สุสานทุ่งทองกวาว บทนำ/ตอนที่ 1
http://ppantip.com/topic/30396148
สุสานทุ่งทองกวาว ตอนที่ 2
http://ppantip.com/topic/30396533
สุสานทุ่งทองกวาว ตอนที่ 3
http://ppantip.com/topic/30402583
สุสานทุ่งทองกวาว ตอนที่ 4
http://ppantip.com/topic/30407491
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พ่อฉันมักจะเป็นประเภท---ลูกเป็นคนโง่ ไร้เดียงสา ทำอะไรไม่ผิด และถึงแม้จะผิด เค้าจะต้องหาคนผิดร่วมด้วย เหมือนกับว่า ลูกฉันไม่ได้เลวคนเดียว พ่อฉันก็ไม่ต่างจากแม่ ที่ไม่ค่อยชอบให้ลูกมีเพื่อนมาก เพราะกลัวว่าจะถูกชักชวนไปในทางที่ไม่ดี ซึ่ง...ไอ้ตรงนี้ฉันเกลียดเข้าไส้ มันเหมือนเป็นการด่าฉันเป็นกลายๆ ว่าโง่! ไปอยู่ไหนก็โดนคนอื่นจูงจมูกอยู่วันยังค่ำ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ฉันอยากบอกพ่อเหลือเกินว่า ฉันหนะ---ยิ่งกว่าลูกชาวบ้านชาวช่องเขาอีก ด้วยความที่เวลามีปัญหา พ่อจะต้องหาคนร่วมผิดด้วย สายตาคนอื่นที่มองมาที่ฉัน มันยิ่งกลายเป็นต่อต้าน จงเกลียดจงชังไปยกใหญ่ ฉันเข้าใจคนอื่นนะ ว่าทำไมพวกเขาไม่อยากสมาคมกับฉัน ใคร...จะไปอยากสุงสิงกับคนที่ เวลาเล่นอะไรซนๆ ตามประสาเด็ก ก็จะถูกพ่อแม่ฉันตามไปด่าถึงบ้านเล่า
ด้วยความที่เป็นคนเพ้อฝัน ชอบดอกไม้ ต้นหญ้า สายลม แสงแดด และ...ธรรมชาติสวยๆ ประดามี ฉันเติบโตขึ้นมากับธรรมชาติ และจินตนาการส่วนตัวที่ใครก็เข้าถึงยาก ฉันจึงชอบ ‘ติ๊ต่าง’ ว่าตัวเองเป็นนู้น เป็นนี่ อยู่เสมอ ตอนเป็นเด็ก ถึงจะมีเพื่อนเล่นบ้าง แต่ก็นานๆ ที ที่หนีออกไปเล่นนอกบ้าน แล้วเจอคนอื่นตามทุ่งนา---คือเด็กตามชนบทมันมีที่เล่นไม่มากหรอก และที่เล่นที่ส่วนใหญ่จะไปกัน ก็มีอะไรน่าตื่นเต้น ผจญภัย มีอะไรให้ดูเยอะ ทุ่งนานั่นแหละ...
ปกติฉันจะเล่นคนเดียว วิ่งลัดเลาะไปตามทุ่ง---ที่ถ้าหากเป็นฤดูร้อน ก็จะมีบึง ที่ถึงน้ำจะลดลงไปมาก แต่เด็กซนๆ ก็ไม่วายจะหนีพ่อแม่ ไปป้วนเปี้ยนแถวนั้น สายลมที่พัดเอื่อย สารพัดแมลงบินว่อน ผีเสื้อตัวสวยหรือ...ก็เกี้ยวพาราสีกัน เหนือมวลดอกไม้ที่เบ่งบานสะพรั่งเต็มที่ พอเข้าเดือนพฤษภาคม ก็จะมี ‘ดอกพฤษภา’ ผุดขึ้นมาเหนือดิน ซึ่งเป็นดอกประจำเดือนเกิดฉันเอง ฉันเกิดเดือนพฤษภาคม แต่ก่อนอากาศไม่ถึงขั้น 40 องศา แบบปัจจุบัน อย่างมากสุด ไม่ถึง 30 องศา ฝนก็เริ่มจะตั้งเค้าตกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่า เวลาผ่านมาไม่ถึง 20 ปี โลกมันจะวิปริตได้ถึงเพียงนี้
ถ้าหากเป็นฤดูฝน กลิ่นไอดินจะตลบอบอวลไปทั่ว นั่นมันเป็นอารมณ์ ยามต้นฤดูฝนเท่านั้น เพราะหลังจากที่ฟ้า ปล่อยให้ดินแห้งผากมาตลอดฤดูร้อน เมื่อแรกเริ่มต้นฤดู โดนฝนชโลมเข้าหน่อย จะเกิดกลิ่นดิน กลิ่นฝนขึ้นมา กบ เขียด จะพากันร้องเซ็งแซ่ ---ตัว---สารพัดตัว มันจะออกมาจากรู ตามท้องนา จะมีรูอะไรไม่รู้ เต็มไปหมด และฉันจะจัดอยู่ในพวกชอบขุดดินเป็นชีวิตจิตใจ ตอนเป็นเด็กฉันซนมาก ไม่ค่อยมีใครพาซนหรอก ซนเอง...
