เราสังเกตหลายๆ ครั้งแล้ว ว่าหมอรักษาสิวหลายคนไม่ได้จบผิวหนังมาโดยตรง จบเวชกรรมทั่วไป
อาศัยใบประกอบโรคศิลป์ ไม่เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังอื่นๆ นอกจากสิว ฝ้า กระ เหี่ยวย่น
และจะพูดไม่เยอะ พูดอะไรพื้นๆ ที่เราและสมาชิกห้องแป้งหลายคนรู้มากกว่าอีก
บ้างก็จะบอกอะไรที่ไม่ชัดเจน หรือตรงประเด็น ไม่บอกข้อเสียบอกแต่ข้อดี หรือเข้าขั้นมั่วบ้างไรบ้าง
บ้างก็จ่ายค่ายาหรือแนะนำการรักษาที่ไม่ตรงกับอาการของโรคก็มี

ล่าสุด เห็นวัยรุ่นสาวคนนึง (ที่รู้จักกัน) มาโพสต์รูปยาและสารพัดครีมจากคลินิกชื่อดังแห่งหนึ่ง
หมอบอกว่าหน้าเป็นผื่นแพ้ ไม่ใช่สิว แต่จ่ายยาและอื่นๆ มารวม 14 รายการ
เห็นแล้วอึ้ง เราว่าถ้าใช้หมดทุกอย่างจริงๆแทนที่ผื่นจะหายสงสัยเป็นอย่างอื่นแทน
เพราะหน้าเด็กคนนี้ไม่เป็นสิวเลยแต่ให้ BP2.5 ให้โฟมล้างหน้า ครีมกันแดด ฯลฯ มาเต็มไปหมด  
เพื่อนอีกคนมาบอกว่า เคยทำคลินิกรักษาสิวมา บอกว่ากินยาแก้แพ้ก็จบ แต่หมอจะยัดเยียด
ให้ทำอย่างอื่นด้วยที่ไม่เกี่ยวกับการรักษา เธอรู้ดีเพราะเคยทำมาก่อน
เราเชื่อว่าหมอคลินิกดังที่โฆษณาทางทีวีคงไม่ได้จบผิวหนังมาโดยตรงแน่ๆ
เพราะเห็นรับสมัครแพทย์ทั่วไปทางหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ (เนื่องจากขยายสาขาเยอะมาก)

อีกรายเพื่อนเราพยายามเชียร์ให้เราไปหารายหนึ่ง คลินิกนี้ไม่ดัง แต่เพื่อนเราบอกว่าดี หาย
ราคาไม่แพง หมอบอกว่าเพื่อนเราเป็นสิวฮอร์โมนก็ให้ยามากิน บอกว่านี่เป็นฮอร์โมน
แต่ห้ามท้อง เรางง ถ้าฮอร์โมนก็ต้องกินแบบยาคุมสิ แต่ไม่ใช่ กินได้ทุกวัน
จึงขอดู ปรากฏว่าเป็น Isotretinoin ซึ่งมันไม่ใช่ฮอร์โมนแน่ๆ หมอผิวหนังจริงๆ เคยแนะนำให้
เราเมื่อหลายปีก่อนบอกว่าเป็นอนุพันธ์กรดวิตามินเอ แล้วบอกเอฟเฟ็คมากมายให้ฟัง (ทุกวันนี้หมอ
ที่แนะนำเราไปเปิดคลินิกชื่อของตัวเองแล้ว) จนเราไม่กล้ากินเลย เพราะเรากลัวการเจาะเลือดตรวจตับ
เราถามเพื่อนว่าหมอบอกมั้ยว่ามีผลต่อตับ เพื่อนบอกว่าหมอไม่บอก แค่บอกว่าให้ไปตรวจเลือดบ้าง
เพื่อนเราก็เชื่อหมอนะคิดว่าตัวเองกำลังกินฮอร์โมนอยู่ เราไม่แน่ใจว่าหมอคนนี้จบผิวหนังมาจริงหรือไม่
แต่ก็ไม่ควรจะปกปิดเรื่องยากับคนไข้นะ เพราะคนไข้ทั่วไปพร้อมจะเชื่อหมออยู่แล้ว

อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ด้วยกระมัง ที่ทำให้หลายๆ คนหาวิธีรักษาเอง แทนที่จะไปหาหมอตามคลินิก
นี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ ถ้าใครไม่เจอแบบนี้ก็โชคดีไปค่ะ