ถึงเธอ...(ที่รัก)
“ฉันไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างเรามันเริ่มต้นที่ตรงไหน รู้ตัวอีกทีเธอก็กลายเป็นสิ่งที่ฉันเฝ้าโหยหา คอยมอง คอยจ้อง คอยใส่ใจ
ถึงมันจะเป็นแบบลับๆก็เถอะนะ มันอาจจะเริ่มมาจากเพื่อนเธอก็ได้ บัดดี้หรือคู่หูหรือเพื่อนสนิทหรืออะไรก็ตามแล้วแต่ที่เธอจะเรียก
เพื่อนเธอเป็นน้องชายของเพื่อนพี่ฉันแล้วฉันก็คอยเฝ้าดูเค้าเพียงเพราะการรู้จักกันในรูปแบบแปลกๆนี้ จากนั้นมันก็ลามไปที่ตัวเธอ
เจอเพื่อนเธอทีไรฉันก็จะเห็นเธอเสมอสุดท้ายกลายเป็นฉันที่เฝ้ามองเธอ คอยหาเรื่องทำยังไงก็ได้ให้ได้อยู่ใกล้ๆเธอ
ถึงเธอจะไม่เคยหันมามองเลยก็เถอะและแม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้วแต่ฉันก็ยังคงจำได้เสมอ
ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันอยู่ม.ห้า เธออยู่ม.สี่ แถวเราไม่ได้ใกล้กันมีห้องสุดท้ายของชั้นม.สี่กั้นไว้
แต่ฉันก็ยังเลือกที่จะคอยเข้าแถวด้านหลังสุดเพื่อให้อยู่ใกล้เธอที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงบางครั้งเธอเองจะไม่มาเรียน
ฉันก็ยังคอยมองหาก็เธอเป็นนักกีฬาโรงเรียนแถมยังแอบดื้ออีกนี่นะเราก็เลยได้เจอกันบ้างไม่เจอบ้าง
แม้ห้องเรียนของเธอนั้นจะอยู่คนล่ะตึกแต่ฉันก็ยังคอยไปเดินวนเวียน มองข้ามไปเพื่อให้ได้เห็น
แม้จะแค่แวบเดียวก็เถอะ แต่ฉันก็ยังคงคิดอยู่ดีว่าเธอนั้นคงไม่สำคัญอะไรก็แค่คนที่ฉันแอบชอบเหมือนๆกับคนอื่นๆ
พอฉันขึ้นม.หกเราได้ย้ายตึกเรียนมาอยู่ชั้นเดียวกันตึกเดียวกันฉันแอบลิงโลดในใจ จากนั้นก็หาเรื่องเดินผ่านไปทุกวัน
วันละ สาม สี่ ห้า รอบเท่าที่ตัวฉันจะหาข้ออ้างเดินไปได้ เลือกนั่งเรียนข้างประตูแม้มันจะทำให้ตัวฉันเรียนไม่รู้เรื่องบ้างเป็นบางที
แล้วในทันทีที่พักเบรคหรือเปลี่ยนวิชาฉันก็จะทำเหมือนเดิมด้วยการมองออกมาบางทีถึงขั้นลากเก้าอี้ออกมานั่งหน้าห้อง
ทั้งที่มันไม่มีเหตุผลที่จะทำอย่างนั้นเลยสักนิด เดินตามไปส่งเพื่อนที่หน้าโรงเรียนทุกวันแม้จะมีกฎห้ามออกไป
แต่ช่วยไม่ได้สำหรับฉันแล้วแค่แวบนึงที่ได้เห็นเธอก็มีความสุขแล้ว สักพักฉันเริ่มรู้สึกเหมือนในทุกครั้งที่ฉันมองออกมาจากห้อง
