::: ขาดศรัทธาเสียอย่างเดียวไม่มีอะไรเหลือเลย :::
"... เราปฏิบัติมาๆ กี่ปีๆ มันล้าหลังๆ มันไม่คืบหน้าไม่เกิดอะไร นั่งแล้วก็สงบ บางทีก็ไม่สงบก็ไม่ทราบว่าอะไร นั่นแหละเพราะหลงอยู่แค่ตรงนั้น มันไม่ไปไหนเลย ไปอยู่แค่ตรงนั้นน่ะ บื้อๆ ตื้อๆ สุดท้ายก็เคว้งคว้าง ภาวนาอะไรก็ไม่ได้อะไรเกิดขึ้นเลย สามปี สี่ปี ห้าปี สิบปี ก็ไม่ได้ประโยชน์ ธรรมของพระพุทธเจ้านี่เป็นของรวดเร็วจริงๆ เมื่อปฏิบัติถูก ถ้าปฏิบัติไม่ถูกมันก็จะเนิ่นช้าอยู่อย่างนี้ ไม่เกิดผล ฉะนั้นการภาวนาจะต้องรู้ว่าเราภาวนาเพื่ออะไร แล้วการภาวนาของเรานั้นมีกำลังใจอย่างไรในการภาวนาครั้งๆ หนึ่ง ความศรัทธามีมั้ย? นี่ให้ดู นั่งด้วยไม่มีความศรัทธา นั่งไปมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร คือต้องมีความศรัทธาความเชื่อ ความศรัทธาความเชื่อ เชื่อในความจริง ความจริงคืออะไร? บาปบุญคุณโทษมีจริง สวรรค์นรกมีจริง พรหมนิพพานมีจริง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นของจริง การปฏิบัติย่อมมีผลจริง การมีผลจริงอันอย่างนี้แหละเราเชื่ออันนี้เรียกว่า "ศรัทธา" ความศรัทธานี้เป็นความสำคัญมาก เพราะว่าขาดความศรัทธาเสียอย่างเดียวทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือเลย จะเป็นทางโลกก็ตาม ทางธรรมก็ตาม ย่อมเสื่อมและ
ลงไปตามลำดับๆ ของมัน เพราะอาศัยคือ อศรัทธา คือความไม่มีความศรัทธาในความเป็นจริงนั้นๆ เอง เป็นแบบนี้นะ
เราก็ต้องตั้งความศรัทธาขึ้นในใจของเรา นี่ไม่ใช่ของเล่นๆ นะ ความศรัทธานี่เป็นของใหญ่โตมาก เราจะไปมองเอามรรคผลนิพพานกัน แต่ว่าพื้นธรรมไม่มีเลย ฐานของธรรมไม่มีเลย คือได้แก่ความศรัทธานี้แหละ แล้วความศรัทธานี้ก็เป็นมรรคด้วย ไม่ใช่ความศรัทธาพื้นๆ ธรรมดา หรือเป็นมรรค ได้แก่อะไร สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว เป็นความเชื่อตามความเป็นจริง แล้วเราจะไม่พูดชั่ว ไม่ทำชั่ว ไม่ประกอบอาชีพชั่ว เพราะเราเชื่อว่าบาปบุญคุณโทษมีจริง สวรรค์นรกมีจริง พรหมนิพพานมีจริง บุญคุณพ่อแม่เป็นของมีจริง คำสอนของพระพุทธเจ้าจริงทุกอันหมด ไม่มีบาทบทใดหรือข้อวรรคตอนใดจะผิดจากความเป็นจริงหรือเรียกว่าโกหกเลย ไม่มี ธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหมดเลยเป็นของจริงทั้งสิ้น จะเอาธรรมข้อใด บาทบทใด มาประพฤติปฏิบัติย่อมเห็นผลเช่นกัน เพราะธรรมทุกขั้นทุกตอนนั้นเป็นเหมือนกับบริวารของความเป็นผู้ที่ถึงความพ้นไปจากความทุกข์ได้แก่ไปถึงวุิมุติหลุดพ้นนั้นเอง..."
ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา เรื่อง ความศรัทธาเป็นฐานของธรรม
โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน
::: ขาดศรัทธาเสียอย่างเดียวไม่มีอะไรเหลือเลย ::: โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน
::: ขาดศรัทธาเสียอย่างเดียวไม่มีอะไรเหลือเลย :::
"... เราปฏิบัติมาๆ กี่ปีๆ มันล้าหลังๆ มันไม่คืบหน้าไม่เกิดอะไร นั่งแล้วก็สงบ บางทีก็ไม่สงบก็ไม่ทราบว่าอะไร นั่นแหละเพราะหลงอยู่แค่ตรงนั้น มันไม่ไปไหนเลย ไปอยู่แค่ตรงนั้นน่ะ บื้อๆ ตื้อๆ สุดท้ายก็เคว้งคว้าง ภาวนาอะไรก็ไม่ได้อะไรเกิดขึ้นเลย สามปี สี่ปี ห้าปี สิบปี ก็ไม่ได้ประโยชน์ ธรรมของพระพุทธเจ้านี่เป็นของรวดเร็วจริงๆ เมื่อปฏิบัติถูก ถ้าปฏิบัติไม่ถูกมันก็จะเนิ่นช้าอยู่อย่างนี้ ไม่เกิดผล ฉะนั้นการภาวนาจะต้องรู้ว่าเราภาวนาเพื่ออะไร แล้วการภาวนาของเรานั้นมีกำลังใจอย่างไรในการภาวนาครั้งๆ หนึ่ง ความศรัทธามีมั้ย? นี่ให้ดู นั่งด้วยไม่มีความศรัทธา นั่งไปมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร คือต้องมีความศรัทธาความเชื่อ ความศรัทธาความเชื่อ เชื่อในความจริง ความจริงคืออะไร? บาปบุญคุณโทษมีจริง สวรรค์นรกมีจริง พรหมนิพพานมีจริง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นของจริง การปฏิบัติย่อมมีผลจริง การมีผลจริงอันอย่างนี้แหละเราเชื่ออันนี้เรียกว่า "ศรัทธา" ความศรัทธานี้เป็นความสำคัญมาก เพราะว่าขาดความศรัทธาเสียอย่างเดียวทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือเลย จะเป็นทางโลกก็ตาม ทางธรรมก็ตาม ย่อมเสื่อมและลงไปตามลำดับๆ ของมัน เพราะอาศัยคือ อศรัทธา คือความไม่มีความศรัทธาในความเป็นจริงนั้นๆ เอง เป็นแบบนี้นะ
เราก็ต้องตั้งความศรัทธาขึ้นในใจของเรา นี่ไม่ใช่ของเล่นๆ นะ ความศรัทธานี่เป็นของใหญ่โตมาก เราจะไปมองเอามรรคผลนิพพานกัน แต่ว่าพื้นธรรมไม่มีเลย ฐานของธรรมไม่มีเลย คือได้แก่ความศรัทธานี้แหละ แล้วความศรัทธานี้ก็เป็นมรรคด้วย ไม่ใช่ความศรัทธาพื้นๆ ธรรมดา หรือเป็นมรรค ได้แก่อะไร สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว เป็นความเชื่อตามความเป็นจริง แล้วเราจะไม่พูดชั่ว ไม่ทำชั่ว ไม่ประกอบอาชีพชั่ว เพราะเราเชื่อว่าบาปบุญคุณโทษมีจริง สวรรค์นรกมีจริง พรหมนิพพานมีจริง บุญคุณพ่อแม่เป็นของมีจริง คำสอนของพระพุทธเจ้าจริงทุกอันหมด ไม่มีบาทบทใดหรือข้อวรรคตอนใดจะผิดจากความเป็นจริงหรือเรียกว่าโกหกเลย ไม่มี ธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหมดเลยเป็นของจริงทั้งสิ้น จะเอาธรรมข้อใด บาทบทใด มาประพฤติปฏิบัติย่อมเห็นผลเช่นกัน เพราะธรรมทุกขั้นทุกตอนนั้นเป็นเหมือนกับบริวารของความเป็นผู้ที่ถึงความพ้นไปจากความทุกข์ได้แก่ไปถึงวุิมุติหลุดพ้นนั้นเอง..."
ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา เรื่อง ความศรัทธาเป็นฐานของธรรม
โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน