สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
ขอกราบเรียนด้วยความสัตย์จริงว่า เรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริงกับครอบครัวดิฉัน และน้องชายของดิฉันเอง และเหตุผลที่ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้มาเล่าให้ฟังนั้น มีจุดประสงค์หลักด้วยกันสองประการคือ
หนึ่ง อยากฝากเรื่องราวนี้เป็นอุทธาหรณ์เตือนใจ ให้แก่ครอบครัวท่านอื่นๆ ที่คิดจะพาบุตรหลาน พี่น้องขอท่านไปบวชเรียน ว่าไม่ได้มีแต่ด้านดีอย่างเดียวเท่านั้น อาจจะมีผลพวงด้านที่ท่านไม่คาดคิดคาดฝันตามมาเหมือนที่ครอบครัวดิฉันประสบมาเช่นกัน
สอง ก่อนจะนำลูกหลานของท่านไปบวชเรียนที่ไหน โปรดศึกษา และตรวจสอบสถานที่ที่จะนำบุตรหลานของท่านไปให้ดีเสียก่อน สอบถามให้ถ่องแท้ ตรวจสอบโปรแกรมให้ถี่ถ้วน และอย่างวางใจ มั่นใจเต็มร้อย และโปรดพิจารณาว่า ถึงจะเป็นลูกชายก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยจากการถูกโน้มน้าว ชักจูง หรือคุกคามทางเพศ
สาม พิจารณาเด็กในปกครองของท่านก่อนว่ามีความพร้อม และมีวุฒิภาวะมากพอที่จะดูแลตัวเอง และไม่คล้อยตามสภาวะแวดล้อม หรือการชักจูงจากคนรอบข้างได้ดีเพียงใด ก่อนจะให้เขาไปดูแลรับผิดชอบตัวเอง หรือฝากให้บุคคลอื่นดูแล และอย่าประมาทถึงจะเป็นการห่างเพียงช่วงสั้นๆ
ดิฉันเคยเขียนกระทู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับน้องชายดิฉันลงในพันทิปไปรอบหนึ่ง เพื่อขอคำปรึกษาและแนะนำจากผู้ที่อาจเคยมีประสบการณ์ หรือผู้ที่สามารถแนะนำให้หนทางแก้ไขได้ (ตามกระทู้นี้ http://ppantip.com/topic/30387381 )
มีหลายๆท่าน แนะนำให้โพสเฟสบุ๊คของพระอาจารย์รูปนั้น เพื่อเอาผิด และเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่เมื่อดิฉันได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ ทั้งก็กังวล และกลัว...ไม่ทราบว่าพระรูปนั้นมีอิทธิพล หรือมีแบ๊คอัพแค่ไหน (เท่าที่รับรู้จากเจ้าตัว ว่าเป็นรองเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดๆหนึ่งในเชียงราย) ดิฉันและครอบครัวเป็นแค่คนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ไม่ได้ยิ่งใหญ่ หรือรู้จักคนใหญ่คนโตอะไร จึงกลัวว่าถ้าโพสรูปหรือ บอกเฟสของพระรูปนั้นลงไป อาจจะมีผลเสียกับตนเอง จึงได้แต่หวังว่าผลของกรรม จะตัดสินอย่างถูกต้องเอง
ดิฉันและครอบครัวนับถือพระพุทธศาสนา และยึดถือพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสมอมา เข้าวัดเข้าวาและทำกิจกรรมทางศาสนาสม่ำเสมอ ดิฉันตักบาตรทุกเช้า สวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญสม่ำเสมอ ก็ได้แต่หวังว่าผลบุญ และกุศลจิตที่ดี ที่เคยทำมาตลอด จะทำให้เรื่องราวร้ายๆที่เกิดขึ้นจะผ่านพ้นไปด้วยดี
และดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทเรียนของครอบครัวดิฉัน จะเป็นเครื่องเตือนใจ และประกอบการตัดสินใจของท่านอื่นๆ ไม่ให้ผิดพลาดอย่างเช่นครอบครัวของดิฉัน ดิฉันไม่ได้บอกกล่าวห้ามปรามให้เด็กบวชเรียน แต่อยากให้ผู้ปกครองตรวจสอบและหาข้อมูลให้ถ่องแท้ ก่อนจะตัดสินใจฝากฝังลูกหลานที่รักของท่านให้กับที่ไหน
หากจะกรุณา ก็โปรดช่วยเผยแพร่ และบอกเล่าข้อมูลเรื่องราวเหล่านี้ เพื่อป้องกัน และระมัดระวังดูแลลูกหลาน พี่น้องของทุกท่านต่อไปค่ะ
ด้วยความนับถือ
หนึ่ง อยากฝากเรื่องราวนี้เป็นอุทธาหรณ์เตือนใจ ให้แก่ครอบครัวท่านอื่นๆ ที่คิดจะพาบุตรหลาน พี่น้องขอท่านไปบวชเรียน ว่าไม่ได้มีแต่ด้านดีอย่างเดียวเท่านั้น อาจจะมีผลพวงด้านที่ท่านไม่คาดคิดคาดฝันตามมาเหมือนที่ครอบครัวดิฉันประสบมาเช่นกัน
สอง ก่อนจะนำลูกหลานของท่านไปบวชเรียนที่ไหน โปรดศึกษา และตรวจสอบสถานที่ที่จะนำบุตรหลานของท่านไปให้ดีเสียก่อน สอบถามให้ถ่องแท้ ตรวจสอบโปรแกรมให้ถี่ถ้วน และอย่างวางใจ มั่นใจเต็มร้อย และโปรดพิจารณาว่า ถึงจะเป็นลูกชายก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยจากการถูกโน้มน้าว ชักจูง หรือคุกคามทางเพศ
สาม พิจารณาเด็กในปกครองของท่านก่อนว่ามีความพร้อม และมีวุฒิภาวะมากพอที่จะดูแลตัวเอง และไม่คล้อยตามสภาวะแวดล้อม หรือการชักจูงจากคนรอบข้างได้ดีเพียงใด ก่อนจะให้เขาไปดูแลรับผิดชอบตัวเอง หรือฝากให้บุคคลอื่นดูแล และอย่าประมาทถึงจะเป็นการห่างเพียงช่วงสั้นๆ
ดิฉันเคยเขียนกระทู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับน้องชายดิฉันลงในพันทิปไปรอบหนึ่ง เพื่อขอคำปรึกษาและแนะนำจากผู้ที่อาจเคยมีประสบการณ์ หรือผู้ที่สามารถแนะนำให้หนทางแก้ไขได้ (ตามกระทู้นี้ http://ppantip.com/topic/30387381 )