ฉันจะเจอเธอบางครั้งเธอก็นั่งเหม่อไปด้านนอก บางครั้งก็นั่งเล่นกับเพื่อน ก็มีบ้างที่ฉันต้องเดินผ่านตอนเธอนั่งอยู่เธอไม่รู้หรอกว่า
ตอนนั้นฉันตื่นเต้นมากมายขนาดไหนทำเป็นไม่สนใจทั้งที่ใจจดจ่ออยู่กับเธอเลยนั่นแหละ เหมือนเพื่อนเธอจะรู้นะ
เพราะทุกครั้งที่เดินผ่านไปเค้าจะหันมาดูจนบางทีถึงกับเอ่ยปากแซว
แต่ฉันก็ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองให้มากไปเหตุผลหลักๆก็คือ ฉันเองดันมีแฟนแล้วและไม่อยากให้เธอมาทำลายความสัมพันธ์ของเรา
ฉันเลยเลือกที่จะไม่ใส่ใจแล้วแอบชอบเธอแบบสนุกๆไปวันๆก็พอแล้ว มีครั้งนึงที่เพื่อนฉันถามว่า ชอบเธอจริงจังเลยเหรอ
ฉันกลับบอกไปว่า ฉันจะไม่เอาคนที่ไม่รู้จักมาทำลายความสัมพันธ์ดีๆของฉันหรอก เมื่อได้กลับมานั่งคิดดูฉันว่า
นั่นเป็นสิ่งที่ฉันคิดผิดที่สุดในชีวิตแล้วล่ะ
แล้ววันนึงสิ่งที่เคยเป็นมาก็เปลี่ยนไป ตอนช่วงงานกีฬาสีเราเปลี่ยนการแบ่งสีแบบใหม่ที่แบ่งความรับผิดชอบกันเป็นห้อง
ซึ่งแน่นอนว่าในนั้นต้องมีแฟนฉันอยู่แล้ว เรื่องคือเราเล่นกันจนเหงื่อท่วมสุดท้ายฉันก็เอาผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดให้แฟน หลังจากวันนั้นมา
ฉันกลับพบว่าเธอไม่เหมือนเดิมคล้ายๆว่าจะหลบหน้าทั้งๆที่เราก็ไม่เคยได้รู้จักกันอยู่แล้วแต่ทำไมถึงได้รู้สึกอย่างนั้นก็ไม่รู้สิ
เธอไม่ออกมาที่ระเบียงหรือถ้ามาแล้วฉันเดินไปเธอจะหลบเข้าห้อง เคยมีครั้งนึงที่เธอกำลังจะเดินออกมาแต่ฉันเดินมาซะก่อน
เพื่อนเธอเลยบอกให้เธอหลบไป พอกลับมาเล่าให้เพื่อนฉันฟังเค้าบอกฉันว่าสงสัยเธอจะกลัวฉันแน่ๆพร้อมกับหัวเราะ
ฉันเลยหัวเราะผสมโรงเพื่อกลบเกลื่อนแต่ในใจกลับรู้สึกว่าไม่น่าทำแบบนั้นเลย ฉันพลาดเป็นครั้งที่สองแล้วล่ะ
พอจบม.หกเข้ามหาวิทยาลัยฉันก็ไม่เคยได้รับรู้ข่าวสารอะไรของเธออีกเลย มีเพียงครั้งเดียวตอนที่น้องที่สนิทกับฉัน
ซึ่งก็เป็นเพื่อนร่วมห้องเธอนั่นแหละ มาสอบสัมภาษณ์โควต้าที่ม.แล้วก็มาเล่าเรื่องเธอให้ฉันฟังแบบไม่ได้ร้องขอ ฉันดีใจจนเนื้อเต้น
แอบเนียนถามเหมือนไม่ได้ใส่ใจพร้อมกับสงสัยนิดๆทำไมอยู่ดีๆถึงมาเล่าให้ฉันฟังได้นะแต่ก็ดีแล้วล่ะฉันเองก็ไม่อยากมีพิรุธ
เวลาผ่านไปจนถึงจุดที่ฉันไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับการรับน้องอีกแล้วก็คือมีเวลาว่างนั่นแหละ ฉันกลับนึกถึงเธอขึ้นมาได้
