โบรกฯ ชี้ทองคำยังเป็นสินทรัพย์สำคัญที่ควรมีไว้ในพอร์ต เพื่อวัตถุประสงค์ในการกระจายความเสี่ยง และป้องกันความเสี่ยงหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ-ภาวะสงคราม แนะสัดส่วนที่เหมาะสม 5-10% ส่วนหุ้นช่วงนี้ถูกกดันจากกลุ่มพลังงาน และแรงขายนักลงทุนต่างชาติหน้าใหม่
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ เปิดเผยถึงกลยุทธ์การลงทุนทองคำ โดยมองว่า ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ควรมีไว้ในพอร์ตโฟลิโอ เพื่อวัตถุประสงค์ในการกระจายความเสี่ยง และป้องกันความเสี่ยงกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ หรือหากเกิดภาวะสงคราม
ทั้งนี้ แนะนำให้น้ำหนักการลงทุนของทองคำไว้ที่ 5-10% ของพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งหากนักลงทุนมีน้ำหนักการลงทุนในทองคำที่มากกว่านั้น ควรหาจังหวะขายออกในช่วงที่ราคาทองคำรีบาวนด์มาที่ระดับ 1,400-1,420 เหรียญต่อออนซ์
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น นักลงทุนจะต้องระมัดระวังเนื่องจากยังขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามา นอกจากนี้ กลุ่มพลังงานอาจเป็นตัวกดดัชนีที่สำคัญจากราคาน้ำมันดิบทั่วโลกที่ปรับตัวลง ณ ขณะนี้ ด้วยเหตุนี้จึงยังคงแนะนำกลยุทธ์ขึ้นขาย-ลงซื้อ โดยให้กรอบการลงทุนที่ระดับ 1,480-1,530 จุด โดยมีหุ้นแนะนำในช่วงนี้ได้แก่ 1) กลุ่มโรงกลั่นที่เริ่มมีความน่าสนใจในแง่มูลค่าพื้นฐาน 2) กลุ่มขนส่งที่มีผลประกอบการโดดเด่น และกลุ่มหลักทรัพย์ที่กำไรไตรมาส 1/2556 จะทำสถิติสูงสุดเป็น
ด้านนักวิเคราะห์ บล.ไอร่า จำกัด (มหาชน) มองว่า ตลาดหุ้นวันนี้จะปรับลงต่อตามตลาดต่างประเทศ ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศที่ถูกกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาท และการจับตาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต่อการเก็งกำไรที่มีมากขึ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ ก็ทำให้อาจจะกดดันราคาหุ้นของผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาฯ ในระยะสั้น
ที่มา
http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000046504
ทองคำยังเป็นสินทรัพย์สำคัญที่ควรมีไว้ในพอร์ต เพื่อกระจายความเสี่ยง และป้องกันความเสี่ยงวิกฤตเศรษฐกิจและภาวะสงคราม
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ เปิดเผยถึงกลยุทธ์การลงทุนทองคำ โดยมองว่า ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ควรมีไว้ในพอร์ตโฟลิโอ เพื่อวัตถุประสงค์ในการกระจายความเสี่ยง และป้องกันความเสี่ยงกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ หรือหากเกิดภาวะสงคราม
ทั้งนี้ แนะนำให้น้ำหนักการลงทุนของทองคำไว้ที่ 5-10% ของพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งหากนักลงทุนมีน้ำหนักการลงทุนในทองคำที่มากกว่านั้น ควรหาจังหวะขายออกในช่วงที่ราคาทองคำรีบาวนด์มาที่ระดับ 1,400-1,420 เหรียญต่อออนซ์
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น นักลงทุนจะต้องระมัดระวังเนื่องจากยังขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามา นอกจากนี้ กลุ่มพลังงานอาจเป็นตัวกดดัชนีที่สำคัญจากราคาน้ำมันดิบทั่วโลกที่ปรับตัวลง ณ ขณะนี้ ด้วยเหตุนี้จึงยังคงแนะนำกลยุทธ์ขึ้นขาย-ลงซื้อ โดยให้กรอบการลงทุนที่ระดับ 1,480-1,530 จุด โดยมีหุ้นแนะนำในช่วงนี้ได้แก่ 1) กลุ่มโรงกลั่นที่เริ่มมีความน่าสนใจในแง่มูลค่าพื้นฐาน 2) กลุ่มขนส่งที่มีผลประกอบการโดดเด่น และกลุ่มหลักทรัพย์ที่กำไรไตรมาส 1/2556 จะทำสถิติสูงสุดเป็น
ด้านนักวิเคราะห์ บล.ไอร่า จำกัด (มหาชน) มองว่า ตลาดหุ้นวันนี้จะปรับลงต่อตามตลาดต่างประเทศ ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศที่ถูกกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาท และการจับตาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต่อการเก็งกำไรที่มีมากขึ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ ก็ทำให้อาจจะกดดันราคาหุ้นของผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาฯ ในระยะสั้น
ที่มา
http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000046504