พอเข้ากลางฤดูฝนอย่างเต็มตัว บรรยากาศก็ครึ้มๆ ทึมๆ บางครั้งฉันนั่งมองท้องฟ้า ยามที่หม่นเศร้าไปด้วยเม็ดฝน แล้วแอบร้องไห้ มันรู้สึกเหงา...อ้างว้างจับใจเหลือเกิน ความรู้สึกที่ผิวสัมผัส ก็ไม่ได้อบอ้าวดั่งเช่นต้นฤดู เม็ดฝนที่โปรยปรายลงมา ก็ไม่ได้บ้าระห่ำ ราวกับจะ ‘ซัด’ สิ่งมีชีวิตอย่างสะอก สะใจ พายุต้นฤดูก็ไม่มีแล้ว มีแต่ฝนปรอยๆ ที่คงเม็ดเดียวกันอย่างสม่ำเสมอ เสียงสายฝนที่ตกกระทบหลังคา มันจึงเสนาะหูยิ่งนัก
ช่วงกลางฤดูฝน ฉันมักจะเพ้อเจ้อไปกับไอหมอก ที่คลุมเหนือภูเขาแต่ละลูก หลังจากที่ฝนหยุดตก มันจะหยุดๆ ตกๆ อากาศจะชื้นแบบนั้น โดยที่กว่าจะได้เห็นแสงทอง ของดวงตะวัน เล่นเอาเศร้าเป็นอาทิตย์ เวลาที่ฉันมองหมอกสีขาวโพลน บนยอดดอยสูง ฉันมักจะจินตนาการ ว่าได้ไปอยู่ ณ จุดนั้นจริงๆ แล้วนิทานปรัมปรา เกี่ยวกับเทวดา นางฟ้า สวรรค์ ก็จะผุดขึ้นมาในหัว ด้วยอากาศที่ ‘ชื้น อึมทึม’ ช่วงนี้จะมีเห็ดดินเกิดขึ้นตามทุ่งนา! Amazing มาก! สมัยนี้ไม่มีเห็ดพวกนี้แล้วหละ เพราะ...จะไปหาสภาพอากาศแบบนั้นได้จากที่ไหนเล่า
เห็ดพวกนี้ ฉันไม่รู้ว่าภาษากลางเค้าเรียกว่าอะไร เพราะมันค่อนข้างจะหายากเอาการ แต่แถวบ้าน เค้าเรียกว่า ‘เห็ดแพทย์’ มันเป็นเห็ดก้านยาว สีขาว ที่ชอบขึ้นตามท้องนา มีให้เห็นมากสุด บริเวณขอบคันนา รสชาติอร่อยมาก แถวบ้านนอกเค้าเอาต้มกับพริกชี้ฟ้ากินกัน ไม่มีขาย...ใครดีใครได้...ใครเก็บทัน ได้กิน...เพราะชาวบ้านจะรู้ว่า อากาศแบบไหนเห็ดจะออก และตามท้องทุ่งก็จะเต็มไปด้วยคน ที่แต่ละคนจะถือตะกร้าใบหนึ่ง ถือมีดด้ามหนึ่ง เพื่อปลิดเห็ดออกจากขั้วของมัน ฉันชอบออกไปเก็บเห็ดกับป้า นอกจากฉันจะชอบขุดดินแล้ว ฉันยังชอบเก็บเห็ดเป็นชีวิตจิตใจ เพราะฉะนั้น ถ้าแม่เข้ามาห้าม ฉันจะอาละวาด นอนดิ้นกับพื้นเลยทีเดียว
ตอนไปเก็บเห็ด พวกคุณรู้มั๊ย ว่าเห็ดที่เค้าไม่เก็บกัน เพราะเป็นเห็ดพิษ คือ ‘เห็ดขี้วัวขี้ควาย’ ซึ่ง...ตอนนั้นฉันไม่ได้สนใจมันเลย มาเจอมันอีกที ตอนที่เข้าสู่แวดวงยาเสพย์ติดนั่นแหละ มันไปโผล่แถบชายทะเล ในราคาราวๆ ดอกละ 1,000 ขึ้นไป ฉัน ‘ฮา’ กระจาย แถมนึกในใจว่า ‘ควาย’ ตัวไหน มันเป็นคนริเริ่มเอา ‘เห็ดเบือ’ มาขายในราคาเท่านี้เนี่ย! ผลสุดท้าย...คนที่ ‘ควาย’ ยิ่งกว่า ก็ไม่ใช่ใคร คนเสพย์นั่นแหละ! ฉันถึงกับกระทุ้งข้อศอกเบาๆ ใส่เพื่อนว่า
“เดี๋ยวฉันไปเก็บแถวบ้านฉันให้ จะเอากี่ดอก” จนแล้วจนรอด เพื่อนคนนั้นก็ไม่มีโอกาสได้มาเที่ยวบ้านฉันเลย เขาตายในปาร์ตี้อัพยาปาร์ตี้หนึ่ง มีคนบอกว่าเขาตายเพราะเสพย์ยาเกินขนาด บางคนก็บอกว่าเขา ‘หลอน’ จนเอามีดมาแทงตัวเอง แต่...ไม่ว่าใครจะว่ายังไง ในสังคมของยาเสพย์ติด ดูเหมือนว่าความตาย จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาจนคิดกันเล่นๆ ว่า ต่อไปใครจะตาย ธรรมดาจน...คนเสพย์ยา โดยเฉพาะพวกเด็กมีปัญหา ที่มีพื้นเพด้านความรู้สึกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะชอบทำร้ายตัวเอง เวลามีปัญหาอะไรมาสะกิดใจ
แน่นอนว่า...จะมีคนแย้งขึ้นมาอย่างหมั่นไส้
“ทำไมไม่ฆ่าตัวตายไปเลย!”
