สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 38
อ้าว ทำไมเอาเงินเป็นตัววัดความรัก ความให้เกียรติของคนล่ะคะ
คนที่ไม่ได้ให้เงินทั้งหมดกับภรรยาไม่ได้หมายความว่าไม่รัก หรือไม่ให้เกียรติสักหน่อย
แค่เป็นเรื่องที่คนสองคนทัศนคติ ความคิดไม่ตรงกันเท่านั้น
ตอนนี้คุณยึดมั่นถือมั่นกับความคิด ความเชื่อของคุณ และกำลังดูถูกความรักของแฟนคุณไปหน่อย
ไม่อยากให้คิดว่าอีกฝ่ายต้องออกมากกว่า ต้องดูแลเราได้สิ
แต่คำว่าครอบครัวคือต้องดูแลซึ่งกันและกันสิคะ ไม่ใช่เกี่ยงกัน
ผู้ชายที่ให้เงินทั้งหมดให้ภรรยาดูแลก็น่าชื่นชม แต่คนที่ไม่ได้ให้ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนไม่ดีนี่คะ
ความคิดต่างคนก็ต่างกัน คู่ใครก็คู่นั้น แล้วแต่การตกลงกันแต่ละคู่มากกว่า
คู่เราก็จะแต่งงานปลายปีเหมือนกัน คุยตกลงเรื่องการบริหารครอบครัวกันมาแต่เเรก
แบ่งหน้าที่การทำงานบ้านแล้วด้วย ว่าใครจะทำอะไร ไม่ชอบทำอะไร ^ ^
เราคบกันมาเกือบ 6 ปี อายุก็ห่างกัน ตอนแรกเราเป็นนักศึกษา เค้าทำงานแล้ว
แต่เราบอกเค้าแต่แรกเลยว่าถ้านัดกันห้ามเลี้ยง ต้องให้เราช่วยออก ไม่งั้นเราจะไม่ไปไหนด้วย
อาจเป็นเพราะที่บ้านเลี้ยงมาแบบนี้ ว่าไม่ให้เอาของใคร ก็เป็นอันเข้าใจกัน
เค้าก็ใช้วิธีเลี้ยงเราหรือให้ของขวัญเราตามโอกาสพิเศษ คอยถามว่าเรามีเงินใช้รึเปล่า แต่เราก็ไม่รบกวนเค้าหรอกค่ะ
เรื่องการบริหารการเงินของครอบครัว ที่คุยกันแล้ว คู่เราใช้วิธีออกกองกลา่งค่ะ
ต่างคนก็หักเปอร์เซ็นต์จากเงินเดือนตัวเอง มาลงกองกลางไป
เช่นสมมติจะหัก 30% ของเงินเดือนแต่ละคนมาลงกองกลาง ดังนั้นใครเงินเดือนมากก็ออกมากหน่อย
ใครเงินเดือนน้อยก็ออกน้อย ไม่มีเกี่ยงเพศชายหญิง ว่าใครต้องออกมากกว่าใคร
เงินกองกลางนี้ก็เอามาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน ซึ่งก็โชคดีที่คู่เราไม่ต้องผ่อนบ้านหรือรถ
ต่างคนก็ต่างมีเงินเก็บส่วนตัวของตัวเอง มีอิสระทางการเงิน ถ้าใครคนใดคนนึงขาดอิสระตรงนี้ก็อึดอัดนะคะ
เช่นถ้าเราอยากซื้อของฟุ่มเฟือยส่วนตัวบ้าง อยากไปเที่ยวกะเื่พื่อนบ้าง
แต่ต้องเอาเงินสามีมาใช้ด้วย สามีก็เพ่งเล็ง ตัวเราก็อึดอัด ละอายไม่กล้าใช้
หรือสามีถ้าต้องมาขอเงินภรรยาเพื่อซื้อของไร้สาระซักชิ้น รับรองโดนบ่นกระจาย
อย่างเราเป็นคนเก็บเงินไม่อยู่ด้วย ผิดกับแฟนที่เป็นคนมีระเบียบกับการใช้เงินมาก
