เป็นลูกเถ้าแก่โรงสีจังหวัดชัยนาท ขอเงินแม่ก้อนแรก 5 แสนบาทมาเล่นหุ้นตั้งแต่อายุ 19 ปี วันนี้เป็นเซียนหุ้นชื่อดังมีพอร์ตหลายร้อยล้านและเชื่อเรื่อง "ฮวงจุ้ย" แบบสุดๆ
"เสี่ยป๋อง" วัชระ แก้วสว่าง เชื่อมาตลอดว่าปัจจัยความสำเร็จต้องมีจุดลงตัวระหว่าง "เก่ง" กับ "เฮง" ฝีมือพัฒนาได้จากประสบการณ์และการฝึกฝน แต่โชคหรือ "พลังเกื้อหนุน" ช่วยได้โดยศาสตร์ฮวงจุ้ย และการเสริมดวง ปัจจุบันเซียนหุ้นวัย 36 ปีรายนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงมีพอร์ตลงทุนหลายร้อยล้านบาท ในวงการยกย่องให้เป็น "นักเก็งกำไรขั้นเทพ" ที่ใจถึงกล้าได้กล้าเสีย และเป็นนักลงทุนรายใหญ่ระดับแถวหน้าของ บล.เอเซีย พลัส
ความเชื่อในศาสตร์เร้นลับของเสี่ยป๋อง แม้แต่การเลือกเทรดหุ้นที่ บล.เอเซีย พลัส ก็เกิดจาก "ดวง" ของเขากับดวงของผู้บริหาร "สมพงษ์" กันเป็นอย่างดี อีกทั้งการเลือกห้อง VIP ส่วนตัว การจัดวางตำแหน่งโต๊ะ เก้าอี้ หิ้งพระ ล้วนเป็นไปตามทิศและองศาตามหลักฮวงจุ้ยทุกประการ นี่คือหนึ่งในองค์ประกอบความร่ำรวยที่ใครไม่เชื่ออย่าลบหลู่
เสี่ยป๋องเล่าให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า สาเหตุที่นั่งเทรดหุ้นอยู่ที่ บล.เอเซีย พลัส อาคารสาธรซิตี้ทาวเวอร์ ถนนสาทรใต้ เพราะเป็นโบรกเกอร์ที่มีหลักฮวงจุ้ยที่ดีเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์อีกหลายแห่งที่ได้เปิดพอร์ตลงทุนไว้ โดยเฉพาะดวงของผู้บริหาร ประทีป ยงวณิชย์ กรรมการผู้อำนวยการ เขาเกิดปีหนู ขณะที่มาร์เก็ตติ้งส่วนตัวเกิดปีงู ซึ่งดวงสมพงษ์กับของตัวเองที่เกิดปีฉลู นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้ปักหลักเทรดหุ้นอยู่กับบล.เอเซีย พลัส มานานกว่า 8 ปี
"ผมยอมรับว่าเชื่อเรื่องพวกนี้ แม้ปัจจัยความสำเร็จจะมาจากประสบการณ์และการฝึกฝน แต่ศาสตร์เหล่านี้มีส่วนช่วยให้สามารถฝ่าวิกฤติมาได้ทุกครั้ง แม้แต่ช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีและเกิดปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองแต่กลับทำให้ร่ำรวยขึ้น นับตั้งแต่ต้นปี 2552 จนถึงปัจจุบัน ผมมีกำไรจากตลาดหุ้นแล้ว 130% ที่สำคัญได้คืนเงินต้นกลับไปให้ครอบครัวหมดแล้ว ทุกวันนี้นำแต่กำไร (หลายร้อยล้านบาท) มาลงทุนทบต้นไปเรื่อยๆ" เสี่ยป๋องว่า
เจ้าของสโลแกน นักเก็งกำไรหุ้นพื้นฐาน บอกว่า ช่วงที่มานั่งดูหุ้นที่ บล.เอเซีย พลัสใหม่ๆ ยอมรับว่าเล่นหุ้นแล้วไม่รุ่งเท่าที่ควร จนไปรู้จักอาจารย์ท่านหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องฮวงจุ้ย เขาก็บอกว่าห้องแรก (ห้อง VIP) ที่นั่งซื้อขายหุ้นอยู่มัน "หมดพลัง" ไปนานแล้ว หลังจากได้กำไรจากห้องนี้มาแล้ว 500% พอย้ายมาห้องที่ 2 ก็ได้กำไรมาตลอดจนห้องหมดพลังอีก จากนั้นก็ย้ายมาห้องปัจจุบัน VIP 8 อยู่ชั้น 3 อาคารสาธรซิตี้ทาวเวอร์ เป็นห้องที่ 3 ห้องนี้เป็นของผู้บริหารคนหนึ่งของ บล.เอเซีย พลัส
