จรัญ ภักดีธนากุล ยุติธรรม หรือขี้โกง

กระทู้สนทนา
จรัญ ภักดีธนากุลยุติธรรมหรือขี้โกง.....อ่านบทความของ ประดาบ



จรัญ ภักดีธนากุล มีสถานะตุลาการชั้นผู้ใหญ่ที่มีสัญญลักษณ์ตราชั่งอันแสดงถึงความสถิตย์ ยุติธรรม แต่ใครจะรู้ว่าหลังบ้านนั้นกลับมีพฤติกรรม ขี้โกง เป็นกมลสันดาน ทั้งโกงเงิน โกงที่ดินคนใกล้ชิดที่นับหน้าถือตากันมานาน

นายจรัญ ภักดีธนากุลซึ่งคลุกคลีอยู่ในแวดวงกระบวนการศาลสถิตยุติธรรม รับราชการตุลาการ เกินครึ่งชีวิตก่อนจะก็ได้รับการขอโอนย้ายจากข้าราชการตุลาการ ในตำแหน่งสุดท้ายคือเลขาธิการประธานศาลฎีกา สำนักงานประธานศาลฎีกาไปเป็นข้าราชการพลเรือนในตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549

การคลุกคลีในตำแหน่งข้าราชการตุลาการเกินครึ่งชีวิตย่อมจะเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนเป็นอย่างดีในการผดุงความยุติธรรม

ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เคยพระราชทานพระราชดำรัส แก่ผู้พิพากษา ประจำสำนักงานศาลยุติธรรม เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ ท้องพระโรง ศาลาเริง วังไกลกังวล อ.หัวหินจ.ประจวบคีรีขันธ์ วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 (ฉบับไม่เป็นทางการ)

มีใจความตอนหนึ่งว่า........ ความยุติธรรมนี้คือการปฏิบัติอะไรที่ถูกต้องตามธรรม คือยุติธรรม ถ้าฟังดูก็ยุติในธรรมยุติในความดีความชอบ ท่านก็รักษาความยุติธรรม ท่านต้องรักษาความดีความชอบผู้พิพากษาจะต้องรักษาความยุติธรรมด้วยความดี ความถูกต้อง ถ้าท่านรักษาความยุติธรรมตามที่ได้ปฏิญาณตน เชื่อว่าความสุขความสงบก็จะเกิดขึ้นถ้าผู้พิพากษาไม่รักษาความยุติธรรมเมื่อใดประเทศชาติคงวุ่นวาย........

แต่นายจรัญ ภักดีธนากุลคงจะไม่เคยถ่ายทอดแนวทางตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่นายจรัญภักดีธนากุล ได้รับ ไปถึงคนในครอบครัว โดยเฉพาะภรรยาที่ชื่อนางทีปสุรางค์ ภักดีธนากุลและแม่ยายที่ชื่อนางจินดาสุนทรพันธ์

เพราะหาก นายจรัญ ภักดีธนากุลถ่ายทอดแนวทางตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้กับภรรยาและแม่ยายเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับคดี โกงที่ดินคนใกล้ชิดที่นับหน้าถือตากันมานานคงไม่เกิดขึ้นและคงไม่คิดเบียดบังทรัพย์สินคนอื่นมาเป็นของตน

และในกรณีโกงที่ดินทำให้สาธารณะชนได้รับรู้อีกว่า พฤติกรรมขี้โกงของนางทีปสุรางค์ ภักดีธนากุลไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกรณีนี้กรณีเดียว เพราะในคำฟ้องคดีดังกล่าวยังได้แฉพฤติกรรมให้สาธารณะชนได้รับรู้ ถึงความเป็นคนขี้โกงของนางทีปสุรางค์โดยข้อความในคำฟ้องระบุตอนหนึ่งว่า

......นางทีปสุรางค์มีพฤติกรรมที่น่าสงสัย เนื่องจากเคยยืมเงินพันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิช จำนวน 2 ล้านบาทแล้วไม่ยอมชดใช้........

