พักตร์อสูร : บทที่ 1

กระทู้สนทนา
ขนบนร่างกายลุกชันเมื่อเสียง ‘ปัง!’ ถึงสองครั้งดังให้ได้ยินจากด้านหลัง ความเจ็บปวด จุก จนหายใจไม่ออก แล่นตามมา เพชรน้ำค้างไม่อยากคิดว่าตัวเองต้องมาอายุสั้นในวัยเพียงยี่สิบเจ็ดปี นั่นก็เพราะก่อนหน้านี้เธอไม่มีวี่แววเจ็บไข้ได้ป่วย แถมยังแข็งแรงดีจนถึงขั้นวิ่งเข้ามาช่วยเหลืออาแปะกวง ชายชราข้างบ้านวัยเจ็ดสิบห้าจากการถูกโจรปล้นอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด

    แต่ในตอนนี้ไม่ใช่ ความหนาวเหน็บ หวาดหวั่น กำลังเข้าเกาะกุมจิตใจ เกาะกุมความรู้สึกอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าตัวเองถูกยิง

    เธอยังไม่อยากตาย ความตั้งใจจะเลี้ยงดูพ่อแม่อย่างดีที่สุดยังไม่ได้เริ่มเป็นชิ้นเป็นอัน ที่สำคัญคือขาดเธอไปแล้วใครจะดูแลท่านเมื่อเป็นลูกสาวคนเดียว จนมีเสียงจากส่วนลึกพร่ำบอกเพียง “ขอพระพุทธองค์ได้โปรดคุ้มครองลูกด้วย ขอให้ลูกปลอดภัย” ก่อนสติสัมปชัญญะทั้งหลายทั้งปวงจะดับลง



    สิบห้านาทีก่อน

    ‘เว้ยๆ! ช่วยล่วยๆ!’

    “ใครมาช่วยล่วยๆ ตอนนี้กันเนี่ยยย”

    เพชรน้ำค้างบ่นพึมพำ เอาสองมือปิดหู เพราะตั้งแต่กลับมาถึงบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากงานราวๆ หนึ่งทุ่มของเมื่อคืน เธอก็รีบทานอาหารแล้วขึ้นมานอนหลับเป็นตาย

    “ช่วย....”

    เสียงเบาแสนเบาดังมาอีกครั้ง

    “เออ... รู้แล้ว”

    เพชรน้ำค้างส่งเสียงตอบกลับอย่างรำคาญ แล้วคว้านาฬิกามาดู

    “ตีสี่ สี่สิบ จะให้มาช่วยอะไรกันตอนนี้กันล่ะเนี่ย”

    แต่พอสติมาครบถ้วน เธอจึงระลึกได้ว่า

    ‘นั่นมันเสียงอาแปะนี่’

    เพชรน้ำค้างรีบลุกไปที่หน้าต่าง แหวกผ้าม่านออกนิดๆ

    “ตายแล้ว”

    เธอวิ่งไปห้องนอนของพ่อกับแม่ในทันใด เคาะประตูไม้สักบานสวยรัวยิ่งกว่าปืนกล

    “อะไรลูก”

    “ขโมยขึ้นบ้านแปะค่ะแม่”

    “หา!”

    สองเสียงประสานดังมา อาการงัวเงียของนายไกรกับนางสร้อย บิดามารดาบังเกิดเกล้าของเพชรน้ำค้างหายเป็นปลิดทิ้ง

    “หนูเห็นไอ้โม่งมันเดินไปเดินมาตรงห้องแปะค่ะ” พร้อมกับพยักหน้าเป็นการยืนยัน

    “แน่ใจแล้วเหรอลูก ไม่ใช่ละเมอนะ”

    นายไกร ทหารวัยเกษียณอายุราชการพูด รีบเดินไปชะเง้อมองผ่านประตูห้องที่ลูกสาวเปิดทิ้งไว้ แล้วก็เห็นว่ามีคนร้ายสวมหมวกไหมพรมสีดำคนหนึ่งจริงๆ

    “ยิ้ม แล้ว”

    คำผรุสวาทเผลอหลุดออกมาเมื่อเห็นบางอย่างชัดเจนจากจุดที่ยืนอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าคนร้ายมันโง่หรือฉลาดที่เปิดไฟแล้วไม่ปิดผ้าม่าน แต่สิ่งหนึ่งที่ชายวัยหกสิบเอ็ดปีคนนี้รู้ก็คือ คนทางฟากนู้นคงยังไม่เห็นว่าทางนี้มีความเคลื่อนไหวอะไรบ้างแล้ว

    เพชรน้ำค้างวิ่งไปเปิดไฟทั่วชั้นและวิ่งลงไป

    “น้ำค้างจะไปไหน” พ่อของเธอพูด

    “พ่อโทรเรียกตำรวจก่อนนะคะ”