ตอนแรกเข้าไปในห้อง VIP 8 โต๊ะทำงานอยู่ทางซ้ายมือ ซินแสทักว่าไม่ดีให้ย้ายมาอยู่ทางด้านขวามือ ตรงหน้าประตูมองเห็นหิ้งพระชัดเจน บนหิ้งพระมองเห็นพระพระพิฆเนศวร์โดดเด่น และยังมีพระอีกจำนวนมากซึ่งพระส่วนใหญ่มีคนให้มา เจ้าตัวก็มีความเชื่อว่าพระที่คนอื่นให้มาจะได้บุญมากกว่าไปเช่าหามาเอง บนพนังซ้ายมือติดรูป "ม้าทอง" กำลังวิ่ง ด้านหลังติดรูปสัญลักษณ์ "หงส์แดง" ของสโมสรลิเวอร์พูล "ทีมโปรด"
"ซินแสยังบอกว่าห้องทำงาน (หุ้นเทรดหุ้น) ต้องทำให้ดูรกๆ คล้ายเป็นบ้านของเราเอง อย่าให้มันดูหรูหรา ถึงจะถูกหลักฮวงจุ้ย"
ห้อง VIP 8 ปัจจุบันซินแสบอกว่า "หมดพลัง" ไปอีกแล้ว แต่เสี่ยป๋องยังคงยึดเอาไว้เป็นห้องทำการบ้านและห้องเรียนพิเศษของลูกๆ 3 คน โดยเจ้าตัวยอมลงทุนเช่าออฟฟิศไว้เป็นห้องเทรดหุ้นแห่งใหม่ (ห้องที่ 4) อยู่บนชั้น 20 กว่าๆ ในอาคารสาธรซิตี้ทาวเวอร์ เพิ่งย้ายช่วงต้นปี 2552 และห้องนี้ทำกำไรให้แล้วกว่า 100% ยิ่งตอกย้ำให้เชื่อเข้าไปใหญ่
"ตั้งแต่นั่งห้องนี้ ผมก็เล่นหุ้นได้กำไรมาตลอด ถ้าห้องหมดพลังอีกก็คงย้ายไปเรื่อยๆ หรือถ้าบล.เอเซีย พลัส ปรับเปลี่ยนผู้บริหารที่มีดวงไม่สมพงษ์กับผม ก็คงย้ายไปซื้อขายหุ้นที่โบรกเกอร์อื่น ใครฟังอาจมองเป็นเรื่องตลก แต่ถ้าคุณไม่เจอด้วยตัวเองไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด"
เสี่ยป๋องเล่าว่า ก่อนวันสงกรานต์ปีนี้ ตัดสินใจซื้อหุ้นเกือบเต็มพอร์ต เพราะคิดว่าเมื่อตลาดหุ้นเปิดหลังสงกรานต์ SET Index น่าจะพุ่งแน่นอน แต่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันคนเสื้อแดงปิดถนนหลายจุดทั่วกรุงเทพฯ ยอมรับหัวใจแทบวายชีวิตช่วงนั้นอยู่ไม่เป็นสุขเลย จนภรรยาต้องเอ่ยปากว่าคงไม่เลวร้ายอย่างที่คิดหรอก สุดท้ายเมื่อตลาดเปิดหุ้นไม่ล่วงเลย จึงรีบล้างพอร์ตอย่างเร่งด่วน นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้ยิ่งเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยมากขึ้น
จากประสบการณ์ 17 ปีในตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบัน เจ้าตัวบอกได้เลยว่า "เก่ง" อย่างเดียวไม่พอ มันต้องมี "โชค" ช่วยด้วย
