เพราะ ท่านเจิมศักดิ์ ชอบเอาพระ มาออกสื่อ ประหนึ่งว่าตัวเองใฝ่ธรรมมะ ไคร่รู้ แล้วถามโน้มน้าวให้พระท่านพูด ในสิ่งที่เจิมศักดิ์ต้องการ หรือแม้แต่บิดเบือนเจตนาในคำสอนที่แท้จริงของพระท่านด้วยการตัดทอนถ้อยคำ คนทำแบบนี้คือคนที่ไม่มีศรัทธา และยังเป็นคนที่ ทำร้ายพระสงฆ์และพระพุทธศาสนาร้ายแรงที่สุดคือ ทำลายคำสอนที่แท้จริงที่มีค่า ให้ด้อยค่าลงไป
ถ้าคนฟังฟังแค่นี้ ก้อาจสรุปรวมความว่า ท่านพุทธทาส (ซึ่งท่านมรณะภาพไปแล้ว ไม่อาจมาแก้ต่างได้) สนับสนุนว่า ประชาธิปไตย ไม่ไช่ประชาชนเป้นใหญ่ แต่เป้นใครก็ได้ที่ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน ก็จะไปสนับสนุน ฝ่ายท่านเจิมที่ว่า เสียงส่วนใหญ่ โง่ ไม่ดี ประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องรับฟังเสียงส่วนใหญ แต่อันที่จริง ในคำสอนของท่านพุทธทาส ท่านหมายความถึง "ธรรมมิกสังคมนิยมประชาธิปไตย"
.............
พุทธทาสมองว่าประชาธิปไตยในความหมายว่า “ประชาชนเป็นใหญ่” นั้น เป็นระบบการเมืองที่สร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา ฉะนั้น ท่านจึงนิยามใหม่ว่า “ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” ซึ่งไม่ใช่ปฏิเสธประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง เพราะท่านยังบอกว่า “…จัดระบบการเมืองแบบไหนรูปไหนก็ตามใจคุณเถอะ ขอแต่ให้ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่”แต่ถ้าจะเป็นประชาธิปไตยท่านก็เสนอว่า
เราต้องมีประชาธิปไตยที่ประกอบไปด้วยธรรม เรียกว่าธัมมิกประชาธิปไตย นี้เกี่ยวกับการปกครอง ธัมมิกสังคมนิยมนั้นมันเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ถ้าธัมมิกประชาธิปไตยมันเกี่ยวกับการปกครอง เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาความถูกต้องเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาธิปไตยของคนที่เห็นแก่ตัว...ฉะนั้น ประชาธิปไตยต้องจำกัดความให้ดีๆ ว่าต้องของประชาชนที่มีศีลธรรม เลยต้องใช้คำว่า ธัมมิกประชาธิปไตย มีธรรมะเป็นหลัก มีความถูกต้องเป็นหลัก อย่าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ธรรมะแล้วก็อย่าเห็นแก่ตัว
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนพุทธทาสจะคล้อยไปทาง “สังคมนิยมประชาธิปไตย” ดังที่ท่านเสนอว่า
ประชาธิปไตยต้องแคบเข้ามาเป็นอย่างที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยชนิดสังคมนิยม” ถ้าสังคมนิยมมันยังกว้างอยู่ก็ต้องแคบเข้ามา จนเป็นสังคมนิยมชนิดที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ...ธรรมชาติแท้ๆ มันต้องการให้เห็นแก่สังคม ไม่ใช่ให้เห็นแก่ตัวเอง เพราะฉะนั้น หลักอันนี้เปลี่ยนไม่ได้ต้องเห็นแก่สังคม เมื่อเห็นแก่สังคมแล้วมันก็ไม่มีทางจะกอบโกย คือจะไม่เอาส่วนเกิน จะเอาแต่ส่วนที่จำเป็น ส่วนที่เหลือที่เป็นส่วนเกินนั้นก็ยกให้ผู้อื่น นี้เป็นเจตนารมณ์หรือใจความสำคัญในพุทธศาสนา