    จบคำ ไฟเกือบทุกดวงในบ้านและหน้าบ้านก็สว่างขึ้นทันที เสียงตะโกน “ขโมยๆ!” ดังลั่น

    นายไกรกับนางสร้อยก็ตะโกนเสียงดังเพื่อช่วยลูกสาว “ขโมยๆ! ขโมยขึ้นบ้านแปะกวง” ไม่หยุด ส่วนหนึ่งก็คงเพราะความตกใจ

    เพชรน้ำค้างคว้าไม้เบสบอลของฝากจากเพื่อนมาไว้ในมือ วิ่งเท้าเปล่าไปยังประตูเหล็กที่กั้นระหว่างบ้านตนเองกับชายชราอย่างคล่องแคล่ว ดีที่ประตูนี้ไม่เคยลงกลอนตลอดเวลา

    เธอเดินลัดเลาะเข้าไปอย่างเงียบกริบ สายตามองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง และเมื่อไม่เห็นความเคลื่อนไหวใด เพชรน้ำค้างก็รีบเดินเข้าไปทางประตูครัว เพราะรู้ว่าแปะกวงจะไม่ล็อกประตูนี้เวลาพระใกล้บิณฑบาต มือรีบคว้ามีดแล้วพันผ้าเหน็บเอาไว้ด้านหลัง ไฟทุกดวงของชั้นล่างถูกเปิดสว่างอย่างรวดเร็ว เพราะบ้านหลังนี้เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเธอ ซึ่งไม่ยากเกินกับการจะรู้ว่าของสิ่งไหนอยู่ตรงที่ใด

    หัวใจของเพชรน้ำค้างเต้นแรง แต่ก็ควบคุมได้ ทุกสิ่งที่กำลังจะเผชิญล้วนอยู่ภายใต้อารมณ์นิ่งสงบ เธอลัดเลาะเข้าไปในห้องหนึ่งอย่างรวดเร็ว ปีนระเบียงเพื่อไปยังจุดหมายซึ่งก็คือห้องนอนของแปะกวงด้วยความแคล่วคล่องว่องไวพราะออกกำลังกายเป็นประจำ

    ใบหน้าสวยจัดไร้เครื่องประทินค่อยๆ ชะโงกให้สายตาพอได้เห็นความเคลื่อนไหวข้างในนั้นและก้มลงต่ำทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่ต้องการ สมองรีบประมวลผล

    เพชรน้ำค้างรู้ว่ามีคนร้ายสองคน ท่าทางกระสับกระส่าย คงเป็นเพราะเสียงพ่อกับแม่ของเธอที่ยังดังไม่หยุด พวกมันสวมหมวกไหมพรมสีดำทั้งคู่ ไม่สวมถุงมือ หนึ่งในนั้นเป็นลูกพี่ ไอ้คนตัวผอมกะหร่องเหมือนคนติดยาน่าจะเป็นลูกน้อง ป้ากิมฮวย แม่บ้านของอาแปะกวงถูกมัดมือ มัดเท้า มัดปาก นอนแน่นิ่งไม่ห่างไปจากที่แปะกวงนั่งนัก ที่ขมับซ้ายของอาแปะมีเลือดไหลเป็นทาง มุมปากช้ำเป็นจ้ำ มีคราบเลือดติดอยู่

    ‘ไอ้เลว’

    เธอนึกด่าในใจ พลางก็มองหาทางหนีทีไล่ มองไปทางบ้านของตัวเองและบริเวณหน้าบ้านของอาแปะ

    ‘ตำรวจไทย ทำงานให้ไวกว่านี้ไม่ได้เลยหรือไงกัน’

    และแล้ว ขาของเธอก็ก้าวออกไปเมื่อสบจังหวะ ไม้เบสบอลเนื้อดีฟาดเข้าที่ท้ายทอยของโจรลูกน้องอย่างจัง และเงื้อง่าขึ้นอีกครั้ง ฟาดเข้าที่กกหูของโจรลูกพี่แบบติดๆ ชนิดเต็มแรงเมื่อมันหันมา