มีหลายๆท่าน แนะนำให้โพสเฟสบุ๊คของพระอาจารย์รูปนั้น เพื่อเอาผิด และเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่เมื่อดิฉันได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ ทั้งก็กังวล และกลัว...ไม่ทราบว่าพระรูปนั้นมีอิทธิพล หรือมีแบ๊คอัพแค่ไหน (เท่าที่รับรู้จากเจ้าตัว ว่าเป็นรองเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดๆหนึ่งในเชียงราย) ดิฉันและครอบครัวเป็นแค่คนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ไม่ได้ยิ่งใหญ่ หรือรู้จักคนใหญ่คนโตอะไร จึงกลัวว่าถ้าโพสรูปหรือ บอกเฟสของพระรูปนั้นลงไป อาจจะมีผลเสียกับตนเอง จึงได้แต่หวังว่าผลของกรรม จะตัดสินอย่างถูกต้องเอง
ดิฉันและครอบครัวนับถือพระพุทธศาสนา และยึดถือพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสมอมา เข้าวัดเข้าวาและทำกิจกรรมทางศาสนาสม่ำเสมอ ดิฉันตักบาตรทุกเช้า สวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญสม่ำเสมอ ก็ได้แต่หวังว่าผลบุญ และกุศลจิตที่ดี ที่เคยทำมาตลอด จะทำให้เรื่องราวร้ายๆที่เกิดขึ้นจะผ่านพ้นไปด้วยดี
และดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทเรียนของครอบครัวดิฉัน จะเป็นเครื่องเตือนใจ และประกอบการตัดสินใจของท่านอื่นๆ ไม่ให้ผิดพลาดอย่างเช่นครอบครัวของดิฉัน ดิฉันไม่ได้บอกกล่าวห้ามปรามให้เด็กบวชเรียน แต่อยากให้ผู้ปกครองตรวจสอบและหาข้อมูลให้ถ่องแท้ ก่อนจะตัดสินใจฝากฝังลูกหลานที่รักของท่านให้กับที่ไหน
หากจะกรุณา ก็โปรดช่วยเผยแพร่ และบอกเล่าข้อมูลเรื่องราวเหล่านี้ เพื่อป้องกัน และระมัดระวังดูแลลูกหลาน พี่น้องของทุกท่านต่อไปค่ะ
ด้วยความนับถือ
ความคิดเห็นที่ 16
ลองเด็กไกลบ้าน เหงา ขาดความอบอุ่น พอมีคนมาเอาใจ มากอด มาหอม ให้ความรัก จะเหลือเหรอครับ ยิ่งเด็กวัย 12 นี่โหยหาความรัก ความใคร่ เพราะฮอร์โมนที่กระตุ้นร่างกายให้เปลี่ยนแปลงมีมากกว่า 20 เท่าของผู้ใหญ่ แค่โดนกอด หรือโดนกระตุ้นนิดหน่อย ก็มองไม่เห็นผิดถูกแล้วครับ
แสดงว่าอยู่บ้านพ่อแม่คงไม่ค่อยได้กอด ได้แสดงความรักโดยการสัมผัส นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ของการเลี้ยงเด็กเลย ที่คิดว่าเป็นเด็กวัยรุ่นโตแล้วคงไม่ชอบให้กอด หรือไม่เหมาะสมเพราะกลัวจะเป็นเรื่องเพศไป เด็กวัย 12-15 นี่ล่ะโหยหาการสัมผัสจากการกอดมากที่สุด
ตอนผมบวชพระนี่ ขนาดวัดดังมีชื่อเสียง มีคนนับถือทั่วโลก(ย้ำ ทั่วโลกจริงๆ) เจ้าอาวาสตอนนั้นก็ชั้นเทพ (ตอนนี้ได้ชั้นธรรมแล้ว) ตอนไปกุฏิเจ้าอาวาส นี่ฮาเร็มเด็กชัดๆ เห็นน้องเณรหน้าตาดี นั่งตักเจ้าอาวาส โดนกอดโดนหอมจะๆตาแต่ทำอะไรก็ไม่ได้
ผมพูดไปใครเขาจะเชื่อล่ะ ระหว่างพระนวกะ บวชแค่ไม่กี่วัน กับพระเถระชั้นเทพ ยิ่งน้องเณร หลายๆรูป ที่นอนอยู่ด้วยกันในกุฏิเจ้าอาวาส เป็นเด็กที่ยากจนได้รับการส่งเสียเลี้ยงดูจากเจ้าอาวาสแล้ว คงไม่มีใครเป็นพยานให้ผมหรอก
ทำให้เรารู้ว่าที่แท้จริงแล้ว จะอยู่ในหรือนอกวัด ก็ไม่ต่างกันถ้าจะประพฤติธรรม หรือจะประพฤติทราม
ที่น่าเสียใจที่สุดคือพ่อแม่สมัยนี้มักจะหลงผิด ฝากให้คนอื่นดูแลสั่งสอนลูกตัวเองทั้งๆที่ตัวเองนั้นแหละ ดีที่สุดแล้วที่จะเป็นครูให้ลูก
จขกท. ครับ สิ่งที่จะแก้ไขน้องเขาได้มีอย่างเดียวคือให้ความรัก เท่านั้น ไม่ใช่แค่บอกว่ารักใครๆก็พูดได้ พ่อกับเแม่ต้องแสดงให้เขาเห็นว่ารักจริงๆ การกอดเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ ต่อให้จิตแพทย์ที่ไหนกี่รายก็ช่วยไม่ได้ ถ้าตราบใดที่ไม่มีคนแสดงความรักความอบอุ่นให้แก่น้องชดเชยในสิ่งที่เขาเสียไป
พาไปเที่ยว หรือของเล่นก็เป็นแค่วัตถุภายนอก ไม่ได้รักษาที่จิตใจ เพราะตอนนี้น้องเขาก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่อกหัก จากรักแรกแบบ puppy love
ยิ่งไปต่อว่า หรือ ใช้ความรุนแรง จะให้ผลตรงข้าม เขาจะยิ่งเห็นว่าเขาอยู่กับพระอาจารย์ ที่อ่อนโยนกับเขาดีกว่าพ่อแม่ที่ดุด่าว่ากล่าว
พ่อแม่จะกลายเป็นผู้ร้าย พระอาจารย์จะกลายเป็นพระเอกทันที
เรื่องนี้ใช้เหตุผลคุยกับเด็ก เด็กเขาไม่เข้าใจหรอกครับ เพราะเป็นเรื่องของอารมณ์ ต้องใช้อารมณ์ความรักความเข้าใจกับเขาในการเยียวยา
แค่คุณแม่หรือคุณพ่อกอดลูกชาย แล้วปล่อยให้เขาร้องไห้จนพอใจ นั่งรับฟังความคิดของเขาตรงๆ ยอมรับเขาในสิ่งทีเขาเป็น เด็กวัยนี้ ยังตอบไม่ได้ชัดเจนหรอกครับว่าเขาเบี่ยงเบนหรือไม่ เป็นวัยที่เขากำลังค้นหาตัวเอง จนขึ้นม.ปลายล่ะครับ เขาถึงจะตัดสินใจได้ว่าตัวเองเป็นแบบไหน
วัยม.ต้นนี่บางทีเด็กชายที่เป็นชายแท้ๆ ก็ทดลองมีอะไรกับเพื่อนชายด้วยกันเหมือนกัน (Fooling around) ไม่ใช่ว่าจะเบี่ยงเบนแต่เป็นธรรมชาติของเด็กที่สงสัย ค้นหา และเรียนรู้ ในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยรู้จัก อย่าพึ่งไปตัดสินน้องเขานะครับ
การหักหาญ หรือหักดิบ ปิดหูปิดตาไม่ได้ช่วยอะไร ทางที่ดีนั่งคุยแบบเปิดอกและยอมรับกันดีกว่า
(จากครูแนะแนว)