สังเกตว่า พุทธทาสใช้ “ธรรมเป็นใหญ่” กับ “ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” แทนกันได้ เพราะถ้าถือธรรมเป็นใหญ่ก็หมายถึงยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ตรงกันข้ามกับ “ธรรม” ก็คือ “ความเห็นแก่ตัว” เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว และละเมิดประโยชน์ของประชาชน ฉะนั้น เราอาจตีความได้ว่าข้อเสนอ “ธรรมเป็นใหญ่” หรือ “ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” ก็คือข้อเสนอ “ขอบเขต” ของการใช้อำนาจรัฐนั่นเอง หากเป็นรัฐประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชน เสียงข้างมากจะใช้อำนาจละเมิดธรรมหรือประโยชน์ของประชาชนไม่ได้
หมายความว่า ถ้าประชาชนเป็นใหญ่พุทธทาสมองว่ามันไม่มีหลักประกันอะไร ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวและใช้อำนาจตามความเห็นแก่ตัวก็เกิดปัญหา แต่ถ้ายึดประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่หรือธรรมเป็นใหญ่ก็จะมีหลักประกันว่า ใครๆ จะใช้อำนาจไปตามความเห็นแก่ตัวเพื่อละเมิดประโยชน์ของประชาชนไม่ได้
นิยามที่ว่า “ประชาธิปไตยคือประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” นั้น พุทธทาสเทียบเคียงกับ “สังฆาธิปไตย-ประโยชน์ของสงฆ์เป็นใหญ่” หมายถึงสงฆ์ที่เป็นส่วนรวม ไม่ใช่ภิกษุแต่ละรูป ในระบบสังคมสงฆ์ต้องถือประโยชน์ของสงฆ์เป็นใหญ่ ประโยชน์ของสงฆ์คือ “ธรรมวินัย” ที่วางระบบความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ และสิทธิในการศึกษาปฏิบัติตามธรรมวินัยเพื่อบรรลุเสรีภาพจากกิเลส ฉะนั้น การกระทำหรือการศึกษา ปฏิบัติ และเผยแผ่ธรรมของพระภิกษุแต่ละรูปจะต้องยึดประโยชน์ของสงฆ์เป็นใหญ่ คือการรักษา “ระบบ” หรือ “ธรรมวินัย” ให้มั่นคง การละเมิดธรรมวินัยก็คือการละเมิดประโยชน์ของสงฆ์หรือส่วนรวม
โดยนัยนี้ เมื่อพุทธทาสนิยามประชาธิปไตยว่า “ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” จึงไม่ใช่ประโยชน์ของประชาชนคนใดคนคนหนึ่งโดยเฉพาะ แต่หมายถึงประโยชน์ของประชาชนทั้งหมด หรือ “ประโยชน์ส่วนรวม” ดังนั้น การใช้อำนาจของประชาชน หรือผู้ปกครองจะใช้อย่างเห็นแก่ตัว ตามกิเลส หรือไม่มีศีลธรรม (ในความหมายที่เป็นการละเมิด “ธรรม” หรือ “ประโยชน์ของประชาชน”) ไม่ได้
.....................................
สรุปคือท่านพุทธทาส สนับสนุนคนที่มีธรรมะ ขึ้นเป็นใหญ่ แล้วทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยธรรม แต่ไม่ได้บอกว่าเสียงส่วนใหญ่ไม่ควรเป็นใหญ่ หรือเสียงส่วนน้อยควรจะเป็นใหญ่ท่านไม่ได้ปฏิเสธ ระบอบประชาธิปไตยที่มีประชาชนเป็นใหญ่ และถ้าตีความตามคำสอนของท่านพุทธทาส ผมว่า พรรคใหนที่ทำประโยชน์เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ ประชาชนส่วนใหญ่ก็ศรัทธา ก้สนับสนุน ก้เข้าหลักคำสอนของท่านพุทธทาสเรื่อง ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ (หรือ ดร เจิมคิดว่าตัวเอง มีธรรม หรือ คิดว่าคนที่ตัวเองชอบมีธรรม คนอื่นไม่ดีไปซ๊ะหมด ไม่ควรเป็นใหญ่)
......ผมเบื่อ ดร เจิม ก็ตรงนี้แหละ
รู้ไม๊ ทำไมผมถึงไม่ชอบท่านเจิมศักดิ์..............
