ของตัวเอง..
เรื่องเขาพระวิหารเป็นของเขมรนั้น มันจบไปนานแล้ว เป็นที่ทราบกันทั่วว่าเป็นของเขมร มันเป็นเรื่องที่เกิดก่อนคนรุ่นเรา หากจะโทษก็ต้องโทษคนรุ่นนั้น ใครทำอะไรกันไปบ้างไปหาดูไม่ยากเกินค้นคว้าสำหรับคนในยุคนี้
แต่สิ่งที่กำลังสู้กันอยู่ในศาลโลกตอนนี้ไม่ใช่เรื่องการทวงเขาพระวิหาร ไม่ใช่เลยเพราะมันจบไปแล้ว(แต่ไอ้พวกสาวบางคนบางกลุ่มก็ถูกหลอกให้เชื่อว่าจะทวงเขาพระวิหารคืนมาได้ โง่ดักดานจริงๆ) ดังนั้นใครที่ปากพล่อยๆบอกว่าเสื้อแดงยกเขาพระวิหารให้เขมรนั้น นอกจะเป็นการประจานความโง่ของตัวเองแล้ว ยังแสดงสันดานความเป็นคนเลว คนพาล ที่เที่ยวกล่าวหาคนชุ่ยๆ มั่วๆ แบบบิดเบือนจับแพะชนแกะอย่างน่าทุเรศ และถือเป็นการกล่าวหาที่ผมไม่เชื่อว่า คนกล่าวหามั่วๆแบบนั้นคือ"คนดีจริง" คนดีจริงต้องมีศักดิ์ศรี ต้องไม่อันธพาล(ไม่แพ้แล้วพาล) ว่ากันตรงไปตรงมาตามหลักฐาน ชนะคือชนะ แพ้คือแพ้ แต่ให้คงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นคนไทย ความเป้นชาติไทย ที่ไม่ใช่ให้นานาชาติเขามองว่า ไอ้คนไทยสันดานเสียแพ้แล้วพาล ผมไม่เอาด้วยนะครับ..เพราะมันกระจอก ไร้ศักดิ์ศรี
ที่ผ่านมา 50ปี เราไม่มีอะไรไปยืนยันเพื่อสู้คดีใหม่ (หัดยอมรับความจริงบ้าง) ส่วนปัจจุบันหากไทยมีหลักฐานอะไร เอาไปสู้เขาในศาล หากหลักฐานแน่น เราชนะ หากหลักฐานเราอ่อนก็ต้องยอมรับความพ้ายแพ้(อย่างมีศักดิ์ศรี) มิเช่นนั้น นอกจากจะแพ้ในทางคดีเขาแล้ว หากไปพาลก็ยิ่งทำให้ชาติไทย และคนไทยต้องกลายเป็นชาติที่ไร้ศักดิ์ศรีไปด้วยซึ่งเท่ากับกลายเป็นว่าเสียแล้วเสียอีกเสื่อมเข้าไปอีกกับประเทศนี้
เรื่องเขาพระวิหาร ส่วนใหญ่ต้องโทษคนสมัยก่อน ไม่ใช่คนสมัยปัจุบัน ผมไม่อยากซ้ำเติม แต่คนสมัยปัจจุบันต้องหัดยอมรับความจริงอย่างมีศักดิ์ศรี อย่าหน้าด้าน อย่าพาล และอย่าใช้สันดานแหลหลอกคนไทยด้วยกัน เพราะมันน่าทุเรศ
ผมต่อให้เราใช้กำลังทหารไปสู้กับเขมรจนชนะ และได้เขาพระวิหารคืน ..ผมขอพูดจากใจในฐานะคนไทยคนหนึ่งเลยว่า (ผมไม่ภูมิใจในการได้เขาพระวิหารคืนมาด้วยวิธีนี้ ผมละอายใจและรู้สึกไร้ศักดิ์ศรีอย่างยิ่งกับการกระทำเยี่ยงนี้ เพราะนั่นคือกากระทำของ คนพาล ชาติพาล ผมรับไม่ได้และผมไม่เอาด้วยเด็ดขาด)