ฉันเฝ้าเพียรค้นหารูป ที่อยู่ วันเกิด ข้อมูลใดๆก็ตามของเธอในอินเทอร์เน็ต ทั้งในเฟซบุ๊คของเพื่อนๆเธอและในกูเกิล
เผื่อว่าฉันจะเจออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเธอบ้างแต่ก็ไม่มีเลยทำไมกันนะ ฉันรู้สึกเหมือนติดจมอยู่กับอดีตที่ไม่อาจหวนคืนมา
แถมยังไปนอนฝันถึงเธออีกแน่ะ พอโทรไปหาเพื่อนเก่าคนนั้นเพื่อนฉันบอกว่าเจอเธอมาของที่บ้าน
มันยิ่งทำฉันอยากเจอเธอมากขึ้นไปอีก
หกปีนับจากครั้งแรกที่ฉันเริ่มสนใจเธอ พอฉันใกล้จบปีสี่หลายๆอย่างเปลี่ยนไป ฉันเลิกกับแฟนคนนั้นและมันทำให้ฉันได้พบว่า
สิ่งที่ฉันคิดตอนอยู่ม.ปลายนั้นมันคือสิ่งที่ผิดพลาดแม้มันจะเป็นเรื่องดีที่ฉันรักเดียวใจเดียวก็เถอะ แต่ฉันก็อยากย้อนเวลากลับไป
เลิกกับแฟนแล้วไปตามจีบเธอจัง มันคงเป็นทอร์คออฟเดอะทาวน์แน่ๆถ้าเราได้คบกันเพราะรุ่นเราไม่ค่อยถูกกันสักเท่าไหร่นี่นะ
แต่ตราบใดที่ยังย้อนเวลาไม่ได้ฉันเองก็ได้แต่นั่งฝันหวานเท่านั้นแหละ
แล้ววันดีคืนดีรูปเธอก็ขึ้นมาอยู่บนหน้าเฟซบุ๊คจากงานบวชของเพื่อนเธอที่อาจารย์ถ่ายมา ฉันนั่งมองแล้วนั่งยิ้มเพ้อบ้าอยู่คนเดียว
ทั้งๆที่รูปนั้นก็ไม่ชัดแถมเห็นเธอแค่หน้าครึ่งบนด้วยซ้ำ แต่ฉันก็จำได้ พร้อมกับรู้สึกว่าได้เดินเข้าใกล้เธออีกหน่อยนึง
หลังจากที่พยายามมานาน พอถึงช่วงปิดเทอมฉันว่างๆก็นั่งเล่นอินเทอร์เน็ตไปตามประสาอยู่ดีๆรูปเธอก็โผล่มาอีกครั้ง
ฉันแทบกรี๊ดพร้อมกับลุกขึ้นเต้นก็มันเป็นรูปที่เธอถ่ายตอนม.หกกับเพื่อนๆแล้วก็เห็นเธอเต็มๆเลยนะสิ ฉันก็อปปี้รูปนั้นมา
พร้อมกับเอาไปตัดให้เหลือแค่เธอคนเดียว หลังจากพยายามมาสามสี่ปีฉันก็เจอสักทีแม้จะเป็นแค่สิ่งเล็กๆน้อยๆก็เถอะ
ฉันดีใจเพ้อบ้าบอไปอีกเป็นวันจนต้องมานั่งเขียนจดหมายนี้ขึ้นมา แต่มันดูเป็นจดหมายที่ไม่มีจุดหมายเอาซะเลย
เพราะไม่รู้ว่าเราจะได้พบกันเมื่อไหร่หรือจะได้พบกันอีกมั้ย ความรู้สึกมันวนกลับไปจุดเดิมอีกครั้งแล้วสิ
ได้แต่ภาวนาให้วันนึงเราสองคนได้พบกันจริงๆสักที”
บางทีคนเรามันก็มีอารมณ์เสียดายจนเพ้อเจ้อและนี่คือผลผลิตของอารมณ์นั้น บวกกับความเหงา
คิดถึงสมัยม.ปลายที่อะไรๆก็สนุกไปซะหมด
ถึงเธอ...(ที่รัก)
“ฉันไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างเรามันเริ่มต้นที่ตรงไหน รู้ตัวอีกทีเธอก็กลายเป็นสิ่งที่ฉันเฝ้าโหยหา คอยมอง คอยจ้อง คอยใส่ใจ
ถึงมันจะเป็นแบบลับๆก็เถอะนะ มันอาจจะเริ่มมาจากเพื่อนเธอก็ได้ บัดดี้หรือคู่หูหรือเพื่อนสนิทหรืออะไรก็ตามแล้วแต่ที่เธอจะเรียก
เพื่อนเธอเป็นน้องชายของเพื่อนพี่ฉันแล้วฉันก็คอยเฝ้าดูเค้าเพียงเพราะการรู้จักกันในรูปแบบแปลกๆนี้ จากนั้นมันก็ลามไปที่ตัวเธอ
เจอเพื่อนเธอทีไรฉันก็จะเห็นเธอเสมอสุดท้ายกลายเป็นฉันที่เฝ้ามองเธอ คอยหาเรื่องทำยังไงก็ได้ให้ได้อยู่ใกล้ๆเธอ
ถึงเธอจะไม่เคยหันมามองเลยก็เถอะและแม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้วแต่ฉันก็ยังคงจำได้เสมอ
ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันอยู่ม.ห้า เธออยู่ม.สี่ แถวเราไม่ได้ใกล้กันมีห้องสุดท้ายของชั้นม.สี่กั้นไว้
แต่ฉันก็ยังเลือกที่จะคอยเข้าแถวด้านหลังสุดเพื่อให้อยู่ใกล้เธอที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงบางครั้งเธอเองจะไม่มาเรียน
ฉันก็ยังคอยมองหาก็เธอเป็นนักกีฬาโรงเรียนแถมยังแอบดื้ออีกนี่นะเราก็เลยได้เจอกันบ้างไม่เจอบ้าง
แม้ห้องเรียนของเธอนั้นจะอยู่คนล่ะตึกแต่ฉันก็ยังคอยไปเดินวนเวียน มองข้ามไปเพื่อให้ได้เห็น
แม้จะแค่แวบเดียวก็เถอะ แต่ฉันก็ยังคงคิดอยู่ดีว่าเธอนั้นคงไม่สำคัญอะไรก็แค่คนที่ฉันแอบชอบเหมือนๆกับคนอื่นๆ
พอฉันขึ้นม.หกเราได้ย้ายตึกเรียนมาอยู่ชั้นเดียวกันตึกเดียวกันฉันแอบลิงโลดในใจ จากนั้นก็หาเรื่องเดินผ่านไปทุกวัน
วันละ สาม สี่ ห้า รอบเท่าที่ตัวฉันจะหาข้ออ้างเดินไปได้ เลือกนั่งเรียนข้างประตูแม้มันจะทำให้ตัวฉันเรียนไม่รู้เรื่องบ้างเป็นบางที
แล้วในทันทีที่พักเบรคหรือเปลี่ยนวิชาฉันก็จะทำเหมือนเดิมด้วยการมองออกมาบางทีถึงขั้นลากเก้าอี้ออกมานั่งหน้าห้อง
ทั้งที่มันไม่มีเหตุผลที่จะทำอย่างนั้นเลยสักนิด เดินตามไปส่งเพื่อนที่หน้าโรงเรียนทุกวันแม้จะมีกฎห้ามออกไป
แต่ช่วยไม่ได้สำหรับฉันแล้วแค่แวบนึงที่ได้เห็นเธอก็มีความสุขแล้ว สักพักฉันเริ่มรู้สึกเหมือนในทุกครั้งที่ฉันมองออกมาจากห้อง