แสดงว่าอยู่บ้านพ่อแม่คงไม่ค่อยได้กอด ได้แสดงความรักโดยการสัมผัส นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ของการเลี้ยงเด็กเลย ที่คิดว่าเป็นเด็กวัยรุ่นโตแล้วคงไม่ชอบให้กอด หรือไม่เหมาะสมเพราะกลัวจะเป็นเรื่องเพศไป เด็กวัย 12-15 นี่ล่ะโหยหาการสัมผัสจากการกอดมากที่สุด
ตอนผมบวชพระนี่ ขนาดวัดดังมีชื่อเสียง มีคนนับถือทั่วโลก(ย้ำ ทั่วโลกจริงๆ) เจ้าอาวาสตอนนั้นก็ชั้นเทพ (ตอนนี้ได้ชั้นธรรมแล้ว) ตอนไปกุฏิเจ้าอาวาส นี่ฮาเร็มเด็กชัดๆ เห็นน้องเณรหน้าตาดี นั่งตักเจ้าอาวาส โดนกอดโดนหอมจะๆตาแต่ทำอะไรก็ไม่ได้
ผมพูดไปใครเขาจะเชื่อล่ะ ระหว่างพระนวกะ บวชแค่ไม่กี่วัน กับพระเถระชั้นเทพ ยิ่งน้องเณร หลายๆรูป ที่นอนอยู่ด้วยกันในกุฏิเจ้าอาวาส เป็นเด็กที่ยากจนได้รับการส่งเสียเลี้ยงดูจากเจ้าอาวาสแล้ว คงไม่มีใครเป็นพยานให้ผมหรอก
ทำให้เรารู้ว่าที่แท้จริงแล้ว จะอยู่ในหรือนอกวัด ก็ไม่ต่างกันถ้าจะประพฤติธรรม หรือจะประพฤติทราม
ที่น่าเสียใจที่สุดคือพ่อแม่สมัยนี้มักจะหลงผิด ฝากให้คนอื่นดูแลสั่งสอนลูกตัวเองทั้งๆที่ตัวเองนั้นแหละ ดีที่สุดแล้วที่จะเป็นครูให้ลูก
จขกท. ครับ สิ่งที่จะแก้ไขน้องเขาได้มีอย่างเดียวคือให้ความรัก เท่านั้น ไม่ใช่แค่บอกว่ารักใครๆก็พูดได้ พ่อกับเแม่ต้องแสดงให้เขาเห็นว่ารักจริงๆ การกอดเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ ต่อให้จิตแพทย์ที่ไหนกี่รายก็ช่วยไม่ได้ ถ้าตราบใดที่ไม่มีคนแสดงความรักความอบอุ่นให้แก่น้องชดเชยในสิ่งที่เขาเสียไป
พาไปเที่ยว หรือของเล่นก็เป็นแค่วัตถุภายนอก ไม่ได้รักษาที่จิตใจ เพราะตอนนี้น้องเขาก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่อกหัก จากรักแรกแบบ puppy love
ยิ่งไปต่อว่า หรือ ใช้ความรุนแรง จะให้ผลตรงข้าม เขาจะยิ่งเห็นว่าเขาอยู่กับพระอาจารย์ ที่อ่อนโยนกับเขาดีกว่าพ่อแม่ที่ดุด่าว่ากล่าว
พ่อแม่จะกลายเป็นผู้ร้าย พระอาจารย์จะกลายเป็นพระเอกทันที
เรื่องนี้ใช้เหตุผลคุยกับเด็ก เด็กเขาไม่เข้าใจหรอกครับ เพราะเป็นเรื่องของอารมณ์ ต้องใช้อารมณ์ความรักความเข้าใจกับเขาในการเยียวยา
แค่คุณแม่หรือคุณพ่อกอดลูกชาย แล้วปล่อยให้เขาร้องไห้จนพอใจ นั่งรับฟังความคิดของเขาตรงๆ ยอมรับเขาในสิ่งทีเขาเป็น เด็กวัยนี้ ยังตอบไม่ได้ชัดเจนหรอกครับว่าเขาเบี่ยงเบนหรือไม่ เป็นวัยที่เขากำลังค้นหาตัวเอง จนขึ้นม.ปลายล่ะครับ เขาถึงจะตัดสินใจได้ว่าตัวเองเป็นแบบไหน
วัยม.ต้นนี่บางทีเด็กชายที่เป็นชายแท้ๆ ก็ทดลองมีอะไรกับเพื่อนชายด้วยกันเหมือนกัน (Fooling around) ไม่ใช่ว่าจะเบี่ยงเบนแต่เป็นธรรมชาติของเด็กที่สงสัย ค้นหา และเรียนรู้ ในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยรู้จัก อย่าพึ่งไปตัดสินน้องเขานะครับ
การหักหาญ หรือหักดิบ ปิดหูปิดตาไม่ได้ช่วยอะไร ทางที่ดีนั่งคุยแบบเปิดอกและยอมรับกันดีกว่า
(จากครูแนะแนว)
ความคิดเห็นที่ 1
นอกจากประเด็นในเรื่องของการติดพระอาจารย์รูปนั้นจนเกินพอดี และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ดูน่าสงสัยและน่าหนักใจ ยังมีอีกประเด็นคือ...ทำไมถึงอยากกลับไปบวช? และที่สำคัญคือทำไมต้องไปบวชที่วัดนั้นเท่านั้น
ดิฉันและครอบครัวจึงลองตะล่อมถามข้อมูลว่าตอนเขาบวชที่วัดนั้น เขาทำอะไรบ้างใช้ชีวิตประจำวันอย่างไร
ก็ได้รับข้อมูลมาว่า เขาตื่นนอนประมาณ 7 โมงเช้า ดิฉันก็สงสัยถามไปว่าทำไมตื่นสาย ไม่ต้องไปบิณฑบาตเหรอ ก็ได้รับคำตอบว่าที่วัดนี้ไม่เคร่ง ไม่ต้องไปบิณฑบาตทุกวันก็ได้?? อีกทั้งตอนฉันเพล พระอาจารย์ก็พาออกไปกินร้านอาหารแถววัด ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ น้องบอกน้องฉันเย็นด้วย โดยเล่าว่า พระอาจารย์บอกว่าสำหรับเณรไม่เข้มงวด ฉันได้ไม่เป็นไร และไม่สบายฉันเณรได้ไม่ผิด???!!! ตอนเย็น ก็ดูทีวี เล่นเกมส์ได้ แถมมีพาไปเล่นน้ำด้วย ...ดิฉันยิ่งปวดหัวหนัก ถามว่า เป็นเณรเล่นน้ำกระโดดน้ำได้เหรอ น้องก็บอกพระอาจารย์บอกเล่นได้ นุ่งสบงเล่น ระหว่างอยู่ที่นั่นก็มีพาไปเที่ยวที่นั่น ที่นี่ น้องบอกอยู่แล้วมีความสุขมาก
ยิ่งฟัง ก็ยิ่งหนักใจ
จากพฤติกรรมที่ได้รับฟัง ยิ่งรู้สึกว่า น้องเราไม่ได้ไปบวชเพื่อเรียนรู้ทำ แต่แค่ไปเป็นเด็กเล่นห่มผ้าเหลืองเท่านั้น
ซ้ำร้าย ยังรับรู้ และเข้าใจข้อมูลที่ผิดๆ
ดิฉันถามน้องชายว่า ทำไมถึงอยากบวช และบอกเขาว่า ตัวเขาเป็นลูกชายคนเดียว ถ้าอีกหน่อยแม่แก่เฒ่า ทำงานไม่ไหว ใครจะดูแล อีกหน่อยเกิดพี่สาวแต่งงานไป ก็ต้องดูแลทางฝั่งสามี ใครจะช่วยส่งเสียเลี้ยงดูแม่ เป็นพระจะมาดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย หรือมาดูแลแม่ตอนเจ็บได้เหรอ
น้องบอกว่า ตอนเขาอยู่ที่วัด ไปบิณฑบาตก็ได้ตังส์ อย่างต่ำก็ร้อยถึงสองร้อย แถมไปเรียนบวชเณรที่นั่นก็ไม่เสียค่าเล่าเรียน แถมมีทุนสำหรับสามเณรและพระ ให้เรียนจนจบปริญญา อาหารก็มีคนถวาย เขาจะเก็บรวบรวมเงิน แล้วส่งกลับมาให้ทางบ้านได้!!??? น้องบอกพระก็มีงานให้ทำได้!!??