พวกที่ทำร้ายตัวเอง เค้าก็ไม่อยากตายหรอก แต่...เค้าทำเพียงเพื่อความสะใจ อาจจะด้วยปัญหาที่เค้าประสบ ทำให้เค้าคิดว่า ตัวเองไร้ค่าก็ได้ หรือ...ปัญหาทางด้านอารมณ์ และจิตใจ มันรุนแรง...รุนแรงจนอยากเอาอะไรคมๆ มากรีดเนื้อตัวเอง เพื่อให้ความรู้สึกทางด้านร่างกาย มันกลบร้างหักหนี้ กับความรู้สึกทางด้านจิตใจ ก็เป็นได้...คนเรามันยอมเจ็บตัว มากกว่าเจ็บใจหลายเท่านะ...
เห็ดขี้วัวขี้ควาย หรือเห็ดเมา ที่ใครๆ เค้ารู้จัก มันก็เป็นเหมือนกุญแจอีกดอก ที่ ‘คน’ สรรหาอะไรมาเยียวยาความต้องการของตน ถึงแม้จะแลกกับความทุกข์หลังเสพย์ ความเสี่ยง และอันตรายหลายอย่างจากผลสะท้อน แต่ถ้าหากมัน ‘สุข’ เพียงชั่วครู่โมงยาม ก็ยอม...นังเห็ดเมานี่ อันตรายใช่เล่นนะ ถึงขั้นเพื่อนฉันคนหนึ่ง คิดว่าตัวเองหายใจในน้ำได้ วิ่งฝ่าฝนลงทะเล ชาวบ้านวิ่งไล่จับกันเกือบไม่ทัน!
เอาเป็นว่าช่วงชีวิตที่ฉันเข้าไปพัวพันกับยา จะสาธยายให้อ่านก็แล้วกัน เพราะช่วงชีวิตที่มันสั้นๆ ความสุขเพียงชั่วข้ามคืน ที่ยาเสพย์ติดนำพาให้หลุดไปอีกโลก แต่ถ้าหากเอามาเล่า มันยาวเป็นนิยายที่ไม่รู้จะจบยังไงเลยเชียว
เมื่อถึงช่วงปลายฤดูฝน ช่วงนี้แหละเป็นจุดไคลแมกซ์ของฤดูนี้ เพราะมันกำลังจะเปลี่ยนฤดู เข้าสู่หน้าหนาว อากาศเลยเย็นจับขั้วหัวใจ ด้วยฝนที่ตกพรำๆ เกือบทุกวัน กอปรกับอากาศที่ทวีความหนาวขึ้นเรื่อยๆ แถวบ้านจะเรียกฝนแบบนี้ว่า ‘ฝนเย็น’ ซึ่ง...เด็กที่เกิดสมัยนี้ ไม่มีบุญได้สัมผัสแล้วหละ เพราะ...ทุกวันนี้ แม้แต่ฝนธรรมดา ก็แทบจะเอาแมวบริสุทธิ์ 100 ตัวมาแห่ขอกันแล้ว! ด้วยความที่ฉันเป็นพวก เจริญเติบโตได้ดีในความเย็น จึงมีความสุขในช่วงนี้เป็นพิเศษ ชนิดที่ใส่เสื้อกันหนาวตัวหนาแท้ๆ แต่ไปนอนยิ้มที่แคร่หน้าบ้านคนเดียว ปล่อยให้ ‘ลมลู่ฝน’ ที่เย็นสะท้านรูขุมขน สัมผัสร่างกายไปอย่างมีความสุข
ช่วงฤดูนี้ไม่มีอะไรให้ดูในท้องทุ่ง นอกจากปูนาตัวสีดำๆ ฉันจะได้กินมันปูก็ช่วงนี้แหละ นอกนั้นที่ฤดูนี้ให้ก็คือ สุนทรีย์ศิลป์ทางด้านอารมณ์ ที่จะว่าเหงาก็ไม่ใช่ แต่ถ้าใครมีคู่ จะกอดกันอุ่นในช่วงนี้มาก ส่วนคนไม่มีคู่นี่ ก็ไม่อยากออกจากผ้าห่มไปหาคู่ที่ไหนเลย
พอเข้าหน้าหนาว หมอกสีขาวที่คลุมรอบกาย พร้อมกับกลิ่นไอแห่งฤดู ทำให้ฉันกระปรี้กระเปร่า แสงอาทิตย์ที่เริ่มจะสาดรำไร ปลุกฉันให้ตื่นขึ้นมาปฏิบัติภารกิจ ‘ขุดดิน!’ ทั้งๆ ที่ในชีวิตนี้ก็ไม่เคยขุดเจออะไรเลย แต่ที่ฉันชอบ เพราะมันลุ้น---ลุ้นว่าจะเจออะไรนี่หละ แม่กับพ่อไม่ชอบให้ไปขุดดินหรอก เพราะกลัวเจองูฉก แต่ฉันก็แอบไปตามเคย เพราะช่วงเช้าๆ ที่แม่มักจะง่วนอยู่กับการทำกับข้าว และพ่อก็จะออกไปจัดการกับฟาร์มหมู และบ่อปลาของตัวเอง
มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ฉันได้ออกไป ‘ผจญภัย’ ในทุ่งนากว้าง กับหมาอีกตัวชื่อ ‘ไอ้แบล็ค’ มันจะตามฉันไปทุกที่ เหมือนไปอารักขา ดอกหญ้าหน้าหนาว เป็นพู่สีน้ำตาลแก่ สูงเกือบเท่าตัว มันทำให้วัยนั้นฉันมองว่าโลกนี้งามนัก บ้างก็เป็นพู่หางกระรอก สีขาวล้วน แต่ชนิดนี้จะเป็นต้นเตี้ยๆ กรีดกว้างเป็นแนวยาว สวยเหมือนตกอยู่ภวังค์ฝัน และไหนจะดอกหญ้า ชนิดที่เตี้ยต่ำติดดินอีกเล่า...มันบันดาลให้พื้นดินเป็นสีเหลืองบ้าง ม่วงบ้าง แดงบ้าง และยิ่งตามขอบคันนา ที่มองเลยไปอีกนิด จะเจอร่องน้ำ ก่อนถึงต้นข้าว ชาวบ้านเค้าจะแซะร่องน้ำไว้ เพื่อจุดประสงค์ใด มิอาจทราบได้ รู้แต่ว่า ร่องน้ำที่มีน้ำใสๆ ไหลไปเป็นแนวยาว มีปลาตัวเล็กๆ ว่ายเป็นกลุ่มๆ มันทำให้ฉันนึกถึงลำธารในนิทาน ที่รอบลำธารจะเต็มไปด้วยดอกไม้ ราวกับจะผุดขึ้นมาต้อนรับการไหลผ่านของลำน้ำประมาณนั้น
ฉันมักจะเก็บดอกหญ้าจิ๋วๆ เหล่านั้นมาใส่ขวดโหล บ้างก็คิดเลยเถิดไปถึงขั้นว่า ‘สวยขนาดนี้ ทำไมใครเขาไม่เห็นค่า’ ฉันเป็นพวก ‘คลั่ง’ ดอกหญ้าทุกชนิด มันสวยนะ...มันสวยราวกับจะรู้ตัวว่ามันเกิดมาจากหญ้า จึงต้องสวยให้มากๆ ให้มันเตะตาเข้าไว้ ใครๆ จะได้หันมามองบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่เลย...คนส่วนใหญ่เขาไปให้ความสำคัญกับดอกไม้ที่ปลูกยากๆ ราคาแพงๆ นู่น ไม่มีใคร ‘บ้า’ เก็บมันมาขึ้นหิ้งแบบฉันหรอก
พอเวลาเริ่มจะ---ล่วง---ดอกหญ้าก็---โรยรา สายลมที่เปลี่ยนทิศ ก็แปรไป จากที่เคยหอบเอากลิ่นไอความชุ่มฉ่ำมอบให้หน้าหนาว ให้---อะไร---อิ่มเนื้อ นวลน้ำ เมื่อถึงช่วงปลาย สายลมก็พัดเอาแต่ความแล้งเข้ามา รอบกายจะเงียบสนิท ฉันคิดเสมอว่าที่ปลายหน้าหนาว บรรยากาศรอบกายจะเงียบ ลมแล้งที่พัดโกรกมาก็หวีดหวิว ราวกับเสียงร้องร่ำหาสิ่งใด เพราะว่าธรรมชาติต้องการจะ ‘ไว้อาลัย’ ให้กับฤดูทั้ง 3 ที่ตายจากไป
ฤดูนี้ไม่มีอะไรให้ฉัน ‘ดี๊ด๊า’ นอกจากจะไปนั่งทำหน้าซึมๆ ใต้ต้นดอกแค ที่ออกดอกสีขาวโพลนเต็มต้น มองใบไม้หล่นลงมาจากต้น แล้วก็ ‘จิตตก’ ฤดูนี้มันเหงาเหมือนๆ กับช่วงกลางฤดูฝน แต่มันจะเหงาคนละอารมณ์กัน ช่วงกลางฤดูฝน มันจะเหงาแบบ ‘หม่น ซึม เศร้า’ มองไปทางไหนก็อยากร้องไห้ ส่วนอารมณ์ในช่วงปลายหน้าหนาว มันจะเหงาแบบ ‘อ้างว้าง’ เหมือนโดนทิ้งให้อยู่คนเดียวในโลก น้ำตาหรือ...ก็เหือดแห้ง ด้วยไม่สามารถไหลออกมาชะล้างใดๆ ได้อีก มันเหงาลึก...มองไปทางไหนก็ไม่จรรโลงใจ ฉันจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง ก็ช่วงนี้แหละ!