ฉันจะเจอเธอบางครั้งเธอก็นั่งเหม่อไปด้านนอก บางครั้งก็นั่งเล่นกับเพื่อน ก็มีบ้างที่ฉันต้องเดินผ่านตอนเธอนั่งอยู่เธอไม่รู้หรอกว่า
ตอนนั้นฉันตื่นเต้นมากมายขนาดไหนทำเป็นไม่สนใจทั้งที่ใจจดจ่ออยู่กับเธอเลยนั่นแหละ เหมือนเพื่อนเธอจะรู้นะ
เพราะทุกครั้งที่เดินผ่านไปเค้าจะหันมาดูจนบางทีถึงกับเอ่ยปากแซว
แต่ฉันก็ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองให้มากไปเหตุผลหลักๆก็คือ ฉันเองดันมีแฟนแล้วและไม่อยากให้เธอมาทำลายความสัมพันธ์ของเรา
ฉันเลยเลือกที่จะไม่ใส่ใจแล้วแอบชอบเธอแบบสนุกๆไปวันๆก็พอแล้ว มีครั้งนึงที่เพื่อนฉันถามว่า ชอบเธอจริงจังเลยเหรอ
ฉันกลับบอกไปว่า ฉันจะไม่เอาคนที่ไม่รู้จักมาทำลายความสัมพันธ์ดีๆของฉันหรอก เมื่อได้กลับมานั่งคิดดูฉันว่า
นั่นเป็นสิ่งที่ฉันคิดผิดที่สุดในชีวิตแล้วล่ะ
แล้ววันนึงสิ่งที่เคยเป็นมาก็เปลี่ยนไป ตอนช่วงงานกีฬาสีเราเปลี่ยนการแบ่งสีแบบใหม่ที่แบ่งความรับผิดชอบกันเป็นห้อง
ซึ่งแน่นอนว่าในนั้นต้องมีแฟนฉันอยู่แล้ว เรื่องคือเราเล่นกันจนเหงื่อท่วมสุดท้ายฉันก็เอาผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดให้แฟน หลังจากวันนั้นมา
ฉันกลับพบว่าเธอไม่เหมือนเดิมคล้ายๆว่าจะหลบหน้าทั้งๆที่เราก็ไม่เคยได้รู้จักกันอยู่แล้วแต่ทำไมถึงได้รู้สึกอย่างนั้นก็ไม่รู้สิ
เธอไม่ออกมาที่ระเบียงหรือถ้ามาแล้วฉันเดินไปเธอจะหลบเข้าห้อง เคยมีครั้งนึงที่เธอกำลังจะเดินออกมาแต่ฉันเดินมาซะก่อน
เพื่อนเธอเลยบอกให้เธอหลบไป พอกลับมาเล่าให้เพื่อนฉันฟังเค้าบอกฉันว่าสงสัยเธอจะกลัวฉันแน่ๆพร้อมกับหัวเราะ
ฉันเลยหัวเราะผสมโรงเพื่อกลบเกลื่อนแต่ในใจกลับรู้สึกว่าไม่น่าทำแบบนั้นเลย ฉันพลาดเป็นครั้งที่สองแล้วล่ะ
พอจบม.หกเข้ามหาวิทยาลัยฉันก็ไม่เคยได้รับรู้ข่าวสารอะไรของเธออีกเลย มีเพียงครั้งเดียวตอนที่น้องที่สนิทกับฉัน
ซึ่งก็เป็นเพื่อนร่วมห้องเธอนั่นแหละ มาสอบสัมภาษณ์โควต้าที่ม.แล้วก็มาเล่าเรื่องเธอให้ฉันฟังแบบไม่ได้ร้องขอ ฉันดีใจจนเนื้อเต้น
แอบเนียนถามเหมือนไม่ได้ใส่ใจพร้อมกับสงสัยนิดๆทำไมอยู่ดีๆถึงมาเล่าให้ฉันฟังได้นะแต่ก็ดีแล้วล่ะฉันเองก็ไม่อยากมีพิรุธ
เวลาผ่านไปจนถึงจุดที่ฉันไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับการรับน้องอีกแล้วก็คือมีเวลาว่างนั่นแหละ ฉันกลับนึกถึงเธอขึ้นมาได้
