อความอยู่รอด แม้ว่ารสชาติจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม”

    ว่าเสร็จ เด็กหนุ่มก็จิ้มเนื้อเสต็กเข้าปาก ทำหน้าเหยเกอย่างกล้ำกลืนฝืนทนเต็มที่ กว่าจะกระเดือกลงได้ เห็นแล้วเวทนา แต่สุดท้ายฝ่ายเขาเองก็ต้องจำทนทานสเต็กจนหมดชิ้น ทนกินให้อิ่ม ดีกว่าทนหิว ซึ่งผลสรุป มีเพียงเขา และแฟริคเท่านั้นที่ทานหมดเกลี้ยง


    หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จสิ้น ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนต่างแยกย้ายไปพักผ่อนยังห้องพักของตนเอง ไม่มีใครอยากทำกิจกรรม หรือออกไปเดินเล่นนอกคฤหาสน์ในวันแดดจ้าเท่าไรนัก ด้วยยังรู้สึกเหนื่อยจากภารกิจเมื่อคืน และตอนเย็นนี้จะต้องเริ่มทำภารกิจที่สอง ซึ่งไม่มีใครทราบว่าคืออะไร ดังนั้นการเก็บแรงเอาไว้ย่อมดีที่สุด

    สองหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันกำลังนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดเรื่อยเปื่อยของตนเองมาพักใหญ่ ข้างกายของเอกราชคือของที่ได้มาจากบ้านร่างกลางป่า เขาหยิบพวงกุญแจที่ร้อยลูกกุญแจสี่ดอกมาควงเล่นอย่างเหม่อลอย ชายหนุ่มลองพลิกสมุดบันทึกอย่างถี่ถ้วนอยู่หลายรอบ แต่ก็ไม่พบเครื่องหมาย หรือบันทึกตัวหนังสืออันใดเลยในสมุด นอกจากตราประทับ ‘The One’ จากทางรายการอยู่บนหน้าแรก ส่วนกระดาษอีกแผ่นที่เขียนตัวเลขแปดตัวด้วยหมึกสีแดง เขาก็ยังหาจุดเชื่อมโยง หรือเบาะแสไม่พบหมือนกัน

    “มันเป็นเบอร์โทรศัพท์รึเปล่า” แฟริคเสนอขึ้นอย่างมีความหวัง ก่อนที่เอกราชจะทำลายมันลงทันควัน
    
“จะเป็นไปได้ไงล่ะ เบอร์โทรศัพท์ต้องมีสิบตัว”
    
“เออนะ ฉันลืมไป”
    
แล้วแฟริคก็เงียบไปอีก สีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ฝ่ายเอกราชตอนนี้รู้สึกหัวสมองตื้อตัน คิดอะไรไม่ออก พยายามหาคำใบ้ หรือสัญลักษณ์ที่ซ่อนอยู่ในของทั้งสามสิ่ง หากทว่าไร้ประโยชน์ เกือบสิบห้านาทีที่ผ่านไปได้เพียงความว่างเปล่าเป็นคำตอบ จนสุดท้ายเขาก็เลิกคิดเรื่องนี้ไปเอง
    
เอกราชกระเถิบตัวไปที่ปลายเตียง ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋า  หน้าจอยังไม่แสดงสัญญาณอยู่เช่นเดิม เขาลองกดเบอร์โทรออกทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีความหวัง ไม่มีสัญญาณใดๆ ตอบรับกลับมา แล้วจึงยัดมันกลับไปที่เดิมอย่างเซ็งๆ
    ภายใต้ใบหน้าอันมึนตึงของชายหนุ่มคือจิตใจที่กำลังว้าวุ่น อยากรู้ข่าวคราวของแม่ และน้องด้วยความกระวนกระวาย หากทว่าทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากคอยสวดอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในใจ ขอให้ทั้งสองรอดปลอดภัย อย่ามีภัยร้ายอันใดมาพรากคนที่เขารักให้จากไปก่อนเวลาอันควรเหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับพ่อของเขา         
    
จากความรู้สึกคิดถึงห่วงหาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความหดหู่ อ้างว้างภายในใจ พร้อมกับหยาดน้ำที่รื้นขึ้นจนสายตาพร่ามัว เขารีบพลิกตัวไปอีกฝั่งด้วยกลัวแฟริคเห็น นับตั้งแต่วันที่ครอบครัวสูญเสียพ่อไปเมื่อเขาอายุได้เพียงสิบสี่ปี และแม่กลายเป็นโรคซึมเศร้า เขาได้บอกกับตัวเองว่าจะไม่ยอมเสียใครไปอีกแล้ว จะใช้ทุกวินาทีในแต่ละวันให้คุ้มค่าที่สุด ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้คนที่เขารักทั้งสามคนมีความสุขสบาย และเมื่อมาถึงวันนี้ วันที่ความเจ็บปวดในวันวานกำลังย้อนรอย แต่เขาจะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเด็ดขาด ทางเดียวคือต้องชนะเกมนี้ นำเงินสองล้านบาทกลับไปพร้อมตัวเองให้ได้

    เวลาล่วงไปโดยที่ทั้งสองคนไม่ได้ปริปากคุยอันใดกันอีก เอกราชได้ยินเสียงเด็กหนุ่มผิวปากหวือเป็นทำนองอย่างสบายอารมณ์ เขานอนฟังเงียบๆ ด้วยจิตใจที่เหม่อลอยถึงคนไกลๆ เสียงเล็กแหลม เบาหวิวนั้นค่อยๆ กล่อมให้ชายหนุ่มเคลิ้มหลับไปโดยไม่รู้ตัว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่