เพ้อจริง!...ให้ตายเถอะ! นี่ตอนแรกกะว่าจะเล่าถึงเรื่องโดดเรียนต่อ เอาไปเอามา ฤดูทั้งสามมันมาจากไหน!!! คนอ่านอันเป็นที่รัก จะว่าคนเขียนบ้าก็ไม่โกรธนะคะ เพราะขนาดตัวเอง ย้อนขึ้นไปอ่าน ยัง...(ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)...เลยคะ แต่ทั้งหมดที่ ‘พล่าม’ มา เป็นความรู้สึกจากใจจริงๆ นะ
RA-EL
สุสานทุ่งทองกวาว (ตอนที่ 5)
สุสานทุ่งทองกวาว ตอนที่ 2 http://ppantip.com/topic/30396533
สุสานทุ่งทองกวาว ตอนที่ 3 http://ppantip.com/topic/30402583
สุสานทุ่งทองกวาว ตอนที่ 4 http://ppantip.com/topic/30407491
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พ่อฉันมักจะเป็นประเภท---ลูกเป็นคนโง่ ไร้เดียงสา ทำอะไรไม่ผิด และถึงแม้จะผิด เค้าจะต้องหาคนผิดร่วมด้วย เหมือนกับว่า ลูกฉันไม่ได้เลวคนเดียว พ่อฉันก็ไม่ต่างจากแม่ ที่ไม่ค่อยชอบให้ลูกมีเพื่อนมาก เพราะกลัวว่าจะถูกชักชวนไปในทางที่ไม่ดี ซึ่ง...ไอ้ตรงนี้ฉันเกลียดเข้าไส้ มันเหมือนเป็นการด่าฉันเป็นกลายๆ ว่าโง่! ไปอยู่ไหนก็โดนคนอื่นจูงจมูกอยู่วันยังค่ำ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ฉันอยากบอกพ่อเหลือเกินว่า ฉันหนะ---ยิ่งกว่าลูกชาวบ้านชาวช่องเขาอีก ด้วยความที่เวลามีปัญหา พ่อจะต้องหาคนร่วมผิดด้วย สายตาคนอื่นที่มองมาที่ฉัน มันยิ่งกลายเป็นต่อต้าน จงเกลียดจงชังไปยกใหญ่ ฉันเข้าใจคนอื่นนะ ว่าทำไมพวกเขาไม่อยากสมาคมกับฉัน ใคร...จะไปอยากสุงสิงกับคนที่ เวลาเล่นอะไรซนๆ ตามประสาเด็ก ก็จะถูกพ่อแม่ฉันตามไปด่าถึงบ้านเล่า
ด้วยความที่เป็นคนเพ้อฝัน ชอบดอกไม้ ต้นหญ้า สายลม แสงแดด และ...ธรรมชาติสวยๆ ประดามี ฉันเติบโตขึ้นมากับธรรมชาติ และจินตนาการส่วนตัวที่ใครก็เข้าถึงยาก ฉันจึงชอบ ‘ติ๊ต่าง’ ว่าตัวเองเป็นนู้น เป็นนี่ อยู่เสมอ ตอนเป็นเด็ก ถึงจะมีเพื่อนเล่นบ้าง แต่ก็นานๆ ที ที่หนีออกไปเล่นนอกบ้าน แล้วเจอคนอื่นตามทุ่งนา---คือเด็กตามชนบทมันมีที่เล่นไม่มากหรอก และที่เล่นที่ส่วนใหญ่จะไปกัน ก็มีอะไรน่าตื่นเต้น ผจญภัย มีอะไรให้ดูเยอะ ทุ่งนานั่นแหละ...
ปกติฉันจะเล่นคนเดียว วิ่งลัดเลาะไปตามทุ่ง---ที่ถ้าหากเป็นฤดูร้อน ก็จะมีบึง ที่ถึงน้ำจะลดลงไปมาก แต่เด็กซนๆ ก็ไม่วายจะหนีพ่อแม่ ไปป้วนเปี้ยนแถวนั้น สายลมที่พัดเอื่อย สารพัดแมลงบินว่อน ผีเสื้อตัวสวยหรือ...ก็เกี้ยวพาราสีกัน เหนือมวลดอกไม้ที่เบ่งบานสะพรั่งเต็มที่ พอเข้าเดือนพฤษภาคม ก็จะมี ‘ดอกพฤษภา’ ผุดขึ้นมาเหนือดิน ซึ่งเป็นดอกประจำเดือนเกิดฉันเอง ฉันเกิดเดือนพฤษภาคม แต่ก่อนอากาศไม่ถึงขั้น 40 องศา แบบปัจจุบัน อย่างมากสุด ไม่ถึง 30 องศา ฝนก็เริ่มจะตั้งเค้าตกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่า เวลาผ่านมาไม่ถึง 20 ปี โลกมันจะวิปริตได้ถึงเพียงนี้
ถ้าหากเป็นฤดูฝน กลิ่นไอดินจะตลบอบอวลไปทั่ว นั่นมันเป็นอารมณ์ ยามต้นฤดูฝนเท่านั้น เพราะหลังจากที่ฟ้า ปล่อยให้ดินแห้งผากมาตลอดฤดูร้อน เมื่อแรกเริ่มต้นฤดู โดนฝนชโลมเข้าหน่อย จะเกิดกลิ่นดิน กลิ่นฝนขึ้นมา กบ เขียด จะพากันร้องเซ็งแซ่ ---ตัว---สารพัดตัว มันจะออกมาจากรู ตามท้องนา จะมีรูอะไรไม่รู้ เต็มไปหมด และฉันจะจัดอยู่ในพวกชอบขุดดินเป็นชีวิตจิตใจ ตอนเป็นเด็กฉันซนมาก ไม่ค่อยมีใครพาซนหรอก ซนเอง...