"ผมเป็นคนหนึ่งที่โชคไม่ค่อยเข้าข้าง แต่บังเอิญผมขยันศึกษาหาความรู้จนเชี่ยวชาญเรื่องเทคนิเคิล เมื่อความเพียรบวกกับการมีฮวงจุ้ยที่ดี จึงทำให้เล่นหุ้นได้กำไรมาตลอด หลังจากเครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรด 11 กันยายน 2544 จำได้ว่าทำให้ผมมีเงินเก็บเป็นปีแรก แต่ชีวิตเพิ่งมาประสบความสำเร็จเมื่อปี 2546 มีกำไรจากพอร์ตลงทุน 400-500%"
ชีวิตในตลาดหุ้นของเซียนหุ้นหลายร้อยล้านบาทรายนี้ กำไรที่ได้มาตลอดทาง อยากจะบอกตรงๆว่ามัน "ไม่สนุกเลย" ตรงกันข้ามยิ่งมีเงินเยอะ..ยิ่งเล่นหุ้นเยอะ "ยิ่งเครียด" ทุกวันนี้ต้องนอนตี 1 ตื่นตี 5 ครึ่ง เพราะต้องเฝ้าติดตามข่าวกับตลาดหุ้นต่างประเทศช่วงกลางคืนและก่อนตลาดเปิด กลัวจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
หลักการของ "นักเก็งกำไรมืออาชีพ" เช่นเขา จะเริ่มเสพความสุขได้ก็ต่อเมื่อได้กำไรและถือเงินสดไว้ในมือ 100% เท่านั้น นั่นอาจเป็นเพราะเขามีกลยุทธ์การลงทุนไม่เหมือนนักลงทุนรายอื่น เพราะเป็น Pure Technical Analysis ที่ยึดถือแต่เส้นกราฟเป็นสรณะ และดูเครื่องมือทางเทคนิคเกือบทุกตัวก่อนลงมือ
"ผมเป็นนักลงทุนระยะสั้นจะเน้นดูเส้นกราฟและเทคนิคเป็นหลัก "ถ้ากราฟไม่สวย..ผมไม่เล่น" ต่อให้มีข่าวดีรออยู่ข้างหน้าก็ไม่เล่น การเล่นหุ้นแบบนี้เคยใช้เวลาตัดสินใจซื้อหุ้น 1 ตัว เพียงแค่ "ครึ่งนาที" เพราะเทคนิคไม่เคยหลอกใคร นอกเสียจากคุณหลอกตัวเอง"
การฝึกฝนที่ผ่านมาเขาจะซื้อหนังสือมาอ่าน ลองผิดลองถูกและเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะก่อนหน้าจะค้นพบทางที่ใช่ ชอบฟังคนอื่นโดยเฉพาะมาร์เก็ตติ้ง และเพื่อนๆ ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
"จุดหักเหมันอยู่ตรงที่ผมไปรู้จักเซียนหุ้นรายใหญ่คนหนึ่ง "เฮีย" คนนี้เล่นหุ้นด้วยการดูเทคนิคเก่งมาก โดยไม่ต้องโทรถามใครสักคน เพราะเขาถือคติเงินของเราหุ้นของเราจะให้คนอื่นดูแลทำไม ในช่วง 3 ปีแรกที่เปลี่ยนมาเล่นหุ้นด้วยวิธีนี้ยอมรับว่าไปไม่รอด แต่เมื่อเริ่มคุ้นเคยทุกอย่างก็ปลอดโปร่ง"
เสี่ยป๋องเอ่ยขึ้นมีใครหลายๆ คนชอบถามว่า ทำไม! ถึงไม่เล่นหุ้นแบบ "แวลูอินเวสเตอร์" ก็จะบอกเสมอว่า "มันไม่ใช่ทางของผม" ความสามารถของตัวเองวิเคราะห์หุ้นได้มากสุดแค่ 3-4 เดือนข้างหน้า ไม่สามารถทำนายได้ว่าทิศทางหุ้นจะเป็นอย่างไรภายใน 5 ปีข้างหน้า เหมือนที่แวลูอินเวสเตอร์เขามองกัน นักลงทุนประเภทนี้อ่านเกมเก่ง แต่ตัวเองไม่สามารถจริงๆ
"ผมซื้อหนังสือวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคมาอ่าน 1 รอบ แล้วก็ลองเล่นหุ้นตามคำแนะนำ ผมจำเป็นต้องปรับตัวสู้ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นคนคิดบวกมาตลอดแต่หุ้นไทยทำให้ผมคิดบวกไม่เป็น ฉะนั้นการเป็น Speculator (นักเก็งกำไร) คงเหมาะสมกับผมที่สุดแล้ว?