    ร่างกายใหญ่โตของมันซวนเซ เพชรน้ำค้างเข้าไปซ้ำทันที ไม่นึกกลัวรูปร่างของมันสักนิด ทว่าจังหวะนี้โจรกลับยกแขนขึ้นบังไว้ ใช้มืออีกข้างจับไม้เบสบอลแน่น ดวงตาของมันจ้องเขม็ง เลือดสีแดงเข้มไหลทะลักหมวกไหมพรมในเวลาไม่กี่วินาที แต่มีหรือที่เพชรน้ำค้างจะกลัว สัญชาตญาณสั่งให้รีบยกเท้าถีบเข้าไปที่หว่างขาของมันอย่างสุดแรงเกิด แล้วกระชากไม้เบสบอลกลับ ความแน่วแน่ที่จะจัดการคนร้ายเพื่อช่วยเหลือแปะกวงมีอยู่ท่วมท้นหัวใจ เธอฟาดไม้ซ้ำลงไปที่ต้นแขนมันอีกครั้งอย่างเต็มกำลัง ไม่รอช้าที่จะซ้ำไม้ลงไปที่สีข้าง ซ้ำให้หนักอีกครั้งที่กลางหลัง ซ้ำลงไปที่เดิมอีกครั้ง ซ้ำอีกครั้งที่หัว จนไอ้หัวหน้าโจรล้มตัวลงบนพื้น นอนงอตัวเหมือนกุ้ง ส่วนไอ้โจรลูกน้องก็คว่ำหน้าสลบเหมือดตั้งแต่โดนไม้ครั้งแรก

    ‘มันใช้อาวุธอะไรบ้าง’

    ความคิดหนึ่งโผล่ขึ้นมา แต่จะอย่างไรนั้นอีกฝ่ายก็นอนขดอยู่กับพื้นเรียบร้อย

    เพชรน้ำค้างเข้าไปหาแปะกวงทันที คว้ามีดที่เหน็บไว้จากด้านหลังมาตัดเชือกตรงข้อมือข้อเท้าของอาแปะอย่างเร็วไว ประคับประคองกึ่งพยุงผู้เฒ่าที่ตัวสั่นเทาให้ลุกขึ้น มุ่งตรงไปประตูห้อง ส่วนป้ากิมฮวยคงต้องทิ้งไว้ก่อนเพราะยังสลบอยู่ ซึ่งตอนนี้เธอสามารถช่วยได้เพียงคนเดียวเท่านั้น แถมยังเป็นเป้าหมายที่โจรมันต้องการ

    ทุกอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่นาที

    “อยู่ตรงนี้ค่ะคุณตำรวจ”

    นั่นคือเสียงของเธอที่ตะโกนออกไป เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นแสงสีแดงวับแวมให้รู้พร้อมกับเสียงฝีเท้าไม่รู้จำนวนคู่ดังมา

    เธอรีบดันอาแปะกวงออกไปจากห้องก่อน ขณะเดียวกันก็เห็นผู้ชายสามคนในเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพชรน้ำค้างถอนหายใจ

    ปัง! ความเจ็บแปลบตรงหัวไหล่แล่นให้รู้สึกทันที

    ปัง! ความจุกจนชาบนแผ่นหลังด้านซ้ายทำให้หายใจติดขัด

    “น้ำค้างงงง!”

    นั่นคือเสียงของพ่อ แม่ และอาแปะที่ดังขึ้นพร้อมกัน สีหน้าของทั้งสามตระหนกตกใจอย่างสุดขีด

    ภาพที่พ่อกับแม่กำลังวิ่งเข้ามาหาไม่ต่างจากภาพเคลื่อนไหวช้าแสนช้าเช่นเดียวกับเสียงร้องเรียก สีหน้าของท่านดูบิดเบี้ยวเจ็บปวด แสนหดหู่จับใจ เสียงที่ได้ยินก็โหยหวนชวนให้ขนลุกอย่างไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน

    เธออยากบอกพ่อกับแม่เหลือเกิน... ว่ารักท่านทั้งสองมากขนาดไหน รักแปะกวง ชายชราข้างบ้านที่เคยช่วยเลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เด็กมากขนาดไหน ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าขอได้โปรดช่วยคุ้มครองให้เธอปลอดภัยด้วยเถิด ขอให้เธอได้อยู่เลี้ยงดูพ่อแม่ก่อนเถิด

    “ขอพระพุทธองค์ได้โปรดคุ้มครองลูกด้วย ขอให้ลูกปลอดภัย”

    แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆ ดับลง เช่นเดียวกับม่านเวทีของโรงอุปรากร



    ความดำมืดค่อยๆ สลายเมื่อเพชรน้ำค้างลืมตาขึ้นอีกครั้ง เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นเธอล้วนจำได้ดีจนน่าตกใจ เธอเบิกตาโพลง แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือรอบกายขาวสว่างไปหมด ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาล ไม่ใช่ที่บ้าน เธอไม่รู้ว่าคือที่ไหน รู้แต่มีแสงสีขาวนวลตาและลานโล่งกว้างแห่งนี้เท่านั้นเมื่อเอียงหน้ามอง เป็นความขาวสว่างไม่บาดตาที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน

    นี่เธออยู่ที่ไหน ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรนอกจากพื้นนุ่มๆ เหมือนเตียงนอนราคาแพง เธอผงกหัวมองดูตัวเองก็เห็นว่าสวมชุดนอนตัวเดิม