การครั้งนี้ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร คนไทยที่หยิ่งและรักในศักดิ์ศรีอย่างผม จะยอมรับแต่โดยดี (ยกเว้นใครสามารถพิสูจน์"ด้วยหลักฐาน"ว่า ศาลโลก(ผู้พิพากษา) รับเงินเขมร หรือสมรู้ร่วมคิดกับเขมร หรือมีการกระทำของผู้พิพากษาเหมือนหรือคล้ายกับศาลบ้านเราในลักษณะที่ก้มหัวให้โจรกบฏ(ก้มหัวให้เขมร) หรือมีคลิปผู้พิพากษา อย่างเช่นเรื่อง ช่วยคนให้สอบเข้าสำนักงานที่พวกตนทำอยู่ หรือ มีพยานยืนยันเหมือนกับ พลเอก พัลลภ ปิ่นมณี ที่แฉและกล้ายืนยันว่า มีผู้พิพากษาศาลหลายคนไปร่วมวางแผนกบฏยึดบ้านยึดเมืองปล้นอำนาจ ปชช.กับทหารที่บ้านหลังหนึ่ง หากมีลักษณะแบบนี้กับศาลโลกแล้วผมจะเชื่อว่าศาลโลก มีพฤติการไม่น่าเชื่อถือ แต่หากมีแต่คำกล่าวหาโจมตี(ซึ่งผมได้ยินมาบ้างจากไอ้พวก พธม.ที่แกนนำมันขี้โกงเงินธนาคาร โดยแกนนำบางคนพูดทำนองให้ร้ายป้ายสีเขา ทำนองว่าเข้าข้างเขมร แต่ไม่มีหลักฐาน แบบนี้ผมไม่เชื่อ เพราะมันจะหลอกได้กับไอ้พวกที่เคยเชื่อเรื่องวัดพระแก้ว เรื่องขายหุ้นไม่เสียภาษีของนายทักษิณเท่านั้น หลอกคนฉลาดกว่านั้นไม่ได้หรอก)
ดังนั้น หากไทยเราในวันนี้มีหลักฐาน มีขอมูลแน่น ก็เชื่อว่าอาจชนะในทางคดี ยกเว้นเราไม่มีหลักฐานที่ดีไปกว่าที่มีอยู่ เราก็ต้องยอมรับความจริงและทำให้ดีที่สุด ซึ่งสิ่งที่ผมยังโล่งใจคือ ปัจจุบันรัฐบาลไทยเราไม่ใช่รัฐบาล"ม๊ากแหลหน้าด้านงูเห่า" เพราะหากยังเป็นรัฐบาลม๊ากแหลอยู่ ผมไม่รู้ว่าจะลงเอยอย่างไร ชาติและคนในชาติจะเดือดร้อนไปอีกแค่ไหน ผมถึงบอกว่าโชคดีที่เป็นรัฐบาลชุดนี้ เพราะผมเชื่อว่า ไม่ว่าผลคดีจะออกมาอย่างไร ด้วยความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างรัฐต่อรัฐ ผู้นำต่อผู้นำ ท้ายสุดจะนำมาซึ่งการพูดคุยตกลงกันด้วยสันติและก็สานต่อที่ คุณ นพดล(รัฐบาลนายสมัคร)เคยทำไว้ คือ ร่วมกันดูแลและสร้างสรรทำมาหากินในพื้นที่และเขาพระวิหารไปด้วยกันอย่างที่ควรจะเป็นแบบนั้น หากไม่มีไอ้พวกชั่วเอาเรื่องนี้มาโยงกับการเมืองเพื่อหวังผลทางการเมือง...