ท่านคิดว่าเด็กอายุ 12 เอาข้อมูลเหล่านี้มากจากไหน คิดได้เองหรือ??
ตอนที่อยู่ที่บ้าน ดิฉันและครอบครัวสอนและปลูกฝังน้องเสมอให้รู้จักประหยัด เขาได้เงินค่าขนมไปโรงเรียนประมาณ 40 -50 บาท ไม่รวมค่าเดินทางไปโรงเรียน และไม่ตามใจน้องมากจนเกินไป น้องเคยพยายามขอมือถือไอโฟน ของไอแพด แต่ดิฉันบอกว่าน้องยังเด็ก และของพวกนี้ก็อาจเป็นอันตรายกับน้องเอง เพราะถือของมีค่ามีราคาไปไหน ก็อาจโดนทำร้าย ปล้นทรัพย์ สอนให้เขารู้จักอันตรายของสังคม และสอนให้เขาไม่ฟุ้งเฟ้อ
แต่สิ่งที่เขาได้จากการไปบวชเณรครั้งนี้และเป็นข้อมูลฝังหัวของเขาคือเท่าที่ดิฉันสรุปได้จากข้อมูลที่ได้รับฟังคือ
1. เป็นเณรเป็นพระสบาย มีแต่คนทำอะไรให้ จะทานอาหารก็มีคนมาประเคนถวาย ทานเสร็จก็ไม่ต้องล้างจานเอง เป็นเณรเป็นพระ
2. เป็นเณรหรือพระ ได้เงินได้ของง่าย ไปบิณฑบาตแต่ละทีก็มีคนใส่ซองให้ อย่างน้อยก็ได้มาร้อยสองร้อยบาท บางครั้งก็ได้ของฟรี อย่างเช่น น้องเล่าว่าครั้งหนึ่งตอนออกไปนอกวัดกับเพื่อนเณรอีกคน แล้วรองเท้าแตะเพื่อนเณรขาด ก็เลยเดินไปถามร้านค้าแถวนั้นก็รองเท้าขาด ป้าที่ร้านค้าก็ใจดี ให้รองเท้าแตะคู่ใหม่ แล้วบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงิน ป้าถวายให้ ตัวน้องชาย เลยบอกว่าคู่ของตัวเองก็เก่าและก็ขาดเหมือนกัน สรุปเลยได้รองเท้าใหม่มาใส่ฟรีๆ ทั้งคู่
3. ถ้าบวชที่วัดไม่เคร่ง ก็สบาย ถ้าเป็นเณร ก็ฉันเย็นได้ เล่นได้ ไม่ต้องตื่นเช้าไปเดินบิณฑบาตให้เหนื่อยทุกวัน ถ้าพระพี่เลี้ยง หรือพระอาจารย์ใจดี ก็ได้ไปฉันอาหารข้างนอก ได้ทานอาหารอร่อยอย่างที่ชอบ บางครั้งก็ได้ออกไปเที่ยวที่ต่างๆ
4. เป็นเณรเป็นพระเท่ มีแต่คนนอบน้อมนับถือ ถึงเป็นเณร เจอผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ต้องเคารพ ต้องกราบไหว้ ขออะไรก็มีแต่คนทำให้
เด็กอายุ 12 ปี ได้รับรู้ พบเห็น และจำเรื่องราว ข้อมูลเหล่านี้ใส่หัว ท่านคิดว่า เมื่อเติบโตขึ้น เขาจะกลายเป็นคนอย่างไร?
(มีต่อ...)
ดิฉันและครอบครัวจึงลองตะล่อมถามข้อมูลว่าตอนเขาบวชที่วัดนั้น เขาทำอะไรบ้างใช้ชีวิตประจำวันอย่างไร
ก็ได้รับข้อมูลมาว่า เขาตื่นนอนประมาณ 7 โมงเช้า ดิฉันก็สงสัยถามไปว่าทำไมตื่นสาย ไม่ต้องไปบิณฑบาตเหรอ ก็ได้รับคำตอบว่าที่วัดนี้ไม่เคร่ง ไม่ต้องไปบิณฑบาตทุกวันก็ได้?? อีกทั้งตอนฉันเพล พระอาจารย์ก็พาออกไปกินร้านอาหารแถววัด ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ น้องบอกน้องฉันเย็นด้วย โดยเล่าว่า พระอาจารย์บอกว่าสำหรับเณรไม่เข้มงวด ฉันได้ไม่เป็นไร และไม่สบายฉันเณรได้ไม่ผิด???!!! ตอนเย็น ก็ดูทีวี เล่นเกมส์ได้ แถมมีพาไปเล่นน้ำด้วย ...ดิฉันยิ่งปวดหัวหนัก ถามว่า เป็นเณรเล่นน้ำกระโดดน้ำได้เหรอ น้องก็บอกพระอาจารย์บอกเล่นได้ นุ่งสบงเล่น ระหว่างอยู่ที่นั่นก็มีพาไปเที่ยวที่นั่น ที่นี่ น้องบอกอยู่แล้วมีความสุขมาก
ยิ่งฟัง ก็ยิ่งหนักใจ
จากพฤติกรรมที่ได้รับฟัง ยิ่งรู้สึกว่า น้องเราไม่ได้ไปบวชเพื่อเรียนรู้ทำ แต่แค่ไปเป็นเด็กเล่นห่มผ้าเหลืองเท่านั้น
ซ้ำร้าย ยังรับรู้ และเข้าใจข้อมูลที่ผิดๆ
ดิฉันถามน้องชายว่า ทำไมถึงอยากบวช และบอกเขาว่า ตัวเขาเป็นลูกชายคนเดียว ถ้าอีกหน่อยแม่แก่เฒ่า ทำงานไม่ไหว ใครจะดูแล อีกหน่อยเกิดพี่สาวแต่งงานไป ก็ต้องดูแลทางฝั่งสามี ใครจะช่วยส่งเสียเลี้ยงดูแม่ เป็นพระจะมาดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย หรือมาดูแลแม่ตอนเจ็บได้เหรอ
น้องบอกว่า ตอนเขาอยู่ที่วัด ไปบิณฑบาตก็ได้ตังส์ อย่างต่ำก็ร้อยถึงสองร้อย แถมไปเรียนบวชเณรที่นั่นก็ไม่เสียค่าเล่าเรียน แถมมีทุนสำหรับสามเณรและพระ ให้เรียนจนจบปริญญา อาหารก็มีคนถวาย เขาจะเก็บรวบรวมเงิน แล้วส่งกลับมาให้ทางบ้านได้!!??? น้องบอกพระก็มีงานให้ทำได้!!??
ท่านคิดว่าเด็กอายุ 12 เอาข้อมูลเหล่านี้มากจากไหน คิดได้เองหรือ??
ตอนที่อยู่ที่บ้าน ดิฉันและครอบครัวสอนและปลูกฝังน้องเสมอให้รู้จักประหยัด เขาได้เงินค่าขนมไปโรงเรียนประมาณ 40 -50 บาท ไม่รวมค่าเดินทางไปโรงเรียน และไม่ตามใจน้องมากจนเกินไป น้องเคยพยายามขอมือถือไอโฟน ของไอแพด แต่ดิฉันบอกว่าน้องยังเด็ก และของพวกนี้ก็อาจเป็นอันตรายกับน้องเอง เพราะถือของมีค่ามีราคาไปไหน ก็อาจโดนทำร้าย ปล้นทรัพย์ สอนให้เขารู้จักอันตรายของสังคม และสอนให้เขาไม่ฟุ้งเฟ้อ
แต่สิ่งที่เขาได้จากการไปบวชเณรครั้งนี้และเป็นข้อมูลฝังหัวของเขาคือเท่าที่ดิฉันสรุปได้จากข้อมูลที่ได้รับฟังคือ
1. เป็นเณรเป็นพระสบาย มีแต่คนทำอะไรให้ จะทานอาหารก็มีคนมาประเคนถวาย ทานเสร็จก็ไม่ต้องล้างจานเอง เป็นเณรเป็นพระ
2. เป็นเณรหรือพระ ได้เงินได้ของง่าย ไปบิณฑบาตแต่ละทีก็มีคนใส่ซองให้ อย่างน้อยก็ได้มาร้อยสองร้อยบาท บางครั้งก็ได้ของฟรี อย่างเช่น น้องเล่าว่าครั้งหนึ่งตอนออกไปนอกวัดกับเพื่อนเณรอีกคน แล้วรองเท้าแตะเพื่อนเณรขาด ก็เลยเดินไปถามร้านค้าแถวนั้นก็รองเท้าขาด ป้าที่ร้านค้าก็ใจดี ให้รองเท้าแตะคู่ใหม่ แล้วบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงิน ป้าถวายให้ ตัวน้องชาย เลยบอกว่าคู่ของตัวเองก็เก่าและก็ขาดเหมือนกัน สรุปเลยได้รองเท้าใหม่มาใส่ฟรีๆ ทั้งคู่
3. ถ้าบวชที่วัดไม่เคร่ง ก็สบาย ถ้าเป็นเณร ก็ฉันเย็นได้ เล่นได้ ไม่ต้องตื่นเช้าไปเดินบิณฑบาตให้เหนื่อยทุกวัน ถ้าพระพี่เลี้ยง หรือพระอาจารย์ใจดี ก็ได้ไปฉันอาหารข้างนอก ได้ทานอาหารอร่อยอย่างที่ชอบ บางครั้งก็ได้ออกไปเที่ยวที่ต่างๆ
4. เป็นเณรเป็นพระเท่ มีแต่คนนอบน้อมนับถือ ถึงเป็นเณร เจอผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ต้องเคารพ ต้องกราบไหว้ ขออะไรก็มีแต่คนทำให้
เด็กอายุ 12 ปี ได้รับรู้ พบเห็น และจำเรื่องราว ข้อมูลเหล่านี้ใส่หัว ท่านคิดว่า เมื่อเติบโตขึ้น เขาจะกลายเป็นคนอย่างไร?
(มีต่อ...)
ความคิดเห็นที่ 15
เรื่องนี้
ถ้าเป็นไปในทางที่ผู้ปกครองเด็กคือ ครอบครัวจะกลัวที่สุด ก็คือ การล่วงละเมิดทางเพศ
มันก็จะเลยเรื่องศาสนาไป เป็นเรื่องของกฏหมายนะคะ ไม่ว่าเด็กจะชื่นชอบ สมยอม มีความเบี่ยงเบนอยู่แล้ว หรืออย่างใด
ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ ผู้ใหญ่ซึ่งมีวุฒิภาวะมากกว่า ได้กระทำการล่วงละเมิดเด็ก ซึ่งเขายังไม่มบรรลุนิติภาวะ
และมีกฏหมายรองรับให้ต้องได้รับโทษทางกฏหมาย !!!!!!!!!!
แต่ถ้าไม่ใช่ อาจจะเป็นความใกล้ชิดกันมากไป และในฐานะพระควรเลิกติดต่อเด็กเพื่อให้เขาได้ดำเนินชีวิตต่อไป
เรื่องนี้หากครอบครัวไม่กระทำใดๆโดยกลัวอิทธิพลอะไรแบบนี้ ก็จะไม่มีใครต่อสู้ให้กับเด็กได้ เพราะเขายังอ่อนวัย
เกินกว่าจะช่วยตนเองว่าถูกเอาเปรียบหรือไม่ วิธีเริ่มต่อสู้ คือพาไปพบจิตแพทย์ หาคนคุยด้วย สอบถามข้อมูลเก็บข้อมูล
และให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของกฏหมาย หรือผู้เชี่ยวชาญมีหน้าที่เขาตรวจสอบคะ เพราะถ้าไม่ได้มีอะไรก็ดีแล้ว อย่างน้อย
พระที่ท่านเป็นคู่กรณีจะได้รู้ตัวว่า ควรมีขอบเขต เพราะเด็กๆเขาไม่เหมือนผู้ใหญ่ ใกล้ชิดมากไปก็จะทำให้เขาจัดการกับอารมณ์ไม่ได้
เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต่อไปเขาจัดบวชเณรอีกจะได้ระมัดระวัง ขนาดการเป็นครูก็ยังต้องรักษาระยะห่างความสัมพันธ์กับเด็กๆเช่นกัน
แต่ถ้าใช่นอกจากปราชิก(ในกรณีกระทำชำเรา)ก็จะได้ ใช้กฏหมายดูแล พร้อมทั้งช่วยเณรภาคฤดูร้อนๆๆๆๆ ปีต่อๆไปด้วยคะ
เด็กๆควรได้รับการช่วยเหลือ และได้รับความเป็นธรรมถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเขามีสิทธิอะไรบ้างก็ตาม
ที่บ้านเราเคยช่วยเด็กที่ถูกข่มขืน 2 คน ถูกปู่กับอาข่มขืนหลานสองคนระยะเวลายาวนาน ไม่มีใครช่วยเหลือ
แม้แต่ครอบครัวของเด็ก คนอื่นๆก็กลัวนั่นกลัวนี่ จนเด็กได้รับผลกระทบกระเทือนทางจิตใจและร่างกายเป็นอันมาก พอเรื่อง
ดำเนินถึงศาลพ่อเด็กและย่าก็ด่าว่าโรงเรียนที่ช่วยเหลือและคนที่ช่วยเด็กว่าใส่เกือก เขายินดี เรื่องแบบนี้สะท้อนว่า
หากไม่มีใครทำอะไรสักอย่างเรื่องนี้ก็จบไป พร้อมกับเด็กๆ ของเราและคนในสังคมไม่รู้ว่า เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะแล้วกันไป
หรือยอมให้เกิดในสังคม ถ้าครอบครัวไม่ลุกมาต่อสู้ทำอะไรสักอย่าง ก็คงไม่มีใครต่อสู้แทน แล้วถ้าเป็นในกรณีร้ายแรง
การบวชสามเณรในปีต่อๆไป ก็คือการส่งแมลงเม่าบินไปเข้ากองไฟ อีกครั้ง..................
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องศาสนานะคะ แต่เป็นเรื่องของคนที่เป็นพระเป็นบุคคลในศาสนาเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทางกฏหมาย
เป็นผู้ถูกสงสัย มีข้อสงสัย แนวโน้มว่าจะล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งครอบครัวนั่นแหละที่รู้ดีที่สุด สังเกตได้ดีที่สุด
เวลาที่คนอื่นๆจะเข้าไปช่วยเหลือพิสูจน์หรือทำอะไรได้ ก็ต้องอาศัยครอบครัวลุกขึ้นมาทำให้ถูกต้องตามกฏหมาย
สงสัยก็บอกไปตามตรงว่าสงสัย ยังไม่แน่ใจ ไม่ใช่ว่าเราจะไปสอบสวนเอง หาหลักฐานเองก่อนแจ้งความได้
มีหลักฐานเท่าไหร่ก็บอกว่ามีหลักฐานเท่าไหร่ไปเท่านั้น รู้แค่ไหนก็บอกไปว่ารู้แค่ไหน ไม่ได้บอกว่าผิด
จะผิดจะถูกทำจริงหรือไม่ ก็ตามหลักฐานที่มี ตามการสอบสวน เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแรกและเรื่องสุดท้ายในสังคมเขามีวิธีตรวจสอบอยู่
แต่ถ้าเอาแบบศาสนา ไม่ทำอะไร ก็ต้องรอผล "กรรม" เป็นผู้ตัดสิน ในที่สุดไม่มีใครพ้นไปจากรรมของตนได้
ขอให้คุณและครอบครัวอย่าได้หมดศรัทธาในพระพุทธศาสนาเพราะคนๆหนึ่งนะคะ เจริญในธรรมคะ
ถ้าเป็นไปในทางที่ผู้ปกครองเด็กคือ ครอบครัวจะกลัวที่สุด ก็คือ การล่วงละเมิดทางเพศ
มันก็จะเลยเรื่องศาสนาไป เป็นเรื่องของกฏหมายนะคะ ไม่ว่าเด็กจะชื่นชอบ สมยอม มีความเบี่ยงเบนอยู่แล้ว หรืออย่างใด
ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ ผู้ใหญ่ซึ่งมีวุฒิภาวะมากกว่า ได้กระทำการล่วงละเมิดเด็ก ซึ่งเขายังไม่มบรรลุนิติภาวะ
และมีกฏหมายรองรับให้ต้องได้รับโทษทางกฏหมาย !!!!!!!!!!
แต่ถ้าไม่ใช่ อาจจะเป็นความใกล้ชิดกันมากไป และในฐานะพระควรเลิกติดต่อเด็กเพื่อให้เขาได้ดำเนินชีวิตต่อไป
เรื่องนี้หากครอบครัวไม่กระทำใดๆโดยกลัวอิทธิพลอะไรแบบนี้ ก็จะไม่มีใครต่อสู้ให้กับเด็กได้ เพราะเขายังอ่อนวัย
เกินกว่าจะช่วยตนเองว่าถูกเอาเปรียบหรือไม่ วิธีเริ่มต่อสู้ คือพาไปพบจิตแพทย์ หาคนคุยด้วย สอบถามข้อมูลเก็บข้อมูล
และให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของกฏหมาย หรือผู้เชี่ยวชาญมีหน้าที่เขาตรวจสอบคะ เพราะถ้าไม่ได้มีอะไรก็ดีแล้ว อย่างน้อย
พระที่ท่านเป็นคู่กรณีจะได้รู้ตัวว่า ควรมีขอบเขต เพราะเด็กๆเขาไม่เหมือนผู้ใหญ่ ใกล้ชิดมากไปก็จะทำให้เขาจัดการกับอารมณ์ไม่ได้
เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต่อไปเขาจัดบวชเณรอีกจะได้ระมัดระวัง ขนาดการเป็นครูก็ยังต้องรักษาระยะห่างความสัมพันธ์กับเด็กๆเช่นกัน
แต่ถ้าใช่นอกจากปราชิก(ในกรณีกระทำชำเรา)ก็จะได้ ใช้กฏหมายดูแล พร้อมทั้งช่วยเณรภาคฤดูร้อนๆๆๆๆ ปีต่อๆไปด้วยคะ
เด็กๆควรได้รับการช่วยเหลือ และได้รับความเป็นธรรมถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเขามีสิทธิอะไรบ้างก็ตาม
ที่บ้านเราเคยช่วยเด็กที่ถูกข่มขืน 2 คน ถูกปู่กับอาข่มขืนหลานสองคนระยะเวลายาวนาน ไม่มีใครช่วยเหลือ
แม้แต่ครอบครัวของเด็ก คนอื่นๆก็กลัวนั่นกลัวนี่ จนเด็กได้รับผลกระทบกระเทือนทางจิตใจและร่างกายเป็นอันมาก พอเรื่อง
ดำเนินถึงศาลพ่อเด็กและย่าก็ด่าว่าโรงเรียนที่ช่วยเหลือและคนที่ช่วยเด็กว่าใส่เกือก เขายินดี เรื่องแบบนี้สะท้อนว่า
หากไม่มีใครทำอะไรสักอย่างเรื่องนี้ก็จบไป พร้อมกับเด็กๆ ของเราและคนในสังคมไม่รู้ว่า เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะแล้วกันไป
หรือยอมให้เกิดในสังคม ถ้าครอบครัวไม่ลุกมาต่อสู้ทำอะไรสักอย่าง ก็คงไม่มีใครต่อสู้แทน แล้วถ้าเป็นในกรณีร้ายแรง
การบวชสามเณรในปีต่อๆไป ก็คือการส่งแมลงเม่าบินไปเข้ากองไฟ อีกครั้ง..................
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องศาสนานะคะ แต่เป็นเรื่องของคนที่เป็นพระเป็นบุคคลในศาสนาเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทางกฏหมาย
เป็นผู้ถูกสงสัย มีข้อสงสัย แนวโน้มว่าจะล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งครอบครัวนั่นแหละที่รู้ดีที่สุด สังเกตได้ดีที่สุด
เวลาที่คนอื่นๆจะเข้าไปช่วยเหลือพิสูจน์หรือทำอะไรได้ ก็ต้องอาศัยครอบครัวลุกขึ้นมาทำให้ถูกต้องตามกฏหมาย
สงสัยก็บอกไปตามตรงว่าสงสัย ยังไม่แน่ใจ ไม่ใช่ว่าเราจะไปสอบสวนเอง หาหลักฐานเองก่อนแจ้งความได้
มีหลักฐานเท่าไหร่ก็บอกว่ามีหลักฐานเท่าไหร่ไปเท่านั้น รู้แค่ไหนก็บอกไปว่ารู้แค่ไหน ไม่ได้บอกว่าผิด
จะผิดจะถูกทำจริงหรือไม่ ก็ตามหลักฐานที่มี ตามการสอบสวน เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแรกและเรื่องสุดท้ายในสังคมเขามีวิธีตรวจสอบอยู่
แต่ถ้าเอาแบบศาสนา ไม่ทำอะไร ก็ต้องรอผล "กรรม" เป็นผู้ตัดสิน ในที่สุดไม่มีใครพ้นไปจากรรมของตนได้
ขอให้คุณและครอบครัวอย่าได้หมดศรัทธาในพระพุทธศาสนาเพราะคนๆหนึ่งนะคะ เจริญในธรรมคะ
แสดงความคิดเห็น
บวชสามเณร ให้คุณหรือให้โทษ??
ทว่า...ดาบมีสองคมฉันใด ผลที่ตามมาจากการส่งลูกหลาน ไปบวชเรียนก็อาจมีสองด้านฉันนั้น
ดิฉันขอนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับตัวเองมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อท่านผู้ปกครองทั้งหลายจะได้นำมาประกอบวิจารณญาณก่อนที่ท่านจะตัดสินใจพาลูกหลานของท่านไปบวชเรียน
ดิฉันมีน้องชายอายุ 12 ปี ซึ่งกำลังขึ้นเรียนชั้น ม.1 เป็นเด็กร่าเริงช่างพูด ค่อนข้างเซี้ยว ซนชอบเล่นกีฬา ชอบเล่นเกมส์ต่อสู้ มีชอบเด็กผู้หญิงร่วมชั้น พูดได้ว่าเป็นเด็กผู้ชายปกติทั่วไป บางครั้งก็เอาแต่ใจบ้างตามประสาเด็กวัยนี้ แต่ก็เป็นเด็กที่เชื่อฟังดี เป็นเด็กความจำดีแต่ค่อนข้างจะสมาธิสั้น พอสอนการบ้าน หรือสอนทบทวนวิชาต่างๆ จะตั้งใจฟังได้ไม่นาน ก็จะวอกแวก ชวนคุนเรื่องอื่นบ้าง ขอไปเล่นเกมส์บ้าง ดังนั้นดิฉันจึงวางแผนพาให้น้องชายไปบวชเรียนภาคฤดูร้อนช่วงสั้นๆ เพื่อให้เขาไปฝึกจิตฝึกสมาธิ โดยหวังว่าจะช่วยให้เขามีสมาธิในการเรียนมากขึ้น ที่ดิฉันคิดเช่นนี้เพราะเคยให้น้องไปบวชเรียนภาพฤดูร้อนกับสมาคมหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งเดือน และก็เห็นว่าเขาอยู่ได้ ทำได้ และเมื่อสึกมาก็เรียบร้อยขึ้น สำรวมขึ้น (ถึงจะเป็นแบบนั้นได้ไม่นาน ก็กลับมาซนเหมือนเดิม แต่เขาก็เป็นเด็กมีจิตใจดีและรักพี่น้อง ครอบครัว)
หลังจากค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ก็ได้เห็นโครงการบวชสามเณรภาคฤดูร้อนโครงการหนึ่ง ในจ.เชียงราย ซึ่งน่าสนใจและตรงกับที่ดิฉันต้องการ คือเป็นการบวชแค่ช่วงสั้นๆ คือประมาณแค่ 15 วัน ( 29 มี.ค- 11 เม.ย. 2556) ซึ่งรวมวันเก็บตัวเตรียมพร้อมก่อนบวช 4 วันที่วัด ยิ่งกว่านั้นคือโครงการของวัดนี้อยู่ในความดูแลของพระอาจารย์ท่านหนึ่งที่ดิฉันนับถือและศรัทธามานานแล้ว และคอยติดตามผลงานเขียนและคำสอนของท่านมาเสมอ จึงวางใจว่า น้องชายของดิฉันจะได้รับการอบรมและฝึกฝนที่ดี แม้จะค่อนข้างไกล เพราะตัวดิฉันและครอบครัวอยู่กรุงเทพ แต่ด้วยความเชื่อมั่น และเห็นว่าเด็กจะได้อยู่กับธรรมชาติ และอากาศที่ดี กว่าในเมืองกรุง จึงสมัครและพาน้องชายไปเข้าร่วมโครงการในวันที่ 28 มีนาคม และวางแผนไปรับกลับวันที่ 12 เมษายน
ช่วงแรกๆ ที่เค้าไปอยู่ที่โน่น ยังติดต่อกลับมาที่บ้านตลอด บ่นคิดถึงบ้าน แต่ทางที่บ้านก็ปลอบและบอกว่าแป๊บเดียว เดี๋ยวก็ไปรับกลับแล้ว และพอกลับมาก็ไปเที่ยวสงกรานต์กันต่อเลย ผ่านไปสามสี่วัน เขาก็ไม่ได้โทรมาอีก เราก็คิดว่าน้องคงพออยู่ได้แล้ว และมีกิจกรรมให้ทำเพลิน จึงไม่ได้คิดอะไร แต่ประมาณวันที่ 6 เมษายน ทางโรงเรียนติดต่อกลับมาว่า สามเณรรุ่นนี้จะสึกก่อนกำหนดโครงการ นั่นคือจะปิดโครงการในวันที่ 7 เมษายน คุณพ่อดิฉันก็โทรศัพท์ไปถามน้องว่าจะไปรับกลับ แต่พอคุยกับน้องชาย น้องบอกจะขอบวชต่อ และตามพระอาจารย์ (หรือพระพี่เลี้ยง) ไปอยู่อีกวัดหนึ่ง ทางดิฉันและครอบครัวก็เห็นว่า ไปอยู่กับพระอาจารย์ก็คงไม่เป็นไร และคิดว่าเขาคงติดเพื่อนๆที่บวชด้วยกัน เพราะมีเพื่อนรุ่นเดียวกันกับเขาสองคนยังบวชต่อเหมือนกัน เลยให้เป็นไปตามกำหนดเดิม
เย็นวันที่ 11 เมษายน ดิฉันและคุณพ่อคุณแม่ ก็ขับรถจากกรุงเทพขึ้นไปเชียงราย เพื่อไปรับน้องกลับ เพื่อไปเที่ยวสงกรานต์กันต่อ แต่พอไปถึงวัด จากที่คาดว่าน้องจะดีใจ ปรากฏน้องชายของดิฉัน ไม่ได้แสดงอาการดีใจที่เห็นหน้าพวกเราที่ขึ้นไปรับ แต่กลับทำหน้าซึม เหมือนจะร้องไห้ ซ้ำยังขอจะอยู่ต่อจนถึงหลังสงกรานต์ แต่คุณพ่อยืนกรานจะรับกลับ
เค้าเริ่มร้องไห้ และซึมเศร้า
ตลอดช่วงการไปเที่ยวหัวหิน ไม่ว่าจะพาไปทานอาหารอร่อย พาไปล่องเรือ เข้าถ้ำ หรือไปเที่ยวที่ไหนๆ ก็ดูไม่ร่าเริงเหมือนก่อน ทั้งๆที่แต่ก่อนไปบวช น้องชายดิฉันเป็นคนชอบทะเลมาก พาเที่ยวทะเลทีไร ก็ขอไปเล่นน้ำทุกครั้งไป และชอบตื้อให้ไปเล่นด้วยกันทุกคน
แต่...เที่ยวนี้เหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจ และพยายามขอให้โทรศัพท์หาพระอาจารย์ตลอด ในตอนนั้นทางดิฉันและครอบครัวก็คิดว่า คงเพราะเหงาที่ต้องจากเพื่อน หรือพระอาจารย์ที่ดูแล เลยชะล่าใจ และคิดว่าไม่นานก็หาย
หากนั่นคือความคิดที่ตื้นเกินไป
เพราะยิ่งกลับมา ก็ยิ่งซึมหนัก และร่ำร้องอยากกลับไปบวชต่อ อยากกลับไปหาพระอาจารย์ (ทั้งๆที่ก่อนบวชไม่ได้เต็มใจนักที่จะบวชเท่าไร) บางครั้งก็หลบไปคุยโทรศัพท์เงียบๆ ไม่ร่าเริงเหมือนเก่า สิ่งที่เคยชอบก็ไม่ชอบ เพื่อนๆนักเรียนที่สนิท ก็ไม่ติดต่อ ไม่ไปเจอ ทั้งๆที่ แต่ก่อนจะต้องนัดเจอ หรือขอไปเล่นบ้านเพื่อนคนนั้น คนนี้ตลอด
แถมพฤติกรรมก็เปลี่ยน จากเคยเชื่อฟัง ก็กลายเป็นก้าวร้าว ท้าทายผู้ใหญ่ แถมมีอาการเป็นไข้อ่อนๆ ตลอด พอหายไข้ ก็บอกปวดท้อง ทานอาหารได้น้อยลง เอาแต่นอน และขลุกตัวอยู่คนเดียว ที่แย่คือ แอบหลบไปคุยโทรศัพท์หาพระอาจารย์รูปนั้นบ่อยมากมาก
ดิฉันเลยตัดสินใจริบมือถือเพื่อกันไม่ให้เขาติดต่อกับพระอาจารย์ (ที่ผิดวิสัยคือ ตัวพระอาจารย์ก็ติดต่อกลับมาหาน้องชายดิฉันตลอด คืนที่ริบโทรศัพท์ เขาก็โทรมาหาตอนเที่ยงคืน!? แต่ดิฉันบอกปัดว่าน้องนอนแล้วให้ติดต่อมาทีหลัง) ในตอนนั้นถึงจะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่กล้าคิดอกุศลอะไร เพราะอีกฝ่ายเป็นพระ แต่ที่ทำ เพราะอยากให้น้องอยู่ห่าง เลิกคิดถึงสักพัก เพราะน้องชายเป็นคนค่อนข้างติดคนง่าย ใครใจดี ก็ติดคนนั้น เลยพยายามกันๆ เขาออกมาหน่อย เพื่อให้เขาปรับตัวได้
แต่กลับกลายยิ่งเป็นหนัก โวยวาย และร้องห่มร้องไห้ว่าริบของเขาทำไม อาการดูจะแย่ขึ้นเรื่อยๆ จนพ่อดิฉันดัดสินใจสั่งห้ามติดต่อพระอาจารย์ ห้ามเจอเด็ดขาด และจะไม่พาไปหา หรือให้เจออีกเลย และโทรไปหาพระอาจารย์ท่านนั้นต่อหน้าน้องชาย และบอกห้ามติดต่อกลับมาอีกเด็ดขาด
ปฏิกิริยาที่น้องแสดงออกมาทำให้พวกเราช็อคมาก
เขาตะโกนว่า พ่อดิฉันใจร้าย มากีดกันเขาทำไม แล้วร้องห่มร้องไห้ปาดจะขาดใจ
ดิฉันกับพ่อรู้สึกแปลกๆ มากขึ้นเรื่อยๆ พ่อดิฉันก็ถามว่า กับคนที่รู้จักแค่สิบห้าวัน ทำไมต้องคิดถึงห่วงหาขนาดนี้ ถ้าขาดเขาไปจะตายไหม จะอยู่ไม่ได้เลยใช่ไหม น้องดิฉันพยักหน้า ตอบว่าใช่ ทั้งน้ำตานองหน้า
ก็เลยถามว่าพระอาจารย์เป็นอะไรกับน้อง ทำไมถึงต้องคิดถึง ต้องห่วงหา น้องก็บอกว่า เป็นผู้มีพระคุณ แถมยังบอกว่ามีพระคุณเทียบเท่ากับครอบครัว (คนที่รู้จัก 15 วัน มีพระคุณเท่ากับครอบครัว??)
เลยถามว่าทำอะไรให้ถึงบอกว่ามีพระคุณ น้องก็เล่าว่าพาไปทานข้าว เลี้ยงข้าว (ตอนอยู่ที่วัดกับพระอาจารย์ พระอาจารย์พาไปทานข้าวร้านอาหาร เช่นไปทานก๊วยเตี๊ยวเรือแถววัด พาไปทานอาหารอื่นๆ ???) ตอนน้องไม่สบาย ก็พาน้องไปโรงพยาบาล เช็ดตัวให้น้อง?? พาน้องไปเที่ยวที่ต่างๆ??? เลยถามน้องว่า แล้วกับเณรรูปอื่น พระอาจารย์ทำแบบนี้เหมือนกันไหม น้องตอบว่าก็ทำคล้ายๆกัน แต่พระอาจารย์เอ็นดูน้องชายดิฉันเป็นพิเศษกว่าเณรรูปอื่น???!!
ดิฉันงงมาก ความคิดบางอย่างที่เคยแว่บๆ มาก่อนหน้านั้น ก็แล่นเข้ามาในหัวอีก แต่ก็พยายามปัดออกไป เพราะไม่แน่ใจ อีกทั้งไม่มีหลักฐาน
แต่ก็ยังเก็บความสงสัยที่ก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ และตกลงกันในครอบครัว ที่จะพยายามกันให้น้องชายหลุดออกมาให้ได้
จนกระทั่งวันนี้ ดิฉันลองเช็คเฟสบุ๊คของน้องชาย และปรากฏได้เห็นเฟสบุ๊คของพระอาจารย์รูปนั้น ซึ่งแท็ครูปน้องชายดิฉันไว้ จึงเข้าไปเช็คดู สิ่งที่พบทำให้ดิฉันตัวเย็บวาบทีเดียว
เขาไม่ใช่ผู้ชายแท้!!!
ดิฉันเห็นรูปมากมาย ที่ใส่วิกผมผู้หญิง หรือแม้กระทั่งสวมใส่ชุดผู้หญิง มีทั้งรูปโอบกอดเด็กผู้ชาย (ที่น่าจะเคยไปบวชที่วัดนั้น)
แม้กระทั่งคำพูดจากที่พิมพ์ ก็ส่อชัดว่าไม่ใช่ชายแท้ ซ้ำร้าย มีการโพสรูปน้องชายดิฉัน สี่ห้ารูปติดๆ และพิมพ์ข้อความว่า "คิดถึงเด็กคนนี้จัง"
!!!!!!!!!!!!!?????????????
ยอมรับจริงๆ ว่าครั้งแรกที่ได้เห็น เกิดอาการช็อคมาก และความคิดด้านลบก็ผุดขึ้นมาเต็มหัวไปหมด อีกทั้งเมื่อโยงกับพฤติกรรมน้องชายหลังจากบวช ยิ่งคิดฟุ้งซ่านไปหมด ทั้งกลัว ทั้งเสียใจ และรู้สึกผิด
กลัว...ว่าน้องเราจะเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้างในช่วงที่บวชอยู่ที่นั่น
เสียใจ...ที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวของเรา
รู้สึกผิด...ที่ตัดสินใจผิดพลาด และทำให้น้องกลายเป็นแบบนี้
ที่คาใจหนักคือ ทำไมสงฆ์ที่เป็นเช่นนี้ถึงบวชได้ ซ้ำร้ายคือเป็นพระอาจารย์สอนเณรด้วย!!!
และเมื่อถามน้องชายดิฉันเพื่อให้แน่ใจว่า พระรูปนี้เป็นแบบนี้จริงๆ หรือ น้องก็หัวเราะแล้วบอกว่าใช่ เป็น แต่สำรวม???!!
หมายความว่าอะไร
เด็กคนนี้ได้รับรู้ว่า การที่พระที่เป็นแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา เป็นได้ไม่ผิด แต่ต้องสำรวม งั้นหรือ???