    เพชรน้ำค้างมองไปรอบๆ อย่างเชื่องช้าโดยไม่ลุกขึ้น สั่งกำชับว่าต้องมีสติ และสติที่มี ทำให้ไม่หวาดกลัวเกินไปนักเมื่ออยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคย

    เพชรน้ำค้างค่อยๆ ลุกนั่ง อากาศรอบด้านเย็นสบาย เธอยื่นมือออกไปกวัดแกว่ง ทุกอย่างโล่งไปหมดจริงๆ

    ที่นี่ไม่มีอะไรเลย ยิ่งเพ่งมองก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไร มีแต่คำถามในหัวของตัวเองว่าเธอตายแล้วหรือ หรือกำลังฝัน แต่จะอย่างไรนั้น สิ่งเดียวที่รู้ก็คือรอบกายไม่มีอะไรสักอย่าง มันโล่งไปหมด โล่งสุดลูกหูลูกตา สภาพแวดล้อมแบบนี้ไม่เคยเห็นจากไหนแม้แต่ในหนังและละครที่เคยดู

    หากนี่จะเป็นความฝัน มันจะใช่จริงหรือ เธอสามารถไตร่ตรองได้เหมือนกับไม่ได้ฝันขนาดนี้เลยหรือ

    “แกคงฝันไปแน่ๆ เลยว่ะน้ำค้าง”

    เสียงนี้ไม่เบาเลยสักนิด

    เพชรน้ำค้างค่อยๆ ยืนขึ้นพร้อมกับความสับสน มึนงงและแปลกใจ โดยเฉพาะความรู้สึกเจ็บจนจุกจากกระสุนปืนไม่มีให้รู้สึกเลย เธอพยายามยิ้มวตัวเพื่อมองหาแผลที่หลัง ส่วนมือก็พยายามคลำ แต่ก็ไม่มี

    “ฉันตายแล้วจริงๆ เหรอ”

    เสียงของเธอเบาหวิว ใจกระตุกวูบ แต่ก็ไม่ได้โวยวาย แหงนมองด้านบนและมองไปรอบตัวอีกครั้ง

    ‘ถ้าหากตายแล้วจริงๆ ที่นี่คือสวรรค์หรือนรกล่ะ มันคือที่ไหนกันแน่ อยู่ตรงไหนของสถานที่ที่เคยเรียนรู้มา เพราะถ้าหากตายแล้ว ทำไมไม่มีอะไรบ่งบอกเลย ไม่มีต้นไม้ ไม่มียมบาล ไม่มีนางฟ้าเลย’

    เพชรน้ำค้างสับสนไปหมด แต่ตามลักษณะนิสัย เธอไม่รอเพียงแค่ตั้งคำถามกับตัวเองเท่านั้น เพราะเท้าเริ่มก้าวเดินไปบนพื้นผิวนุ่มๆ นี้แล้ว

    ‘ต้องไม่ตายนะ จะตายไม่ได้ พ่อกับแม่ล่ะ ถ้าเป็นอะไรไป พ่อกับแม่จำทำยังไง ต้องตื่นให้เร็วที่สุดนะน้ำค้าง ต้องรีบตื่น’

    เธอพยายามบอกตัวเอง และรู้เพียงว่าต้องกลับไปแก้ไข แม้ในส่วนลึกของหัวใจก็มีเสียงบอกว่า ‘อาจต้องยอมรับชะตากรรม’ โดยสิ่งที่อยู่ในหัวไม่ได้สัมพันธ์กับเท้าเลย เพชรน้ำค้างยังคงเดิน เดิน และเดิน

    ทว่ายิ่งเดินมาไกลเท่าไหร่ เธอก็ยังไม่เห็นอะไรนอกจากตัวเองกับที่โล่งๆ แห่งนี้ ไม่มีอะไรเลยนอกจากแสงสีขาวนวลตาเท่านั้น

    เธอรู้ดีว่าเดินอยู่นาน นานจนไม่ใช่เรื่องปกติเพราะไม่รู้สึกเหนื่อย

    เพชรน้ำค้างหยุด ถามตัวเองอีกครั้งว่าต่อจากนี้ไปควรจะทำอย่างไร การฝึกสมาธิมาตั้งแต่เด็กทำให้เพชรน้ำค้างตัดสินใจนั่งลง ขยับขาให้อยู่ในท่าขัดสมาธิคือเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วโป้งมือซ้ายอย่างที่เคยนั่งมา บริกรรมใจว่า ‘สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง’ ตลอดไปแบบนั้น กระทั่งใจหยุดนิ่งดีแล้ว ทุกอย่างก็วูบดิ่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่