พอเข้ากลางฤดูฝนอย่างเต็มตัว บรรยากาศก็ครึ้มๆ ทึมๆ บางครั้งฉันนั่งมองท้องฟ้า ยามที่หม่นเศร้าไปด้วยเม็ดฝน แล้วแอบร้องไห้ มันรู้สึกเหงา...อ้างว้างจับใจเหลือเกิน ความรู้สึกที่ผิวสัมผัส ก็ไม่ได้อบอ้าวดั่งเช่นต้นฤดู เม็ดฝนที่โปรยปรายลงมา ก็ไม่ได้บ้าระห่ำ ราวกับจะ ‘ซัด’ สิ่งมีชีวิตอย่างสะอก สะใจ พายุต้นฤดูก็ไม่มีแล้ว มีแต่ฝนปรอยๆ ที่คงเม็ดเดียวกันอย่างสม่ำเสมอ เสียงสายฝนที่ตกกระทบหลังคา มันจึงเสนาะหูยิ่งนัก
ช่วงกลางฤดูฝน ฉันมักจะเพ้อเจ้อไปกับไอหมอก ที่คลุมเหนือภูเขาแต่ละลูก หลังจากที่ฝนหยุดตก มันจะหยุดๆ ตกๆ อากาศจะชื้นแบบนั้น โดยที่กว่าจะได้เห็นแสงทอง ของดวงตะวัน เล่นเอาเศร้าเป็นอาทิตย์ เวลาที่ฉันมองหมอกสีขาวโพลน บนยอดดอยสูง ฉันมักจะจินตนาการ ว่าได้ไปอยู่ ณ จุดนั้นจริงๆ แล้วนิทานปรัมปรา เกี่ยวกับเทวดา นางฟ้า สวรรค์ ก็จะผุดขึ้นมาในหัว ด้วยอากาศที่ ‘ชื้น อึมทึม’ ช่วงนี้จะมีเห็ดดินเกิดขึ้นตามทุ่งนา! Amazing มาก! สมัยนี้ไม่มีเห็ดพวกนี้แล้วหละ เพราะ...จะไปหาสภาพอากาศแบบนั้นได้จากที่ไหนเล่า
เห็ดพวกนี้ ฉันไม่รู้ว่าภาษากลางเค้าเรียกว่าอะไร เพราะมันค่อนข้างจะหายากเอาการ แต่แถวบ้าน เค้าเรียกว่า ‘เห็ดแพทย์’ มันเป็นเห็ดก้านยาว สีขาว ที่ชอบขึ้นตามท้องนา มีให้เห็นมากสุด บริเวณขอบคันนา รสชาติอร่อยมาก แถวบ้านนอกเค้าเอาต้มกับพริกชี้ฟ้ากินกัน ไม่มีขาย...ใครดีใครได้...ใครเก็บทัน ได้กิน...เพราะชาวบ้านจะรู้ว่า อากาศแบบไหนเห็ดจะออก และตามท้องทุ่งก็จะเต็มไปด้วยคน ที่แต่ละคนจะถือตะกร้าใบหนึ่ง ถือมีดด้ามหนึ่ง เพื่อปลิดเห็ดออกจากขั้วของมัน ฉันชอบออกไปเก็บเห็ดกับป้า นอกจากฉันจะชอบขุดดินแล้ว ฉันยังชอบเก็บเห็ดเป็นชีวิตจิตใจ เพราะฉะนั้น ถ้าแม่เข้ามาห้าม ฉันจะอาละวาด นอนดิ้นกับพื้นเลยทีเดียว
ตอนไปเก็บเห็ด พวกคุณรู้มั๊ย ว่าเห็ดที่เค้าไม่เก็บกัน เพราะเป็นเห็ดพิษ คือ ‘เห็ดขี้วัวขี้ควาย’ ซึ่ง...ตอนนั้นฉันไม่ได้สนใจมันเลย มาเจอมันอีกที ตอนที่เข้าสู่แวดวงยาเสพย์ติดนั่นแหละ มันไปโผล่แถบชายทะเล ในราคาราวๆ ดอกละ 1,000 ขึ้นไป ฉัน ‘ฮา’ กระจาย แถมนึกในใจว่า ‘ควาย’ ตัวไหน มันเป็นคนริเริ่มเอา ‘เห็ดเบือ’ มาขายในราคาเท่านี้เนี่ย! ผลสุดท้าย...คนที่ ‘ควาย’ ยิ่งกว่า ก็ไม่ใช่ใคร คนเสพย์นั่นแหละ! ฉันถึงกับกระทุ้งข้อศอกเบาๆ ใส่เพื่อนว่า
“เดี๋ยวฉันไปเก็บแถวบ้านฉันให้ จะเอากี่ดอก” จนแล้วจนรอด เพื่อนคนนั้นก็ไม่มีโอกาสได้มาเที่ยวบ้านฉันเลย เขาตายในปาร์ตี้อัพยาปาร์ตี้หนึ่ง มีคนบอกว่าเขาตายเพราะเสพย์ยาเกินขนาด บางคนก็บอกว่าเขา ‘หลอน’ จนเอามีดมาแทงตัวเอง แต่...ไม่ว่าใครจะว่ายังไง ในสังคมของยาเสพย์ติด ดูเหมือนว่าความตาย จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาจนคิดกันเล่นๆ ว่า ต่อไปใครจะตาย ธรรมดาจน...คนเสพย์ยา โดยเฉพาะพวกเด็กมีปัญหา ที่มีพื้นเพด้านความรู้สึกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะชอบทำร้ายตัวเอง เวลามีปัญหาอะไรมาสะกิดใจ
แน่นอนว่า...จะมีคนแย้งขึ้นมาอย่างหมั่นไส้
“ทำไมไม่ฆ่าตัวตายไปเลย!”
พวกที่ทำร้ายตัวเอง เค้าก็ไม่อยากตายหรอก แต่...เค้าทำเพียงเพื่อความสะใจ อาจจะด้วยปัญหาที่เค้าประสบ ทำให้เค้าคิดว่า ตัวเองไร้ค่าก็ได้ หรือ...ปัญหาทางด้านอารมณ์ และจิตใจ มันรุนแรง...รุนแรงจนอยากเอาอะไรคมๆ มากรีดเนื้อตัวเอง เพื่อให้ความรู้สึกทางด้านร่างกาย มันกลบร้างหักหนี้ กับความรู้สึกทางด้านจิตใจ ก็เป็นได้...คนเรามันยอมเจ็บตัว มากกว่าเจ็บใจหลายเท่านะ...
เห็ดขี้วัวขี้ควาย หรือเห็ดเมา ที่ใครๆ เค้ารู้จัก มันก็เป็นเหมือนกุญแจอีกดอก ที่ ‘คน’ สรรหาอะไรมาเยียวยาความต้องการของตน ถึงแม้จะแลกกับความทุกข์หลังเสพย์ ความเสี่ยง และอันตรายหลายอย่างจากผลสะท้อน แต่ถ้าหากมัน ‘สุข’ เพียงชั่วครู่โมงยาม ก็ยอม...นังเห็ดเมานี่ อันตรายใช่เล่นนะ ถึงขั้นเพื่อนฉันคนหนึ่ง คิดว่าตัวเองหายใจในน้ำได้ วิ่งฝ่าฝนลงทะเล ชาวบ้านวิ่งไล่จับกันเกือบไม่ทัน!
เอาเป็นว่าช่วงชีวิตที่ฉันเข้าไปพัวพันกับยา จะสาธยายให้อ่านก็แล้วกัน เพราะช่วงชีวิตที่มันสั้นๆ ความสุขเพียงชั่วข้ามคืน ที่ยาเสพย์ติดนำพาให้หลุดไปอีกโลก แต่ถ้าหากเอามาเล่า มันยาวเป็นนิยายที่ไม่รู้จะจบยังไงเลยเชียว
เมื่อถึงช่วงปลายฤดูฝน ช่วงนี้แหละเป็นจุดไคลแมกซ์ของฤดูนี้ เพราะมันกำลังจะเปลี่ยนฤดู เข้าสู่หน้าหนาว อากาศเลยเย็นจับขั้วหัวใจ ด้วยฝนที่ตกพรำๆ เกือบทุกวัน กอปรกับอากาศที่ทวีความหนาวขึ้นเรื่อยๆ แถวบ้านจะเรียกฝนแบบนี้ว่า ‘ฝนเย็น’ ซึ่ง...เด็กที่เกิดสมัยนี้ ไม่มีบุญได้สัมผัสแล้วหละ เพราะ...ทุกวันนี้ แม้แต่ฝนธรรมดา ก็แทบจะเอาแมวบริสุทธิ์ 100 ตัวมาแห่ขอกันแล้ว! ด้วยความที่ฉันเป็นพวก เจริญเติบโตได้ดีในความเย็น จึงมีความสุขในช่วงนี้เป็นพิเศษ ชนิดที่ใส่เสื้อกันหนาวตัวหนาแท้ๆ แต่ไปนอนยิ้มที่แคร่หน้าบ้านคนเดียว ปล่อยให้ ‘ลมลู่ฝน’ ที่เย็นสะท้านรูขุมขน สัมผัสร่างกายไปอย่างมีความสุข
ช่วงฤดูนี้ไม่มีอะไรให้ดูในท้องทุ่ง นอกจากปูนาตัวสีดำๆ ฉันจะได้กินมันปูก็ช่วงนี้แหละ นอกนั้นที่ฤดูนี้ให้ก็คือ สุนทรีย์ศิลป์ทางด้านอารมณ์ ที่จะว่าเหงาก็ไม่ใช่ แต่ถ้าใครมีคู่ จะกอดกันอุ่นในช่วงนี้มาก ส่วนคนไม่มีคู่นี่ ก็ไม่อยากออกจากผ้าห่มไปหาคู่ที่ไหนเลย
พอเข้าหน้าหนาว หมอกสีขาวที่คลุมรอบกาย พร้อมกับกลิ่นไอแห่งฤดู ทำให้ฉันกระปรี้กระเปร่า แสงอาทิตย์ที่เริ่มจะสาดรำไร ปลุกฉันให้ตื่นขึ้นมาปฏิบัติภารกิจ ‘ขุดดิน!’ ทั้งๆ ที่ในชีวิตนี้ก็ไม่เคยขุดเจออะไรเลย แต่ที่ฉันชอบ เพราะมันลุ้น---ลุ้นว่าจะเจออะไรนี่หละ แม่กับพ่อไม่ชอบให้ไปขุดดินหรอก เพราะกลัวเจองูฉก แต่ฉันก็แอบไปตามเคย เพราะช่วงเช้าๆ ที่แม่มักจะง่วนอยู่กับการทำกับข้าว และพ่อก็จะออกไปจัดการกับฟาร์มหมู และบ่อปลาของตัวเอง
มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ฉันได้ออกไป ‘ผจญภัย’ ในทุ่งนากว้าง กับหมาอีกตัวชื่อ ‘ไอ้แบล็ค’ มันจะตามฉันไปทุกที่ เหมือนไปอารักขา ดอกหญ้าหน้าหนาว เป็นพู่สีน้ำตาลแก่ สูงเกือบเท่าตัว มันทำให้วัยนั้นฉันมองว่าโลกนี้งามนัก บ้างก็เป็นพู่หางกระรอก สีขาวล้วน แต่ชนิดนี้จะเป็นต้นเตี้ยๆ กรีดกว้างเป็นแนวยาว สวยเหมือนตกอยู่ภวังค์ฝัน และไหนจะดอกหญ้า ชนิดที่เตี้ยต่ำติดดินอีกเล่า...มันบันดาลให้พื้นดินเป็นสีเหลืองบ้าง ม่วงบ้าง แดงบ้าง และยิ่งตามขอบคันนา ที่มองเลยไปอีกนิด จะเจอร่องน้ำ ก่อนถึงต้นข้าว ชาวบ้านเค้าจะแซะร่องน้ำไว้ เพื่อจุดประสงค์ใด มิอาจทราบได้ รู้แต่ว่า ร่องน้ำที่มีน้ำใสๆ ไหลไปเป็นแนวยาว มีปลาตัวเล็กๆ ว่ายเป็นกลุ่มๆ มันทำให้ฉันนึกถึงลำธารในนิทาน ที่รอบลำธารจะเต็มไปด้วยดอกไม้ ราวกับจะผุดขึ้นมาต้อนรับการไหลผ่านของลำน้ำประมาณนั้น
ฉันมักจะเก็บดอกหญ้าจิ๋วๆ เหล่านั้นมาใส่ขวดโหล บ้างก็คิดเลยเถิดไปถึงขั้นว่า ‘สวยขนาดนี้ ทำไมใครเขาไม่เห็นค่า’ ฉันเป็นพวก ‘คลั่ง’ ดอกหญ้าทุกชนิด มันสวยนะ...มันสวยราวกับจะรู้ตัวว่ามันเกิดมาจากหญ้า จึงต้องสวยให้มากๆ ให้มันเตะตาเข้าไว้ ใครๆ จะได้หันมามองบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่เลย...คนส่วนใหญ่เขาไปให้ความสำคัญกับดอกไม้ที่ปลูกยากๆ ราคาแพงๆ นู่น ไม่มีใคร ‘บ้า’ เก็บมันมาขึ้นหิ้งแบบฉันหรอก
พอเวลาเริ่มจะ---ล่วง---ดอกหญ้าก็---โรยรา สายลมที่เปลี่ยนทิศ ก็แปรไป จากที่เคยหอบเอากลิ่นไอความชุ่มฉ่ำมอบให้หน้าหนาว ให้---อะไร---อิ่มเนื้อ นวลน้ำ เมื่อถึงช่วงปลาย สายลมก็พัดเอาแต่ความแล้งเข้ามา รอบกายจะเงียบสนิท ฉันคิดเสมอว่าที่ปลายหน้าหนาว บรรยากาศรอบกายจะเงียบ ลมแล้งที่พัดโกรกมาก็หวีดหวิว ราวกับเสียงร้องร่ำหาสิ่งใด เพราะว่าธรรมชาติต้องการจะ ‘ไว้อาลัย’ ให้กับฤดูทั้ง 3 ที่ตายจากไป
ฤดูนี้ไม่มีอะไรให้ฉัน ‘ดี๊ด๊า’ นอกจากจะไปนั่งทำหน้าซึมๆ ใต้ต้นดอกแค ที่ออกดอกสีขาวโพลนเต็มต้น มองใบไม้หล่นลงมาจากต้น แล้วก็ ‘จิตตก’ ฤดูนี้มันเหงาเหมือนๆ กับช่วงกลางฤดูฝน แต่มันจะเหงาคนละอารมณ์กัน ช่วงกลางฤดูฝน มันจะเหงาแบบ ‘หม่น ซึม เศร้า’ มองไปทางไหนก็อยากร้องไห้ ส่วนอารมณ์ในช่วงปลายหน้าหนาว มันจะเหงาแบบ ‘อ้างว้าง’ เหมือนโดนทิ้งให้อยู่คนเดียวในโลก น้ำตาหรือ...ก็เหือดแห้ง ด้วยไม่สามารถไหลออกมาชะล้างใดๆ ได้อีก มันเหงาลึก...มองไปทางไหนก็ไม่จรรโลงใจ ฉันจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง ก็ช่วงนี้แหละ!
เพ้อจริง!...ให้ตายเถอะ! นี่ตอนแรกกะว่าจะเล่าถึงเรื่องโดดเรียนต่อ เอาไปเอามา ฤดูทั้งสามมันมาจากไหน!!! คนอ่านอันเป็นที่รัก จะว่าคนเขียนบ้าก็ไม่โกรธนะคะ เพราะขนาดตัวเอง ย้อนขึ้นไปอ่าน ยัง...(ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)...เลยคะ แต่ทั้งหมดที่ ‘พล่าม’ มา เป็นความรู้สึกจากใจจริงๆ นะ
RA-EL