เค้าแบ่งสัดส่วนการออม การลงทุนอย่างดี ดังนั้นถ้าให้เราเก็บก็ซวยกันหมด 55
เราอยากมีอิสระในการใช้จ่าย ไม่อยากโดนบ่นโดนใครเพ่งเล็งค่ะ
แบบนี้เราถือว่าเป็นการให้เกียรติกันมากกว่าอีกค่ะ สบายใจด้วย
วิธีนี้เคยลองใช้แล้ว ตอนที่เรากะแฟนไปอยู่ต่างประเทศด้วยกัน ก็ได้ผลดีนะคะ
ถ้าหลังแต่งก็กะว่า ถ้าวันใดมีลูก ก็ให้เราหยุดทำงาน เลี้ยงลูกซักสามสี่ปี เค้าจะดูแลรับผิดชอบเอง
เราก็ถือว่าต่างฝ่ายต่างเสียสละแล้ว เราเสียโอกาสทางการงาน แฟนเองก็ยอมเหนื่อยดูแลครอบครัว
แล้วถ้าวันนึงแฟนเราเค้าป่วย หรือไม่สามารถออกไปทำงานหาเงินมาได้อีกแล้ว
เราก็ต้องสามารถทำงานหาเลี้ยง ดูแลเค้า และครอบครัวได้เช่นกัน
ลองคิดดูว่าที่คุณอยากเป็นคนบริหารเงิน เพราะส่วนหนึ่งคุณอยากควบคุมการใช้จ่ายของเค้ารึเปล่าคะ
อยากรู้ว่าเค้าจะแอบเอาเงินไปใช้อะไรบ้าง ถ้าใช่นั่นแสดงว่าคุณไม่เชื่อมั่นในตัวแฟนคุณเลยค่ะ
เค้าก็อาจจะแอบคิดได้ว่า คุณอยากควบคุมการใช้จ่ายเค้า ก็ไม่ให้เกียรติเค้าได้เหมือนกัน
ลองคิดหลายๆมุมดู อย่าเอาความเป็นผู้หญิงมาต่อรองเลยค่ะ
ผู้หญิงเราสมัยนี้เก่งจะตาย มีโอกาส มีความรู้เท่าผู้ชาย ไม่ได้เหมือนสมัยก่อนสักหน่อย
ที่ผู้หญิงไม่มีความรู้ ไม่มีโอกาสในสังคมเท่าเทียมผู้ชาย ทำงานหาเงินไม่ได้ ถึงต้องรอรับฝ่ายเดียว
ดังนั้นค่านิยมบางอย่างที่ติดมาตั้งแต่โบราณ บางอันก็ใช้ไม่ได้แล้วล่ะค่ะ
คนที่ไม่ได้ให้เงินทั้งหมดกับภรรยาไม่ได้หมายความว่าไม่รัก หรือไม่ให้เกียรติสักหน่อย
แค่เป็นเรื่องที่คนสองคนทัศนคติ ความคิดไม่ตรงกันเท่านั้น
ตอนนี้คุณยึดมั่นถือมั่นกับความคิด ความเชื่อของคุณ และกำลังดูถูกความรักของแฟนคุณไปหน่อย
ไม่อยากให้คิดว่าอีกฝ่ายต้องออกมากกว่า ต้องดูแลเราได้สิ
แต่คำว่าครอบครัวคือต้องดูแลซึ่งกันและกันสิคะ ไม่ใช่เกี่ยงกัน
ผู้ชายที่ให้เงินทั้งหมดให้ภรรยาดูแลก็น่าชื่นชม แต่คนที่ไม่ได้ให้ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนไม่ดีนี่คะ
ความคิดต่างคนก็ต่างกัน คู่ใครก็คู่นั้น แล้วแต่การตกลงกันแต่ละคู่มากกว่า
คู่เราก็จะแต่งงานปลายปีเหมือนกัน คุยตกลงเรื่องการบริหารครอบครัวกันมาแต่เเรก
แบ่งหน้าที่การทำงานบ้านแล้วด้วย ว่าใครจะทำอะไร ไม่ชอบทำอะไร ^ ^
เราคบกันมาเกือบ 6 ปี อายุก็ห่างกัน ตอนแรกเราเป็นนักศึกษา เค้าทำงานแล้ว