เซียนหุ้นรายนี้เริ่มเปิดพอร์ตครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2535 ซึ่งตรงกับวันสุนทรภู่พอดี จากการชักชวนของรุ่นพี่ที่เอแบค โดยเริ่มต้นพอร์ตการลงทุนครั้งแรก 500,000 บาท ที่ขอมาจากแม่แลกกับการช่วยงานที่บ้าน ซึ่งช่วงนั้นมีอายุเพียง 19 ปี เล่นอยู่ที่ บงล.จีเอฟ ซอยหลังสวน
"ผมสัญญากับตัวเองไว้ว่า เมื่อได้กำไรจากการลงทุน 1,000 ล้านบาท ผมจะค่อยๆ ถอนตัวออกจากตลาดหุ้น เพื่อไปช่วยกิจการโรงสีของครอบครัวที่จังหวัดชัยนาท"
เขาบอกว่าวันนี้เดินทางผ่านมาแล้ว "ครึ่งทาง" คาดว่าเมื่ออายุครบ 40 ปี (ปัจจุบันอายุ 36 ปี เล่นหุ้นมาแล้ว 17 ปี) จะทำสำเร็จตามที่ตั้งใจ หลังจากนั้นก็จะเปลี่ยนบทบาทตัวเองจาก "นักเก็งกำไรหุ้นพื้นฐาน" มาเป็น "นักลงทุนกึ่งเน้นคุณค่า" โดยจะไม่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อเล่นหุ้นทั้งวันทั้งคืนอีกแล้ว
"คนเรามันต้องรู้จักอิ่ม รู้จักพอ ปล่อยให้นักลงทุนหน้าใหม่ได้เข้ามามีบทบาทในตลาดหุ้นบ้าง ทุกวันนี้ผมถือเป็นนักเก็งกำไรรายใหญ่มาก เพียงแค่ขยับเงินหุ้นก็เปลี่ยนทิศทางได้แล้ว วันหนึ่งเมื่อถึงจุดพอใจ..ผมจะไป"
ส่วนประเด็นที่ "ฉาย บุนนาค" ผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.ซันไชน์ คอร์เปอเรชั่น และบมจ.เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง เคยให้สัมภาษณ์กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่าเป็น "ศิษย์เอก" เสี่ยป๋อง
"ผมไม่มีลูกศิษย์ แม้กระทั่ง ฉาย บุนนาค ก็ไม่ใช่ศิษย์เอกของผม เพราะถ้าเขาเป็นลูกศิษย์จริงคงต้องโทรคุยกันบ่อยๆ แต่นี่ไม่ได้คุยกันนานเป็นปีแล้ว ที่สำคัญเขามีวิธีการเล่นหุ้นไม่เหมือนผม ฉายเขาลงทุนเพราะต้องการเป็นเจ้าของบริษัท แต่ผมต้องการแค่กำไร หากจะถามว่ามีลูกศิษย์มั๊ย! ก็พอมีบ้างมีอยู่รายหนึ่งเป็นหมอ เขาซื้อหุ้นตามผมตลอดช่วงที่ผ่านมาได้กำไรหุ้น AP ไปเต็มกระเป๋า"
วันนี้เสี่ยป๋องยังไม่อิ่ม ยังไม่พอ เขาให้เหตุผลว่าหลายปีที่ผ่านมาเสียเวลาทั้งชีวิตไปกับตลาดหุ้นแล้วจะให้เลิกง่ายๆ ได้อย่างไร...