หลักฐานและข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งหลายคนอาจไม่รู้ ผมก็เพิ่งรู้จาก ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1366085925&grpid=03&catid=&subcatid=
"ดร.ชาญวิทย์" ชี้จุดแข็ง-จุดอ่อน คดีปราสาทพระวิหาร มองคนไทยถูกหลอกอย่างไร
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึง การแถลงด้วยวาจาของฝ่ายกัมพูชา กรณีปราสาทพระวิหาร ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ที่กรุงเฮก เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2556 ว่า จุดอ่อนของไทย และจุดแข็งของกัมพูชา ซึ่งนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา และ (ศาสตราจารย์ฌอง มาร์ก ซอเรล) ทนายความชาวฝรั่งเศส ผู้เป็นอาจารย์สอนอยู่มหาวิทยาลัยปารีส รุกหนัก ในการแถลงต่อศาล คือ เรื่อง แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งประเด็นนี้ มีส่วนสำคัญ ที่ทำให้ผู้พิพากษาในปี 2505 ตัดสินให้กัมพูชาชนะ 9 ต่อ 3 เสียง
ดร.ชาญวิทย์ กล่าวว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน นี้ จัดทำขึ้นโดยการสำรวจร่วมกัน ระหว่าง สยามกับฝรั่งเศส โดยตัวแทนฝ่ายสยามคือ เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สะท้าน สนิทวงศ์) เป็นตัวแทนประชุมทุกครั้ง ฉะนั้น แม้จะเป็นแผนที่ ที่พิมพ์โดยฝรั่งเศส แต่ชนชั้นนำสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 รับรู้ โดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการฯ (พระบิดาแห่งการทูตไทย) รับแผนที่มาใช้ 50 ชุด กรมพระยาดำรงราชานุภาพ รับไปใช้และขอเพิ่ม 15 ชุด นี่คือหลักฐาน ที่ นายถนัด คอมันตร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และ ทนายความ ไม่เคยบอกประชาชนชาวไทย และทำให้เข้าใจผิดมาจนทุกวันนี้
ดังนั้น ประชาชนชาวไทยไม่ทราบว่า กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการฯ และกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทำอะไร แม้แต่คนในยุคปัจจุบัน ก็ยังไม่ทราบ ส่วนรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็อึดอัด รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหม ก็ ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ เพราะอาจจะถูกกล่าวหาว่า “ขายชาติ” หรือ “หนักแผ่นดิน” เนื่องจาก นี่คือ จุดอ่อนของไทย และ จุดแข็งของกัมพูชา ซึ่งฝ่ายกัมพูชา ตอกย้ำเรื่องนี้เยอะมาก
ดร.ชาญวิทย์ มองว่า ตราบใดที่รัฐบาล ฝ่ายค้าน ทหาร นักการเมือง นักวิชาการ และ สื่อมวลชน ไม่พูดเรื่องนี้ ประชาชน ก็จะถูกหลอก ว่าหลักฐานที่กัมพูชากล่าวถึง เป็นแผนที่ของฝรั่งเศส ขณะที่ความจริง คือ เป็นแผนที่ที่สำรวจร่วมกันระหว่างสยามและฝรั่งเศส