ถ้าคนฟังฟังแค่นี้ ก้อาจสรุปรวมความว่า ท่านพุทธทาส (ซึ่งท่านมรณะภาพไปแล้ว ไม่อาจมาแก้ต่างได้) สนับสนุนว่า ประชาธิปไตย ไม่ไช่ประชาชนเป้นใหญ่ แต่เป้นใครก็ได้ที่ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน ก็จะไปสนับสนุน ฝ่ายท่านเจิมที่ว่า เสียงส่วนใหญ่ โง่ ไม่ดี ประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องรับฟังเสียงส่วนใหญ แต่อันที่จริง ในคำสอนของท่านพุทธทาส ท่านหมายความถึง "ธรรมมิกสังคมนิยมประชาธิปไตย"
.............
พุทธทาสมองว่าประชาธิปไตยในความหมายว่า “ประชาชนเป็นใหญ่” นั้น เป็นระบบการเมืองที่สร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา ฉะนั้น ท่านจึงนิยามใหม่ว่า “ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” ซึ่งไม่ใช่ปฏิเสธประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง เพราะท่านยังบอกว่า “…จัดระบบการเมืองแบบไหนรูปไหนก็ตามใจคุณเถอะ ขอแต่ให้ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่”แต่ถ้าจะเป็นประชาธิปไตยท่านก็เสนอว่า
เราต้องมีประชาธิปไตยที่ประกอบไปด้วยธรรม เรียกว่าธัมมิกประชาธิปไตย นี้เกี่ยวกับการปกครอง ธัมมิกสังคมนิยมนั้นมันเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ถ้าธัมมิกประชาธิปไตยมันเกี่ยวกับการปกครอง เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาความถูกต้องเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาธิปไตยของคนที่เห็นแก่ตัว...ฉะนั้น ประชาธิปไตยต้องจำกัดความให้ดีๆ ว่าต้องของประชาชนที่มีศีลธรรม เลยต้องใช้คำว่า ธัมมิกประชาธิปไตย มีธรรมะเป็นหลัก มีความถูกต้องเป็นหลัก อย่าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ธรรมะแล้วก็อย่าเห็นแก่ตัว
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนพุทธทาสจะคล้อยไปทาง “สังคมนิยมประชาธิปไตย” ดังที่ท่านเสนอว่า
ประชาธิปไตยต้องแคบเข้ามาเป็นอย่างที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยชนิดสังคมนิยม” ถ้าสังคมนิยมมันยังกว้างอยู่ก็ต้องแคบเข้ามา จนเป็นสังคมนิยมชนิดที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ...ธรรมชาติแท้ๆ มันต้องการให้เห็นแก่สังคม ไม่ใช่ให้เห็นแก่ตัวเอง เพราะฉะนั้น หลักอันนี้เปลี่ยนไม่ได้ต้องเห็นแก่สังคม เมื่อเห็นแก่สังคมแล้วมันก็ไม่มีทางจะกอบโกย คือจะไม่เอาส่วนเกิน จะเอาแต่ส่วนที่จำเป็น ส่วนที่เหลือที่เป็นส่วนเกินนั้นก็ยกให้ผู้อื่น นี้เป็นเจตนารมณ์หรือใจความสำคัญในพุทธศาสนา