คำว่า "พอ" นั้นพูดง่าย แต่เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ยากยิ่ง วันที่ "ใจอิ่ม" ความอยากจึงจะ "หยุด" ตราบใดที่ "ความโลภ" ไม่สิ้นสุด "ความสุข" ก็ยากแท้ที่จะหยั่งถึ
****************************
ฮวงจุ้ย+ฝีมือ เคล็ดความรวย เสี่ยป๋อง..วัชระ แก้วสว่าง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ขอบคุณแหล่งข้อมูลครับ
http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34644&page=1
ฮวงจุ้ย+ฝีมือ เคล็ดความรวย เสี่ยป๋อง..วัชระ แก้วสว่าง
"เสี่ยป๋อง" วัชระ แก้วสว่าง เชื่อมาตลอดว่าปัจจัยความสำเร็จต้องมีจุดลงตัวระหว่าง "เก่ง" กับ "เฮง" ฝีมือพัฒนาได้จากประสบการณ์และการฝึกฝน แต่โชคหรือ "พลังเกื้อหนุน" ช่วยได้โดยศาสตร์ฮวงจุ้ย และการเสริมดวง ปัจจุบันเซียนหุ้นวัย 36 ปีรายนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงมีพอร์ตลงทุนหลายร้อยล้านบาท ในวงการยกย่องให้เป็น "นักเก็งกำไรขั้นเทพ" ที่ใจถึงกล้าได้กล้าเสีย และเป็นนักลงทุนรายใหญ่ระดับแถวหน้าของ บล.เอเซีย พลัส
ความเชื่อในศาสตร์เร้นลับของเสี่ยป๋อง แม้แต่การเลือกเทรดหุ้นที่ บล.เอเซีย พลัส ก็เกิดจาก "ดวง" ของเขากับดวงของผู้บริหาร "สมพงษ์" กันเป็นอย่างดี อีกทั้งการเลือกห้อง VIP ส่วนตัว การจัดวางตำแหน่งโต๊ะ เก้าอี้ หิ้งพระ ล้วนเป็นไปตามทิศและองศาตามหลักฮวงจุ้ยทุกประการ นี่คือหนึ่งในองค์ประกอบความร่ำรวยที่ใครไม่เชื่ออย่าลบหลู่
เสี่ยป๋องเล่าให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า สาเหตุที่นั่งเทรดหุ้นอยู่ที่ บล.เอเซีย พลัส อาคารสาธรซิตี้ทาวเวอร์ ถนนสาทรใต้ เพราะเป็นโบรกเกอร์ที่มีหลักฮวงจุ้ยที่ดีเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์อีกหลายแห่งที่ได้เปิดพอร์ตลงทุนไว้ โดยเฉพาะดวงของผู้บริหาร ประทีป ยงวณิชย์ กรรมการผู้อำนวยการ เขาเกิดปีหนู ขณะที่มาร์เก็ตติ้งส่วนตัวเกิดปีงู ซึ่งดวงสมพงษ์กับของตัวเองที่เกิดปีฉลู นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้ปักหลักเทรดหุ้นอยู่กับบล.เอเซีย พลัส มานานกว่า 8 ปี
"ผมยอมรับว่าเชื่อเรื่องพวกนี้ แม้ปัจจัยความสำเร็จจะมาจากประสบการณ์และการฝึกฝน แต่ศาสตร์เหล่านี้มีส่วนช่วยให้สามารถฝ่าวิกฤติมาได้ทุกครั้ง แม้แต่ช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีและเกิดปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองแต่กลับทำให้ร่ำรวยขึ้น นับตั้งแต่ต้นปี 2552 จนถึงปัจจุบัน ผมมีกำไรจากตลาดหุ้นแล้ว 130% ที่สำคัญได้คืนเงินต้นกลับไปให้ครอบครัวหมดแล้ว ทุกวันนี้นำแต่กำไร (หลายร้อยล้านบาท) มาลงทุนทบต้นไปเรื่อยๆ" เสี่ยป๋องว่า