เรื่องอื้อฉาวคดีฟ้องร้องโกงที่ดินสืบเนื่องจากนางทีปสุรางค์ และมารดาร่วมกันสมคบคิด โกงที่ดินของพันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิชและนางสาวสุภา วงศ์เสนา ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินร่วมกัน ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 20550 และโฉนดที่ดินเลขที่ 23716 -23765 รวม 51 แปลง ที่ตำบลควนลัง อำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา ซึ่งมีเนื้อรวมกันที่ประมาณ 22 ไร่เศษ

ทำให้พันตรีหญิงสินเสริมเลขะวนิช และนางสาวสุภา วงศ์เสนา ตัดสินใจร่วมกันเป็นโจทย์ยื่นฟ้องแพ่งนางทีปสุรางค์ ภักดีธนากุล เป็นจำเลยที่ 1 และนางจินดา สุนทรพันธ์ซึ่งเป็นมารดาของนางทีปสุรางค์ เป็นจำเลยที่ 2 ในปี 2540 ที่ศาลจังหวัดสงขลาโดยเป็นคดีหมายเลขดำที่ 2715/2540 คดีหมายเลขแดงที่ 993/2547 เกี่ยวกับเรื่องที่ดินเพิกถอนนิติกรรม เรียกทรัพย์คืน

ในคำฟ้องของ พันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิชและนางสาวสุภา วงศ์เสนา ระบุว่า ได้ทำหนังสือมอบอำนาจด้วยการลงลายมือชื่อในช่องมอบอำนาจ แต่ไม่ได้กรอกข้อความ จำนวน 15 ฉบับเพื่อให้นางทีปสุรางค์ ไปดำเนินการที่สำนักงานที่ดิน จังหวัดสงขลา สาขาหาดใหญ่เพื่อรวมโฉนดที่ดินทั้ง 51 แปลง เป็นแปลงเดียว แล้วแบ่งเป็นแปลงย่อย ไม่เกินแปลงละ 50 ตารางวา เพื่อนำออกขายแก่บุคคลทั่วไป

แต่ต่อมาประมาณเดือนพฤษภาคม 2540 ทราบว่านางทีปสุรางค์ ไม่ได้รวม และแบ่งแยกโฉนดตามที่ได้มอบหมายให้ไปดำเนินการแต่กลับสบคบกับนางจินดา สุนทรพันธ์ซึ่งเป็นมารดาของนางทีปสุรางค์ นำหนังสือมอบอำนาจที่ได้ลงลายมือไว้ให้ไปกรอกข้อความจดทะเบียนโอนที่ดินเป็นของนางทีปสุรางค์และมารดาเสียเอง

หลังจากนั้น นางทีปสุรางค์และมารดา ได้นำที่ดินไปและได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินบางส่วนให้กับบุคคลภายนอก

พฤติกรรมเยี่ยงนี้ถือเป็นการโกงซึ่งหน้าเพราะพันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิชและนางสาวสุภา วงศ์เสนามอบหมายให้นางทีปสุรางค์เป็นตัวแทนในการดำเนินการรวมโฉนดที่ดินแล้วแบ่งแยกใหม่โดยมีจุดประสงค์เพื่อขายที่ดินที่แบ่งแยกแล้วให้บุคคลอื่น ไม่เคยให้นางทีปสุรางค์นำที่ดินออกขายและไม่เคยให้ดำเนินการพัฒนาที่ดินแต่อย่างใด

ที่สำคัญในคำฟ้อง ระบุว่า พันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิช และนางสาวสุภา วงศ์เสนาไม่ได้ขายที่ดินให้กับนางทีปสุรางค์และมารดาตามที่ทั้งสองให้การต่อศาลว่าซื้อมาในราคา 4 ล้านบาทและไม่เคยได้รับเงินค่าที่ดินจากนางทีปสุรางค์และมารดาแม้แต่บาทเดียว

พันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิช และนางสาวสุภา วงศ์เสนาจึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาให้ดำเนินคดีกับนางทีปสุรางค์และมารดาในข้อหาร่วมกันปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอม และได้แจ้งอายัดที่สำนักงานที่ดินจังหวัดสงขลาสาขาหาดใหญ่

เพราะการกรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต ซึ่งถือเป็นการร่วมกันปลอมแปลงเอกสารหนังสือมอบอำนาจจึงถือเป็นเอกสารปลอม จะนำไปใช้จดทะเบียนทำนิติกรรมใดๆ ไม่ได้

ดังนั้นการที่นางทีปสุรางค์และมารดา นำที่ดินไปจดทะเบียนโอนขาย จึงถือเป็นโมฆะ

ในคำฟ้องระบุให้นางทีปสุรางค์และมารดา เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมโอนขายที่ดินตามหนังสือมอบอำนาจที่กรอกข้อความจดทะเบียนโอนที่ดินเป็นของนางทีปสุรางค์และมารดาและให้จดทะเบียนโอนที่ดินคืนกลับมา

หากไม่สามาถโอนคืนนางทีปสุรางค์และมารดาร่วมกันชำระเงินค่าที่ดินจำนวน 45 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี จากเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง

ในคำฟ้องยังระบุถึงสำหรับสาเหตุที่พันตรีหญิงสินเสริมเลขะวนิช และนางสาวสุภา วงศ์เสนา มอบหมายให้นางทีปสุรางค์ไปดำเนินการรวมโฉนดที่ดินแล้วแบ่งเป็นแปลงย่อย เนื่องจากนางสาวสุภา วงศ์เสนาเป็นเพื่อนสนิทของนายยิ่งยง สุนทรพันธ์ ซึ่งเป็นสามีของนางจินดา สุนทรพันธ์และไปมาหาสู่กับครอบครัวของนายยิ่งพันธ์มาโดยตลอด ทำให้สนิทสนมกับนางทีปสุรางค์โดยรักและเอ็นดูเหมือนบุตรหลาน

ระหว่างปี 2537 พันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิชล้มป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน มือเท้าสั่นและอ่อนแรง ส่วนนางสาวสุภา วงศ์เสนาเส้นเลือดฝอยในสมองแตกร่างกายเป็นอัมพฤกษ์ ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล นายยิ่งยงจึงให้นางทีปสุรางค์ซึ่งเป็นลูกสาวมาเยี่ยมและดูแลไข้

และด้วยสถานะของนางทีปสุรางค์ซึ่งเป็นลูกของเพื่อน และที่สำคัญเป็นภริยาของตุลาการชั้นผู้ใหญ่ซึ่งก็คือนายจรัล ภักดีธนากุลขณะนั้นมีตำแหน่งเลขาธิการประธานศาลฎีกา สำนักงานประธานศาลฎีกา ทำให้พันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิชและนางสาวสุภา วงศ์เสนา เชื่อมั่นและไว้วางใจ มากยิ่งขึ้น ในการมอบหมายไว้วานให้ดำเนินการในเรื่องอื่นๆรวมถึงรวมโฉนดที่ดินแล้วแบ่งเป็นแปลงย่อยจนนำไปสู่การฟ้องร้อง

ซึ่งหากพิจารณาจากพฤติการณ์เป็นการใช้กลฉ้อฉลโดยอาศัยความสับสน ซึ่งสติสัมปชัญญะพันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิช และนางสาวสุภาวงศ์เสนา ในยามที่เจ็บป่วยให้ลงชื่อไว้

อย่างไรก็ตามในการฟ้องร้องดังกล่าว นางทีปสุรางค์และมารดา ได้ฟ้องแย้งโดยระบุว่า การโอนกรรมสิทธิ์ทั้ง 51 แปลงเป็นการโอนโดยถูกต้องตามเจตนาของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจปลอมที่ดินทั้งหมดจึงเป็นของนางทีปสุรางค์และมารดาหลังจากซื้อที่ดินจากพันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิช และนางสาวสุภา วงศ์เสนา ในราคา 4 ล้านบาท ก็ได้ลงทุนพัฒนาที่ดิน จนทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้นมีมูลค่าในการซื้อขายประมาณ 85 ล้านบาท

ซึ่งหากขายที่ดินได้ทั้งหมดจะได้เงินไม่น้อยกว่า 120 ล้านบาท หักต้นทุนและค่าใช้จ่ายแล้วนางทีปสุรางค์และมารดา จะมีกำไรไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท

นอกจากนี้พันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิช และนางสาวสุภา วงศ์เสนา ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดตั้งแต่ปี 2538 แต่มาฟ้องคดีเมื่อปี 2540 เกิน 3 ปีดังนั้นคำฟ้องจึงขาดอายุความ

ดังนั้นการที่พันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิชและนางสาวสุภา วงศ์เสนา อายัดที่ดินที่สำนักงานที่ดิน ทำให้ได้รับความเสียหายเนื่องจากมีผู้ซื้อที่ดินและได้รำระราคาให้บางส่วนแล้วแต่เมื่อไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ทำให้นางทีปสุรางค์และมารดาขาดประโยชน์อันพึงได้รับจากการขายที่ดิน กล่าวคือได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินบางส่วนให้กับบุคคลภายนอกแล้วคิดเป็นราคาที่ดินทั้งสิ้น 34.8 ล้านบาท

ในคำฟ้องแย้งของนางทีปสุรางค์และมารดา ได้ขอเรียกค่าเสียหาย ให้พันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิชและนางสาวสุภา วงศ์เสนา ชดใช้ค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์อันพึงได้เป็นเงิน 30 ล้านบาท และเรียกค่าเสียหายจากการอายัดที่ดินทำให้เสียชื่อเสียงและเสียความน่าเชื่อถือ 20 ล้านบาทและให้ชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแย้งเป็นเงิน 94.39 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามพันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิช และนางสาวสุภา วงศ์เสนาได้เสียชีวิตลงในระหว่างการฟ้องร้อง นางกัลยาณี รุทระกาญจน์จึงเป็นผู้เข้ารับมรดกแทนพันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิช และมูลนิธิสินเสริมธรรมเข้ารับมรดกแทนนางสาวสุภา วงศ์เสนา