ฉันเฝ้าเพียรค้นหารูป ที่อยู่ วันเกิด ข้อมูลใดๆก็ตามของเธอในอินเทอร์เน็ต ทั้งในเฟซบุ๊คของเพื่อนๆเธอและในกูเกิล
เผื่อว่าฉันจะเจออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเธอบ้างแต่ก็ไม่มีเลยทำไมกันนะ ฉันรู้สึกเหมือนติดจมอยู่กับอดีตที่ไม่อาจหวนคืนมา
แถมยังไปนอนฝันถึงเธออีกแน่ะ พอโทรไปหาเพื่อนเก่าคนนั้นเพื่อนฉันบอกว่าเจอเธอมาของที่บ้าน
มันยิ่งทำฉันอยากเจอเธอมากขึ้นไปอีก
หกปีนับจากครั้งแรกที่ฉันเริ่มสนใจเธอ พอฉันใกล้จบปีสี่หลายๆอย่างเปลี่ยนไป ฉันเลิกกับแฟนคนนั้นและมันทำให้ฉันได้พบว่า
สิ่งที่ฉันคิดตอนอยู่ม.ปลายนั้นมันคือสิ่งที่ผิดพลาดแม้มันจะเป็นเรื่องดีที่ฉันรักเดียวใจเดียวก็เถอะ แต่ฉันก็อยากย้อนเวลากลับไป
เลิกกับแฟนแล้วไปตามจีบเธอจัง มันคงเป็นทอร์คออฟเดอะทาวน์แน่ๆถ้าเราได้คบกันเพราะรุ่นเราไม่ค่อยถูกกันสักเท่าไหร่นี่นะ
แต่ตราบใดที่ยังย้อนเวลาไม่ได้ฉันเองก็ได้แต่นั่งฝันหวานเท่านั้นแหละ
แล้ววันดีคืนดีรูปเธอก็ขึ้นมาอยู่บนหน้าเฟซบุ๊คจากงานบวชของเพื่อนเธอที่อาจารย์ถ่ายมา ฉันนั่งมองแล้วนั่งยิ้มเพ้อบ้าอยู่คนเดียว
ทั้งๆที่รูปนั้นก็ไม่ชัดแถมเห็นเธอแค่หน้าครึ่งบนด้วยซ้ำ แต่ฉันก็จำได้ พร้อมกับรู้สึกว่าได้เดินเข้าใกล้เธออีกหน่อยนึง
หลังจากที่พยายามมานาน พอถึงช่วงปิดเทอมฉันว่างๆก็นั่งเล่นอินเทอร์เน็ตไปตามประสาอยู่ดีๆรูปเธอก็โผล่มาอีกครั้ง
ฉันแทบกรี๊ดพร้อมกับลุกขึ้นเต้นก็มันเป็นรูปที่เธอถ่ายตอนม.หกกับเพื่อนๆแล้วก็เห็นเธอเต็มๆเลยนะสิ ฉันก็อปปี้รูปนั้นมา
พร้อมกับเอาไปตัดให้เหลือแค่เธอคนเดียว หลังจากพยายามมาสามสี่ปีฉันก็เจอสักทีแม้จะเป็นแค่สิ่งเล็กๆน้อยๆก็เถอะ
ฉันดีใจเพ้อบ้าบอไปอีกเป็นวันจนต้องมานั่งเขียนจดหมายนี้ขึ้นมา แต่มันดูเป็นจดหมายที่ไม่มีจุดหมายเอาซะเลย
เพราะไม่รู้ว่าเราจะได้พบกันเมื่อไหร่หรือจะได้พบกันอีกมั้ย ความรู้สึกมันวนกลับไปจุดเดิมอีกครั้งแล้วสิ
ได้แต่ภาวนาให้วันนึงเราสองคนได้พบกันจริงๆสักที”
บางทีคนเรามันก็มีอารมณ์เสียดายจนเพ้อเจ้อและนี่คือผลผลิตของอารมณ์นั้น บวกกับความเหงา
คิดถึงสมัยม.ปลายที่อะไรๆก็สนุกไปซะหมด