ธปท.ขาดทุนสะสม 4.42 แสนล้าน เปิดงบดุลปี 55 เสียทีค่าเงินบาทแข็งขึ้น 3.1%

ธปท.ขาดทุนสะสม 4.42 แสนล้าน เปิดงบดุลปี 55 เสียทีค่าเงินบาทแข็งขึ้น 3.1%


ธปท.เผยงบดุลปี 2555 ขาดทุนสุทธิ 1.08 แสนล้านบาท ส่งผลขาดทุนสะสมพุ่งขึ้นเป็น 4.42 แสนล้านบาท ส่วนบัญชีสำรองพิเศษมีกำไรสะสม 8.29 แสนล้านบาท เหตุผลดอกเบี้ยรับน้อยกว่าจ่าย เดือนละ 8,000 ล้านบาท และขาดทุนจากการตีราคาค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น 3.1% ชี้ทำเพื่อลดความผันผวนของเงินบาทไม่ให้แข็งจนกระทบเศรษฐกิจ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.) ว่า ในงบการเงินประจำสัปดาห์ล่าสุด ณ วันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา ธปท.ได้รายงานงบดุลของ ธปท. ในฝ่ายกิจการธนาคาร หรือในส่วนของ ธปท. ซึ่งเป็นงบดุลที่รวมผลขาดทุนของปี 2555 เข้าไปด้วยแล้ว โดยพบว่าในปี 2555 ที่ผ่านมา ธปท.มีผลขาดทุนสุทธิ 108,999 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนทั้งในส่วนของการขาดทุนการดำเนินการ ซึ่งมาจากดอกเบี้ยจ่ายมากกว่าดอกเบี้ยรับ และมาจากการแข็งค่าของค่าเงินบาทในปีที่ผ่านมา ซึ่งทั้งปีแข็งค่าขึ้นประมาณ 3.1% ทั้งนี้ การขาดทุนเพิ่มขึ้นในปี 2555 ดังกล่าว ได้ทำให้ยอดการขาดทุนสะสมของ ธปท.ล่าสุด เพิ่มขึ้นเป็น 442,375 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในการรายงานงบดุลดังกล่าว ยังได้มีการระบุสินทรัพย์รวมของฝ่ายกิจการธนาคารด้วยว่า มีสินทรัพย์ทั้งสิ้น ณ วันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา 3,951,999 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นเดือน มี.ค. ซึ่งเป็นงบดุลที่ยังไม่รวมงบปี 2555 ทั้งสิ้น 112,361 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งเป็นการลดลงจริงของสินทรัพย์ และส่วนหนึ่งเกิดการตีราคาสินทรัพย์ ซึ่งมีราคาลดลง

ในงบดุลดังกล่าวยังได้รายงาน ฐานะของทุนสำรองเงินตราล่าสุด ณ วันที่ 4 เม.ย.ไว้ด้วยว่า มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 2,231,906 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้มีสินทรัพย์ที่เป็นทองคำทั้งสิ้น 253,645 ล้านบาท และได้รายงานสินทรัพย์ในส่วนของทุนสำรองทางการระหว่างประเทศที่ใช้ในกิจการการจัดเพิ่ม และจัดการธนบัตร ล่าสุดวันเดียวกันไว้ว่ามีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 12,166 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับบัญชีที่ 2 ของทุนสำรองทางการระหว่างประเทศ หรือบัญชีทุนสำรองพิเศษ ซึ่งเก็บกำไรสะสมของทุน สำรองทางการระหว่างประเทศไว้นั้น ล่าสุด ณ วันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา มีสินทรัพย์ทั้งสิ้น 829,322 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 261,953 ล้านบาท เนื่องจากในปี 2555 ที่ผ่านมา ได้มีการตัดบัญชีผลประโยชน์ประจำปี ซึ่งตามปกติจะเข้าสมทบในบัญชีสำรองพิเศษไปใช้หนี้เงินต้นของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ขณะที่ ณ วันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา ธปท.ได้รายงานสถานะล่าสุดของบัญชีผลประโยชน์ประจำปีว่า มีกำไร หรือมีสินทรัพย์ 2,905,990 ล้านบาท

ทั้งนี้ ฝ่ายตลาดการเงินยอมรับว่า ในส่วนการขาดทุนจากการดำเนินการ หรืออัตราดอกเบี้ยจ่ายน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยรับในปี 2555 ที่ผ่าน
มานั้น มีผลขาดทุนอยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อเดือน รวมทั้งมีการขาดทุนส่วนหนึ่งจากการแทรกแซงค่าเงินบาท ขณะที่ส่วนของการตีราคาค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น แข็งค่าขึ้นจากสิ้นปี 2554 จนถึงสิ้นปี 2555 ประมาณ 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเปลี่ยนจาก 31.55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2554 เป็น 30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในปี 2555 ซึ่งในส่วนหนึ่งต้องเข้าใจด้วยว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นการลดความผันผวน และการแข็งค่าที่เร็วเกินไปของค่าเงินบาท และเป็นการบรรเทาผลกระทบที่เกิดกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม

ส่วนแนวโน้มสำหรับปี 2556 ในส่วนผลการดำเนินงานนั้น ธปท.ได้มีการปรับเปลี่ยนจากลงทุนของทุนสำรองทางการไปค่อนข้างมาก จากการลงทุนในพันธบัตร และสินทรัพย์ของประเทศเศรษฐกิจใหญ่ 4 ประเทศคือ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และอังกฤษ ย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์ของประเทศในเอเชีย ซึ่งมีการขยายตัวของเศรษฐกิจในอัตราที่ดี และมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าประเทศใหญ่ที่เศรษฐกิจซบเซา ทำให้การลงทุนของทุนสำรองทางการได้รับผลตอบแทนในด้านอัตราดอกเบี้ยรับที่สูงขึ้น

ขณะเดียวกัน ได้มีการกระจายการออกพันธบัตรของ ธปท.ในหลายอายุมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงของแหล่งเงิน และลดอัตราดอกเบี้ยจ่ายลงได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า การแข็งค่าของเงินบาทในขณะนี้ซึ่งแข็งค่าขึ้นจากต้นปีประมาณ 6% อาจจะส่งผลต่อการตีราคาทุนสำรองทางการระหว่างประเทศ และการขาดทุนทางบัญชีของ ธปท.ในระยะต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ใน 2 ทิศทางทั้งแข็งค่าขึ้นและอ่อนค่าลง

ทั้งนี้ ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการ ธปท.เมื่อวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา นายศิริ การเจริญดี กรรมการ ธปท. กล่าวว่า บอร์ด ธปท.ได้อนุมัติเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้กับ ธปท.เพิ่มเติมโดยอนุมัติให้นำทุนสำรองทางการระหว่างประเทศ ไปลงทุนในพันธบัตรรัฐ หรือพันธบัตรที่รัฐค้ำประกันได้ เพิ่มเติมจากการลงทุนในพันธบัตรของรัฐบาลกลางของประเทศต่างๆ ซึ่งหลายประเทศมีการออกพันธบัตรในระดับมณฑล หรือรัฐ เพื่อให้มีโอกาสเพิ่มผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยได้มากขึ้น.

ไทยรัฐออนไลน์

    โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ
    26 เมษายน 2556, 05:30 น.

http://www.thairath.co.th/content/eco/341086
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่