ทั้งนี้ ในการพิจารณาคำฟ้องดังกล่าวศาลได้กำหนดประเด็นข้อพิพาท ไว้ 6 ประเด็นประกอบด้วย

1.คำฟ้องแย้งเคลือบคลุมหรือไม่
2.การกรอกข้อความลงในแบบพิมพ์ใบมอบอำนาจฝ่าฝืนต่อเจตนาหรือไม่
3.พันตรีหญิงสินเสริมเลขะวนิช และนางสาวสุภา วงศ์เสนาได้รับความเสียหายเพียงไร
4.คำฟ้องขาดอายุความหรือไม่
5.การอายัดที่ดินที่พิพาทเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตหรือไม่
6.นางทีปสุรางค์และมารดาได้รับความเสียหายเพียงใด

ทั้งนี้ภายหลังการนำสืบพยานโดยศาลจังหวัดสงขลา ได้มีการพิพากษาเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2547 ได้วินิจฉัยว่านางทีปสุรางค์กรอกข้อความลงในแบบพิมพ์ใบมอบอำนาจฝ่าฝืนเจตนาของพันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิชและนางสาวสุภา วงศ์เสนา จริง ดังนั้นนิติกรรมการโอนที่ดินมาเป็นของนางทีปสุรางค์จึงเกิดขึ้นจากการฉ้อฉล โดยเจตนาทุจริตและ พันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิชและนางสาวสุภา วงศ์เสนา มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยนิติกรรมการโอนดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะและต้องถือเสมือนว่ามิได้มีนิติกรรมการโอนเกิดขึ้น

ศาลจึงพิพากษา ให้นางทีปสุรางค์และมารดาจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมโอนขายที่ดินตามคำร้องของพันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิชและนางสาวสุภา วงศ์เสนา

แต่ที่ไม่น่าเชื่อ คือ ประเด็นข้อพิพาทในข้อที่ 6 ที่นางทีปสุรางค์และมารดา ได้ดำเนินการถมดินเพื่อพัฒนาซึ่งเท่ากับได้ดัดแปลงหรือต่อเติมทรัพย์สินอันเป็นกรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 418 วรรคแรกซึ่งบัญญัติว่า

ถ้าบุคคลรับทรัพย์สินอันมิควรได้ไว้โดยสุจริตและได้ทำการดัดแปลงหรือต่อเติมขึ้นในทรัพย์สินนั้นท่านว่าบุคคลเช่ชชนั้นต้องจัดทำทรัพย์สินนั้นให้คืนคงสภาพเดิมด้วยค่าใช้จ่ายของตนเอง แล้วจึงส่งคืนเว้นแต่เจ้าของทรัพย์สินจะเลือกให้ส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในกรณีเช่นนี้เจ้าของจะใช้ราคาค่าทำดัดแปลงหรือต่อเติมหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นราคาทรัพย์สินเท่าที่เพิ่มขึ้นนั้นก็ได้แล้วแต่จะเลือก

ซึ่งพันตรีหญิงสินเสริม เลขะวนิช และนางสาวสุภาวงศ์เสนา เลือกที่จะให้นางทีปสุรางค์และมารดาส่งคืนที่ดินตามสภาพที่เป็นอยู่

ศาลจึงวินิจฉัยกรณีที่นางทีปสุรางค์และมารดา ได้มีการเข้าไปลงทุนพัฒนาที่ดินแล้วทำให้ค่าของที่ดินที่พิพาทสูงขึ้นซึ่งการชดใช้เงินตามราคาทรัพย์สินเท่าที่เพิ่มขึ้นตามที่บัญญัติไว้ในประมูลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 418 วรรคแรกนี้ให้ดูมูลค่าของที่ดินดูดีขึ้น

จึงพิพากษาให้ผู้เข้ารับมรดกแทนพันตรีหญิงสินเสริมเลขะวนิช และนางสาวสุภา วงศ์เสนา ร่วมกันชดใช้ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นให้แก่นางทีปสุรางค์และมารดา เป็นเงิน 10 ล้านบาท

การพิพากษาให้นางทีปสุรางค์และมารดาจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมโอนขายที่ดิน และโอนคืนที่ดินให้กับพันตรีหญิงสินเสริมเลขะวนิช และนางสาวสุภาวงศ์เสนา

ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาอย่างเที่ยงธรรมและน่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่