ตอนนี้สังคมไทยจึงมีสภาพที่“ผู้นำสยาม” ยอมรับแผนที่ แต่ “ผู้นำไทย” ไม่ยอมรับแผนที่ ซึ่งฝ่ายไทยจะแถลงอย่างไรยังคงเป็นเรื่อง ต้องจับตาดู
*หมายเหตุ โดย ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
อนึ่ง ลัทธิชาตินิยมของประเทศเรานั้น ควรแยกแยะให้เห็นชัดเจน คือ สมัยก่อน 2475 นั้น เป็นเรื่องของสมัย “สยาม” และ “ราชาชาตินิยม” เป็นเวอร์ชั่นของรัชกาลที่ 5-6-7 กับสมเด็จกรมฯ เทววงศ์ และ กรมฯ ดำรงฯ สมัย “ราชาธิปไตย” ที่ต้องต่อสู้กับฝรั่งเศส เพื่อรักษา “เอกราช” ต้องยอม “สละ/เสียดินแดน” ให้ฝรั่งเศส ที่มีอำนาจมากกว่า แข็งแรงกว่า
ส่วนสมัยต่อมา กลายเป็น (เปลี่ยนนามประเทศ) เป็น “ไทย” จึงมีลัทธิชาตินิยมใหม่ กลายเป็น “อำมาตยาชาตินิยม” เป็นเวอร์ชั่นของ “เสนาอำมาตย์” เช่น พิบูลสงคราม/วิจิตรวาทการ/ธนิต ที่ต้องการ “ขยาย/ได้ดินแดน” ซึ่งลัทธินี้ถูกสืบทอดโดย สฤษด์/ถนอม/ถนัด รวมทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม อย่างเสนีย์/คึกฤทธิ์ ปราโมช หรือผู้นำ ปชป อย่างควง อภัยวงศ์ จนถึง อภิสิทธิ เวชชาชีวะ ในปัจจุบันนี้ กลุ่มนี้ต่อสู้กับเขมรกัมพูชา ซึ่งมีอำนาจน้อยกว่า และอ่อนแอกว่า
อย่ามากล่าวหา(พล่อยๆ)ว่าเสื้อแดงยกเขาพระวิหารให้เขมร นอกจากจะเป็นการประจานความโง่ของตัวเองแล้วยังส่อสันดานคนพาล
เรื่องเขาพระวิหารเป็นของเขมรนั้น มันจบไปนานแล้ว เป็นที่ทราบกันทั่วว่าเป็นของเขมร มันเป็นเรื่องที่เกิดก่อนคนรุ่นเรา หากจะโทษก็ต้องโทษคนรุ่นนั้น ใครทำอะไรกันไปบ้างไปหาดูไม่ยากเกินค้นคว้าสำหรับคนในยุคนี้
แต่สิ่งที่กำลังสู้กันอยู่ในศาลโลกตอนนี้ไม่ใช่เรื่องการทวงเขาพระวิหาร ไม่ใช่เลยเพราะมันจบไปแล้ว(แต่ไอ้พวกสาวบางคนบางกลุ่มก็ถูกหลอกให้เชื่อว่าจะทวงเขาพระวิหารคืนมาได้ โง่ดักดานจริงๆ) ดังนั้นใครที่ปากพล่อยๆบอกว่าเสื้อแดงยกเขาพระวิหารให้เขมรนั้น นอกจะเป็นการประจานความโง่ของตัวเองแล้ว ยังแสดงสันดานความเป็นคนเลว คนพาล ที่เที่ยวกล่าวหาคนชุ่ยๆ มั่วๆ แบบบิดเบือนจับแพะชนแกะอย่างน่าทุเรศ และถือเป็นการกล่าวหาที่ผมไม่เชื่อว่า คนกล่าวหามั่วๆแบบนั้นคือ"คนดีจริง" คนดีจริงต้องมีศักดิ์ศรี ต้องไม่อันธพาล(ไม่แพ้แล้วพาล) ว่ากันตรงไปตรงมาตามหลักฐาน ชนะคือชนะ แพ้คือแพ้ แต่ให้คงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นคนไทย ความเป้นชาติไทย ที่ไม่ใช่ให้นานาชาติเขามองว่า ไอ้คนไทยสันดานเสียแพ้แล้วพาล ผมไม่เอาด้วยนะครับ..เพราะมันกระจอก ไร้ศักดิ์ศรี
ที่ผ่านมา 50ปี เราไม่มีอะไรไปยืนยันเพื่อสู้คดีใหม่ (หัดยอมรับความจริงบ้าง) ส่วนปัจจุบันหากไทยมีหลักฐานอะไร เอาไปสู้เขาในศาล หากหลักฐานแน่น เราชนะ หากหลักฐานเราอ่อนก็ต้องยอมรับความพ้ายแพ้(อย่างมีศักดิ์ศรี) มิเช่นนั้น นอกจากจะแพ้ในทางคดีเขาแล้ว หากไปพาลก็ยิ่งทำให้ชาติไทย และคนไทยต้องกลายเป็นชาติที่ไร้ศักดิ์ศรีไปด้วยซึ่งเท่ากับกลายเป็นว่าเสียแล้วเสียอีกเสื่อมเข้าไปอีกกับประเทศนี้