สังเกตว่า พุทธทาสใช้ “ธรรมเป็นใหญ่” กับ “ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” แทนกันได้ เพราะถ้าถือธรรมเป็นใหญ่ก็หมายถึงยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ตรงกันข้ามกับ “ธรรม” ก็คือ “ความเห็นแก่ตัว” เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว และละเมิดประโยชน์ของประชาชน ฉะนั้น เราอาจตีความได้ว่าข้อเสนอ “ธรรมเป็นใหญ่” หรือ “ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” ก็คือข้อเสนอ “ขอบเขต” ของการใช้อำนาจรัฐนั่นเอง หากเป็นรัฐประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชน เสียงข้างมากจะใช้อำนาจละเมิดธรรมหรือประโยชน์ของประชาชนไม่ได้
หมายความว่า ถ้าประชาชนเป็นใหญ่พุทธทาสมองว่ามันไม่มีหลักประกันอะไร ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวและใช้อำนาจตามความเห็นแก่ตัวก็เกิดปัญหา แต่ถ้ายึดประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่หรือธรรมเป็นใหญ่ก็จะมีหลักประกันว่า ใครๆ จะใช้อำนาจไปตามความเห็นแก่ตัวเพื่อละเมิดประโยชน์ของประชาชนไม่ได้
นิยามที่ว่า “ประชาธิปไตยคือประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” นั้น พุทธทาสเทียบเคียงกับ “สังฆาธิปไตย-ประโยชน์ของสงฆ์เป็นใหญ่” หมายถึงสงฆ์ที่เป็นส่วนรวม ไม่ใช่ภิกษุแต่ละรูป ในระบบสังคมสงฆ์ต้องถือประโยชน์ของสงฆ์เป็นใหญ่ ประโยชน์ของสงฆ์คือ “ธรรมวินัย” ที่วางระบบความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ และสิทธิในการศึกษาปฏิบัติตามธรรมวินัยเพื่อบรรลุเสรีภาพจากกิเลส ฉะนั้น การกระทำหรือการศึกษา ปฏิบัติ และเผยแผ่ธรรมของพระภิกษุแต่ละรูปจะต้องยึดประโยชน์ของสงฆ์เป็นใหญ่ คือการรักษา “ระบบ” หรือ “ธรรมวินัย” ให้มั่นคง การละเมิดธรรมวินัยก็คือการละเมิดประโยชน์ของสงฆ์หรือส่วนรวม
โดยนัยนี้ เมื่อพุทธทาสนิยามประชาธิปไตยว่า “ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” จึงไม่ใช่ประโยชน์ของประชาชนคนใดคนคนหนึ่งโดยเฉพาะ แต่หมายถึงประโยชน์ของประชาชนทั้งหมด หรือ “ประโยชน์ส่วนรวม” ดังนั้น การใช้อำนาจของประชาชน หรือผู้ปกครองจะใช้อย่างเห็นแก่ตัว ตามกิเลส หรือไม่มีศีลธรรม (ในความหมายที่เป็นการละเมิด “ธรรม” หรือ “ประโยชน์ของประชาชน”) ไม่ได้
.....................................
สรุปคือท่านพุทธทาส สนับสนุนคนที่มีธรรมะ ขึ้นเป็นใหญ่ แล้วทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยธรรม แต่ไม่ได้บอกว่าเสียงส่วนใหญ่ไม่ควรเป็นใหญ่ หรือเสียงส่วนน้อยควรจะเป็นใหญ่ท่านไม่ได้ปฏิเสธ ระบอบประชาธิปไตยที่มีประชาชนเป็นใหญ่ และถ้าตีความตามคำสอนของท่านพุทธทาส ผมว่า พรรคใหนที่ทำประโยชน์เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ ประชาชนส่วนใหญ่ก็ศรัทธา ก้สนับสนุน ก้เข้าหลักคำสอนของท่านพุทธทาสเรื่อง ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ (หรือ ดร เจิมคิดว่าตัวเอง มีธรรม หรือ คิดว่าคนที่ตัวเองชอบมีธรรม คนอื่นไม่ดีไปซ๊ะหมด ไม่ควรเป็นใหญ่)
......ผมเบื่อ ดร เจิม ก็ตรงนี้แหละ