เจ้าของสโลแกน นักเก็งกำไรหุ้นพื้นฐาน บอกว่า ช่วงที่มานั่งดูหุ้นที่ บล.เอเซีย พลัสใหม่ๆ ยอมรับว่าเล่นหุ้นแล้วไม่รุ่งเท่าที่ควร จนไปรู้จักอาจารย์ท่านหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องฮวงจุ้ย เขาก็บอกว่าห้องแรก (ห้อง VIP) ที่นั่งซื้อขายหุ้นอยู่มัน "หมดพลัง" ไปนานแล้ว หลังจากได้กำไรจากห้องนี้มาแล้ว 500% พอย้ายมาห้องที่ 2 ก็ได้กำไรมาตลอดจนห้องหมดพลังอีก จากนั้นก็ย้ายมาห้องปัจจุบัน VIP 8 อยู่ชั้น 3 อาคารสาธรซิตี้ทาวเวอร์ เป็นห้องที่ 3 ห้องนี้เป็นของผู้บริหารคนหนึ่งของ บล.เอเซีย พลัส
ตอนแรกเข้าไปในห้อง VIP 8 โต๊ะทำงานอยู่ทางซ้ายมือ ซินแสทักว่าไม่ดีให้ย้ายมาอยู่ทางด้านขวามือ ตรงหน้าประตูมองเห็นหิ้งพระชัดเจน บนหิ้งพระมองเห็นพระพระพิฆเนศวร์โดดเด่น และยังมีพระอีกจำนวนมากซึ่งพระส่วนใหญ่มีคนให้มา เจ้าตัวก็มีความเชื่อว่าพระที่คนอื่นให้มาจะได้บุญมากกว่าไปเช่าหามาเอง บนพนังซ้ายมือติดรูป "ม้าทอง" กำลังวิ่ง ด้านหลังติดรูปสัญลักษณ์ "หงส์แดง" ของสโมสรลิเวอร์พูล "ทีมโปรด"
"ซินแสยังบอกว่าห้องทำงาน (หุ้นเทรดหุ้น) ต้องทำให้ดูรกๆ คล้ายเป็นบ้านของเราเอง อย่าให้มันดูหรูหรา ถึงจะถูกหลักฮวงจุ้ย"
ห้อง VIP 8 ปัจจุบันซินแสบอกว่า "หมดพลัง" ไปอีกแล้ว แต่เสี่ยป๋องยังคงยึดเอาไว้เป็นห้องทำการบ้านและห้องเรียนพิเศษของลูกๆ 3 คน โดยเจ้าตัวยอมลงทุนเช่าออฟฟิศไว้เป็นห้องเทรดหุ้นแห่งใหม่ (ห้องที่ 4) อยู่บนชั้น 20 กว่าๆ ในอาคารสาธรซิตี้ทาวเวอร์ เพิ่งย้ายช่วงต้นปี 2552 และห้องนี้ทำกำไรให้แล้วกว่า 100% ยิ่งตอกย้ำให้เชื่อเข้าไปใหญ่
"ตั้งแต่นั่งห้องนี้ ผมก็เล่นหุ้นได้กำไรมาตลอด ถ้าห้องหมดพลังอีกก็คงย้ายไปเรื่อยๆ หรือถ้าบล.เอเซีย พลัส ปรับเปลี่ยนผู้บริหารที่มีดวงไม่สมพงษ์กับผม ก็คงย้ายไปซื้อขายหุ้นที่โบรกเกอร์อื่น ใครฟังอาจมองเป็นเรื่องตลก แต่ถ้าคุณไม่เจอด้วยตัวเองไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด"
เสี่ยป๋องเล่าว่า ก่อนวันสงกรานต์ปีนี้ ตัดสินใจซื้อหุ้นเกือบเต็มพอร์ต เพราะคิดว่าเมื่อตลาดหุ้นเปิดหลังสงกรานต์ SET Index น่าจะพุ่งแน่นอน แต่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันคนเสื้อแดงปิดถนนหลายจุดทั่วกรุงเทพฯ ยอมรับหัวใจแทบวายชีวิตช่วงนั้นอยู่ไม่เป็นสุขเลย จนภรรยาต้องเอ่ยปากว่าคงไม่เลวร้ายอย่างที่คิดหรอก สุดท้ายเมื่อตลาดเปิดหุ้นไม่ล่วงเลย จึงรีบล้างพอร์ตอย่างเร่งด่วน นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้ยิ่งเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยมากขึ้น
จากประสบการณ์ 17 ปีในตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบัน เจ้าตัวบอกได้เลยว่า "เก่ง" อย่างเดียวไม่พอ มันต้องมี "โชค" ช่วยด้วย