แต่เราบอกเค้าแต่แรกเลยว่าถ้านัดกันห้ามเลี้ยง ต้องให้เราช่วยออก ไม่งั้นเราจะไม่ไปไหนด้วย
อาจเป็นเพราะที่บ้านเลี้ยงมาแบบนี้ ว่าไม่ให้เอาของใคร ก็เป็นอันเข้าใจกัน
เค้าก็ใช้วิธีเลี้ยงเราหรือให้ของขวัญเราตามโอกาสพิเศษ คอยถามว่าเรามีเงินใช้รึเปล่า แต่เราก็ไม่รบกวนเค้าหรอกค่ะ
เรื่องการบริหารการเงินของครอบครัว ที่คุยกันแล้ว คู่เราใช้วิธีออกกองกลา่งค่ะ
ต่างคนก็หักเปอร์เซ็นต์จากเงินเดือนตัวเอง มาลงกองกลางไป
เช่นสมมติจะหัก 30% ของเงินเดือนแต่ละคนมาลงกองกลาง ดังนั้นใครเงินเดือนมากก็ออกมากหน่อย
ใครเงินเดือนน้อยก็ออกน้อย ไม่มีเกี่ยงเพศชายหญิง ว่าใครต้องออกมากกว่าใคร
เงินกองกลางนี้ก็เอามาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน ซึ่งก็โชคดีที่คู่เราไม่ต้องผ่อนบ้านหรือรถ
ต่างคนก็ต่างมีเงินเก็บส่วนตัวของตัวเอง มีอิสระทางการเงิน ถ้าใครคนใดคนนึงขาดอิสระตรงนี้ก็อึดอัดนะคะ
เช่นถ้าเราอยากซื้อของฟุ่มเฟือยส่วนตัวบ้าง อยากไปเที่ยวกะเื่พื่อนบ้าง
แต่ต้องเอาเงินสามีมาใช้ด้วย สามีก็เพ่งเล็ง ตัวเราก็อึดอัด ละอายไม่กล้าใช้
หรือสามีถ้าต้องมาขอเงินภรรยาเพื่อซื้อของไร้สาระซักชิ้น รับรองโดนบ่นกระจาย
อย่างเราเป็นคนเก็บเงินไม่อยู่ด้วย ผิดกับแฟนที่เป็นคนมีระเบียบกับการใช้เงินมาก
เค้าแบ่งสัดส่วนการออม การลงทุนอย่างดี ดังนั้นถ้าให้เราเก็บก็ซวยกันหมด 55
เราอยากมีอิสระในการใช้จ่าย ไม่อยากโดนบ่นโดนใครเพ่งเล็งค่ะ
แบบนี้เราถือว่าเป็นการให้เกียรติกันมากกว่าอีกค่ะ สบายใจด้วย
วิธีนี้เคยลองใช้แล้ว ตอนที่เรากะแฟนไปอยู่ต่างประเทศด้วยกัน ก็ได้ผลดีนะคะ
ถ้าหลังแต่งก็กะว่า ถ้าวันใดมีลูก ก็ให้เราหยุดทำงาน เลี้ยงลูกซักสามสี่ปี เค้าจะดูแลรับผิดชอบเอง
เราก็ถือว่าต่างฝ่ายต่างเสียสละแล้ว เราเสียโอกาสทางการงาน แฟนเองก็ยอมเหนื่อยดูแลครอบครัว
แล้วถ้าวันนึงแฟนเราเค้าป่วย หรือไม่สามารถออกไปทำงานหาเงินมาได้อีกแล้ว
เราก็ต้องสามารถทำงานหาเลี้ยง ดูแลเค้า และครอบครัวได้เช่นกัน
ลองคิดดูว่าที่คุณอยากเป็นคนบริหารเงิน เพราะส่วนหนึ่งคุณอยากควบคุมการใช้จ่ายของเค้ารึเปล่าคะ
อยากรู้ว่าเค้าจะแอบเอาเงินไปใช้อะไรบ้าง ถ้าใช่นั่นแสดงว่าคุณไม่เชื่อมั่นในตัวแฟนคุณเลยค่ะ
เค้าก็อาจจะแอบคิดได้ว่า คุณอยากควบคุมการใช้จ่ายเค้า ก็ไม่ให้เกียรติเค้าได้เหมือนกัน