เรื่องเขาพระวิหาร ส่วนใหญ่ต้องโทษคนสมัยก่อน ไม่ใช่คนสมัยปัจุบัน ผมไม่อยากซ้ำเติม แต่คนสมัยปัจจุบันต้องหัดยอมรับความจริงอย่างมีศักดิ์ศรี อย่าหน้าด้าน อย่าพาล และอย่าใช้สันดานแหลหลอกคนไทยด้วยกัน เพราะมันน่าทุเรศ
ผมต่อให้เราใช้กำลังทหารไปสู้กับเขมรจนชนะ และได้เขาพระวิหารคืน ..ผมขอพูดจากใจในฐานะคนไทยคนหนึ่งเลยว่า (ผมไม่ภูมิใจในการได้เขาพระวิหารคืนมาด้วยวิธีนี้ ผมละอายใจและรู้สึกไร้ศักดิ์ศรีอย่างยิ่งกับการกระทำเยี่ยงนี้ เพราะนั่นคือกากระทำของ คนพาล ชาติพาล ผมรับไม่ได้และผมไม่เอาด้วยเด็ดขาด)
การครั้งนี้ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร คนไทยที่หยิ่งและรักในศักดิ์ศรีอย่างผม จะยอมรับแต่โดยดี (ยกเว้นใครสามารถพิสูจน์"ด้วยหลักฐาน"ว่า ศาลโลก(ผู้พิพากษา) รับเงินเขมร หรือสมรู้ร่วมคิดกับเขมร หรือมีการกระทำของผู้พิพากษาเหมือนหรือคล้ายกับศาลบ้านเราในลักษณะที่ก้มหัวให้โจรกบฏ(ก้มหัวให้เขมร) หรือมีคลิปผู้พิพากษา อย่างเช่นเรื่อง ช่วยคนให้สอบเข้าสำนักงานที่พวกตนทำอยู่ หรือ มีพยานยืนยันเหมือนกับ พลเอก พัลลภ ปิ่นมณี ที่แฉและกล้ายืนยันว่า มีผู้พิพากษาศาลหลายคนไปร่วมวางแผนกบฏยึดบ้านยึดเมืองปล้นอำนาจ ปชช.กับทหารที่บ้านหลังหนึ่ง หากมีลักษณะแบบนี้กับศาลโลกแล้วผมจะเชื่อว่าศาลโลก มีพฤติการไม่น่าเชื่อถือ แต่หากมีแต่คำกล่าวหาโจมตี(ซึ่งผมได้ยินมาบ้างจากไอ้พวก พธม.ที่แกนนำมันขี้โกงเงินธนาคาร โดยแกนนำบางคนพูดทำนองให้ร้ายป้ายสีเขา ทำนองว่าเข้าข้างเขมร แต่ไม่มีหลักฐาน แบบนี้ผมไม่เชื่อ เพราะมันจะหลอกได้กับไอ้พวกที่เคยเชื่อเรื่องวัดพระแก้ว เรื่องขายหุ้นไม่เสียภาษีของนายทักษิณเท่านั้น หลอกคนฉลาดกว่านั้นไม่ได้หรอก)
ดังนั้น หากไทยเราในวันนี้มีหลักฐาน มีขอมูลแน่น ก็เชื่อว่าอาจชนะในทางคดี ยกเว้นเราไม่มีหลักฐานที่ดีไปกว่าที่มีอยู่ เราก็ต้องยอมรับความจริงและทำให้ดีที่สุด ซึ่งสิ่งที่ผมยังโล่งใจคือ ปัจจุบันรัฐบาลไทยเราไม่ใช่รัฐบาล"ม๊ากแหลหน้าด้านงูเห่า" เพราะหากยังเป็นรัฐบาลม๊ากแหลอยู่ ผมไม่รู้ว่าจะลงเอยอย่างไร ชาติและคนในชาติจะเดือดร้อนไปอีกแค่ไหน ผมถึงบอกว่าโชคดีที่เป็นรัฐบาลชุดนี้ เพราะผมเชื่อว่า ไม่ว่าผลคดีจะออกมาอย่างไร ด้วยความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างรัฐต่อรัฐ ผู้นำต่อผู้นำ ท้ายสุดจะนำมาซึ่งการพูดคุยตกลงกันด้วยสันติและก็สานต่อที่ คุณ นพดล(รัฐบาลนายสมัคร)เคยทำไว้ คือ ร่วมกันดูแลและสร้างสรรทำมาหากินในพื้นที่และเขาพระวิหารไปด้วยกันอย่างที่ควรจะเป็นแบบนั้น หากไม่มีไอ้พวกชั่วเอาเรื่องนี้มาโยงกับการเมืองเพื่อหวังผลทางการเมือง...