ลองคิดหลายๆมุมดู อย่าเอาความเป็นผู้หญิงมาต่อรองเลยค่ะ
ผู้หญิงเราสมัยนี้เก่งจะตาย มีโอกาส มีความรู้เท่าผู้ชาย ไม่ได้เหมือนสมัยก่อนสักหน่อย
ที่ผู้หญิงไม่มีความรู้ ไม่มีโอกาสในสังคมเท่าเทียมผู้ชาย ทำงานหาเงินไม่ได้ ถึงต้องรอรับฝ่ายเดียว
ดังนั้นค่านิยมบางอย่างที่ติดมาตั้งแต่โบราณ บางอันก็ใช้ไม่ได้แล้วล่ะค่ะ
แสดงความคิดเห็น
==== อยากทราบว่าคุณสามี-ภรรยามีวิธีจัดสรรเงินเดือนแต่ละเดือนอย่างไรบ้างคะ ===
ต้องท้าวความว่าที่มาตั้งกระทู้ถามนี่เกิดจากความอัดอั้นตันใจเล็กน้อยค่ะ
เหตุมันเกิดขึ้นเพราะเราหารือเรื่องนี้กันกับแฟน (กับคนนี้ คือเราสองคนแพลนว่าจะแต่งงานกัน)
ก่อนอื่นเราจะเล่าให้ฟังว่า ตลอดเวลาที่คบกันมาก็หลายปีนะคะ ก็มีทะเลาะกันบ้าง คือเราสองคนก็มีเงินเดือนกันทั้งคู่
เวลาไปเที่ยวไหนหรือทานข้าว ส่วนมากก็จะหารกันหรือไม่ก็คุณผู้ชายจะเป็นฝ่ายออกมากกว่า มีบางครั้งก็เป็นเราที่ออกมากกว่าแต่จะน้อยครั้งกว่าของเค้า
ซึ่งเราก็ถือว่าตรงจุดนี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะเค้าจะพูดตลอดตั้งแต่ตอนคบกันแรกๆอยู่แล้วว่า นี่ เค้าไม่ใช่ผู้ชายที่ไปไหนมาไหนแล้วจะออกให้ผู้หญิงตลอดนะ (คบกันมาตั้งแต่สมัยมหาลัยค่ะ)
ซึ่งเราก็เข้าใจ แต่ก็มีแอบน้อยใจบ้าง บางครั้งก็น้อยใจมากเลยล่ะค่ะเพราะเค้าจะชอบย้ำให้ฟังอยู่เรื่อยๆ จนเรามีความรู้สึกว่า เอ๊ะ อะไรกัน นี่เธอจะไม่ยอมเสียเปรียบฉันเลยใช่มั้ย คือเค้าจะเป็นฝ่ายพูดตลอดว่าจะต้องแฟร์ ย้ำอยู่บ่อยๆ
จนดิฉันคิดว่า นี่จะต้องเป็นอย่างนั้นเป๊ะๆทุกอย่างเลยหรอ เธอเป็นผู้ชายเธอจะยอมให้ฉันบ้างไม่ได้รึยังไง แฟนเพื่อนฉันเค้ายังไม่เป็นขนาดนี้เลย (คิดในใจนะคะไม่เคยพูด อารมณ์น้อยใจน่ะค่ะ) คือทะเลาะกันเรื่องนี้บ่อยกว่าเรื่องอื่น
จนมาถึงตอนนี้ เราคุยกันเรื่องอนาคต จนมาพูดถึงการจัดสรรเงินภายในบ้าน ซึ่งก่อนหน้านี้ดิฉันก็เคยเกริ่นๆพูดไว้อยู่แล้วแต่ไม่จริงจังเท่าครั้งนี้
ทางครอบครัวพ่อกับแม่ของดิฉันเป็นประเภท สามีหาเงินมาได้ก็จะนำมาให้ภรรยาเก็บเอาไว้
ก็ถือเป็นการให้เกียรติแล้วก็คิดว่าผู้หญิงเป็นคนที่ใช้จ่ายในเรื่องกับข้าว ทำอาหารรวมถึงค่ารายเดือนต่างๆอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้มันขัดกันมากค่ะกับครอบครัวของเค้า