หลักฐานและข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งหลายคนอาจไม่รู้ ผมก็เพิ่งรู้จาก ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1366085925&grpid=03&catid=&subcatid=
"ดร.ชาญวิทย์" ชี้จุดแข็ง-จุดอ่อน คดีปราสาทพระวิหาร มองคนไทยถูกหลอกอย่างไร
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึง การแถลงด้วยวาจาของฝ่ายกัมพูชา กรณีปราสาทพระวิหาร ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ที่กรุงเฮก เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2556 ว่า จุดอ่อนของไทย และจุดแข็งของกัมพูชา ซึ่งนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา และ (ศาสตราจารย์ฌอง มาร์ก ซอเรล) ทนายความชาวฝรั่งเศส ผู้เป็นอาจารย์สอนอยู่มหาวิทยาลัยปารีส รุกหนัก ในการแถลงต่อศาล คือ เรื่อง แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งประเด็นนี้ มีส่วนสำคัญ ที่ทำให้ผู้พิพากษาในปี 2505 ตัดสินให้กัมพูชาชนะ 9 ต่อ 3 เสียง
ดร.ชาญวิทย์ กล่าวว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน นี้ จัดทำขึ้นโดยการสำรวจร่วมกัน ระหว่าง สยามกับฝรั่งเศส โดยตัวแทนฝ่ายสยามคือ เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สะท้าน สนิทวงศ์) เป็นตัวแทนประชุมทุกครั้ง ฉะนั้น แม้จะเป็นแผนที่ ที่พิมพ์โดยฝรั่งเศส แต่ชนชั้นนำสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 รับรู้ โดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการฯ (พระบิดาแห่งการทูตไทย) รับแผนที่มาใช้ 50 ชุด กรมพระยาดำรงราชานุภาพ รับไปใช้และขอเพิ่ม 15 ชุด นี่คือหลักฐาน ที่ นายถนัด คอมันตร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และ ทนายความ ไม่เคยบอกประชาชนชาวไทย และทำให้เข้าใจผิดมาจนทุกวันนี้
ดังนั้น ประชาชนชาวไทยไม่ทราบว่า กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการฯ และกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทำอะไร แม้แต่คนในยุคปัจจุบัน ก็ยังไม่ทราบ ส่วนรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็อึดอัด รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหม ก็ ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ เพราะอาจจะถูกกล่าวหาว่า “ขายชาติ” หรือ “หนักแผ่นดิน” เนื่องจาก นี่คือ จุดอ่อนของไทย และ จุดแข็งของกัมพูชา ซึ่งฝ่ายกัมพูชา ตอกย้ำเรื่องนี้เยอะมาก
ดร.ชาญวิทย์ มองว่า ตราบใดที่รัฐบาล ฝ่ายค้าน ทหาร นักการเมือง นักวิชาการ และ สื่อมวลชน ไม่พูดเรื่องนี้ ประชาชน ก็จะถูกหลอก ว่าหลักฐานที่กัมพูชากล่าวถึง เป็นแผนที่ของฝรั่งเศส ขณะที่ความจริง คือ เป็นแผนที่ที่สำรวจร่วมกันระหว่างสยามและฝรั่งเศส
ตอนนี้สังคมไทยจึงมีสภาพที่“ผู้นำสยาม” ยอมรับแผนที่ แต่ “ผู้นำไทย” ไม่ยอมรับแผนที่ ซึ่งฝ่ายไทยจะแถลงอย่างไรยังคงเป็นเรื่อง ต้องจับตาดู
*หมายเหตุ โดย ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
อนึ่ง ลัทธิชาตินิยมของประเทศเรานั้น ควรแยกแยะให้เห็นชัดเจน คือ สมัยก่อน 2475 นั้น เป็นเรื่องของสมัย “สยาม” และ “ราชาชาตินิยม” เป็นเวอร์ชั่นของรัชกาลที่ 5-6-7 กับสมเด็จกรมฯ เทววงศ์ และ กรมฯ ดำรงฯ สมัย “ราชาธิปไตย” ที่ต้องต่อสู้กับฝรั่งเศส เพื่อรักษา “เอกราช” ต้องยอม “สละ/เสียดินแดน” ให้ฝรั่งเศส ที่มีอำนาจมากกว่า แข็งแรงกว่า
ส่วนสมัยต่อมา กลายเป็น (เปลี่ยนนามประเทศ) เป็น “ไทย” จึงมีลัทธิชาตินิยมใหม่ กลายเป็น “อำมาตยาชาตินิยม” เป็นเวอร์ชั่นของ “เสนาอำมาตย์” เช่น พิบูลสงคราม/วิจิตรวาทการ/ธนิต ที่ต้องการ “ขยาย/ได้ดินแดน” ซึ่งลัทธินี้ถูกสืบทอดโดย สฤษด์/ถนอม/ถนัด รวมทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม อย่างเสนีย์/คึกฤทธิ์ ปราโมช หรือผู้นำ ปชป อย่างควง อภัยวงศ์ จนถึง อภิสิทธิ เวชชาชีวะ ในปัจจุบันนี้ กลุ่มนี้ต่อสู้กับเขมรกัมพูชา ซึ่งมีอำนาจน้อยกว่า และอ่อนแอกว่า