พ่อและแม่ของเค้า (เชื้อสายจีน) คือหาเงินมาได้ในแต่ละเดือน พ่อของเค้าจะแบ่งให้คุณแม่ส่วนหนึ่ง ประมาณ 30% เอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว ส่วนนึงเก็บเอาไว้ใช้ ส่วนค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวต่างๆจะผลัดกันจ่าย แต่ส่วนมากจะเป็นพ่อของเค้าจ่าย
พอเรากับแฟนมาคุยกันเรื่องนี้มันเลยกลายเป็นว่าคุยกันไม่รู้เรื่องค่ะ ถึงกับทะเลาะกันเพราะไม่ว่าจะพูดยังไงก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจกันสักที
สำหรับตัวดิฉันเอง มองว่าการที่ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว เอาเงินเดือนให้ภรรยา คือหน้าที่และสิ่งที่ควรจะกระทำ
แต่เค้ามองว่า ถ้าเค้าให้เงินเราหมด เค้าจะมีตรงส่วนไหนใช้จ่าย ต้องรอขอจากเราหรอ แบบวันละ 500 เงี้ยหรอ (ยกตัวอย่าง) เราก็อธิบายไปว่าไม่ใช่อย่างนั้น แต่หมายถึงว่าเงินของคุณและเงินของฉันนั้นมันคือเงินเดียวกัน เอาไว้ใช้จ่ายครอบครัว ไม่มีของส่วนตัวของใคร
พอเราอธิบายไปเค้าก็จะชอบพูดว่าเรายังมีความคิดเด็กๆอยู่ ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ (ซึ่งตรงนี้เราน้อยใจมากค่ะ ว่าเค้ายังมองเงินที่ได้มาหลังจากแต่งงานเป็นเงินส่วนตัวของเค้าอยู่ เค้ามีเงินในส่วนของเค้าที่ไม่อยากจะให้เราเข้าไปยุ่ง)
เราเริ่มจะเครียด แล้วก็คิดมากค่ะ ทุกวันนี้เราสองคนยังหาคำตอบในเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ซักที เหมือนกับไม่มีใครสักคนอยากจะพูดมันขึ้นมาเพราะไม่อยากจะทะเลาะกัน
เราเลยมีคำถามว่า คู่แต่งงาน ที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน มีวิธีจัดการเรื่องเงินกันอย่างไรบ้างคะ
เราอาจจะเป็นคนหัวโบราณก็ได้ที่มองว่าการที่ผู้ชายเอาเงินเดือนให้ผู้หญิงเป็นการให้เกียรติมากๆ
แฟนเราเค้าเป็นพวกความแฟร์ต้องมาก่อนเสมอค่ะ จนบางทีเราคิดว่าเรากำลังคุยอยู่กินข้าวกับเพื่อนคนนึง ไม่ใช่คนรักที่มีแพลนในอนาคตว่าจะแต่งงานกัน...
แต่เรื่องดูแลเทคแคร์ใส่ใจเค้าดีมากเลยนะคะ กับเพื่อนฝูงแล้วก็แฟน ถ้ามีเหตุให้ต้องตัดสินใจเค้าจะเลือกเราก่อนเสมอค่ะ เรื่องไหนที่เค้าไ่สบายใจหรือไม่แน่ใจเค้าจะถามเราก่อนเสมอว่าเราคิดยังไง และค่อนข้างจะฟังเรา มีอยู่เรื่องนี้เท่านั้นที่เราสองคนแทบจะมีความคิดไม่เหมือนกันเลยค่ะ