"ผมเป็นคนหนึ่งที่โชคไม่ค่อยเข้าข้าง แต่บังเอิญผมขยันศึกษาหาความรู้จนเชี่ยวชาญเรื่องเทคนิเคิล เมื่อความเพียรบวกกับการมีฮวงจุ้ยที่ดี จึงทำให้เล่นหุ้นได้กำไรมาตลอด หลังจากเครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรด 11 กันยายน 2544 จำได้ว่าทำให้ผมมีเงินเก็บเป็นปีแรก แต่ชีวิตเพิ่งมาประสบความสำเร็จเมื่อปี 2546 มีกำไรจากพอร์ตลงทุน 400-500%"
ชีวิตในตลาดหุ้นของเซียนหุ้นหลายร้อยล้านบาทรายนี้ กำไรที่ได้มาตลอดทาง อยากจะบอกตรงๆว่ามัน "ไม่สนุกเลย" ตรงกันข้ามยิ่งมีเงินเยอะ..ยิ่งเล่นหุ้นเยอะ "ยิ่งเครียด" ทุกวันนี้ต้องนอนตี 1 ตื่นตี 5 ครึ่ง เพราะต้องเฝ้าติดตามข่าวกับตลาดหุ้นต่างประเทศช่วงกลางคืนและก่อนตลาดเปิด กลัวจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
หลักการของ "นักเก็งกำไรมืออาชีพ" เช่นเขา จะเริ่มเสพความสุขได้ก็ต่อเมื่อได้กำไรและถือเงินสดไว้ในมือ 100% เท่านั้น นั่นอาจเป็นเพราะเขามีกลยุทธ์การลงทุนไม่เหมือนนักลงทุนรายอื่น เพราะเป็น Pure Technical Analysis ที่ยึดถือแต่เส้นกราฟเป็นสรณะ และดูเครื่องมือทางเทคนิคเกือบทุกตัวก่อนลงมือ
"ผมเป็นนักลงทุนระยะสั้นจะเน้นดูเส้นกราฟและเทคนิคเป็นหลัก "ถ้ากราฟไม่สวย..ผมไม่เล่น" ต่อให้มีข่าวดีรออยู่ข้างหน้าก็ไม่เล่น การเล่นหุ้นแบบนี้เคยใช้เวลาตัดสินใจซื้อหุ้น 1 ตัว เพียงแค่ "ครึ่งนาที" เพราะเทคนิคไม่เคยหลอกใคร นอกเสียจากคุณหลอกตัวเอง"
การฝึกฝนที่ผ่านมาเขาจะซื้อหนังสือมาอ่าน ลองผิดลองถูกและเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะก่อนหน้าจะค้นพบทางที่ใช่ ชอบฟังคนอื่นโดยเฉพาะมาร์เก็ตติ้ง และเพื่อนๆ ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
"จุดหักเหมันอยู่ตรงที่ผมไปรู้จักเซียนหุ้นรายใหญ่คนหนึ่ง "เฮีย" คนนี้เล่นหุ้นด้วยการดูเทคนิคเก่งมาก โดยไม่ต้องโทรถามใครสักคน เพราะเขาถือคติเงินของเราหุ้นของเราจะให้คนอื่นดูแลทำไม ในช่วง 3 ปีแรกที่เปลี่ยนมาเล่นหุ้นด้วยวิธีนี้ยอมรับว่าไปไม่รอด แต่เมื่อเริ่มคุ้นเคยทุกอย่างก็ปลอดโปร่ง"
เสี่ยป๋องเอ่ยขึ้นมีใครหลายๆ คนชอบถามว่า ทำไม! ถึงไม่เล่นหุ้นแบบ "แวลูอินเวสเตอร์" ก็จะบอกเสมอว่า "มันไม่ใช่ทางของผม" ความสามารถของตัวเองวิเคราะห์หุ้นได้มากสุดแค่ 3-4 เดือนข้างหน้า ไม่สามารถทำนายได้ว่าทิศทางหุ้นจะเป็นอย่างไรภายใน 5 ปีข้างหน้า เหมือนที่แวลูอินเวสเตอร์เขามองกัน นักลงทุนประเภทนี้อ่านเกมเก่ง แต่ตัวเองไม่สามารถจริงๆ
"ผมซื้อหนังสือวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคมาอ่าน 1 รอบ แล้วก็ลองเล่นหุ้นตามคำแนะนำ ผมจำเป็นต้องปรับตัวสู้ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นคนคิดบวกมาตลอดแต่หุ้นไทยทำให้ผมคิดบวกไม่เป็น ฉะนั้นการเป็น Speculator (นักเก็งกำไร) คงเหมาะสมกับผมที่สุดแล้ว?
เซียนหุ้นรายนี้เริ่มเปิดพอร์ตครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2535 ซึ่งตรงกับวันสุนทรภู่พอดี จากการชักชวนของรุ่นพี่ที่เอแบค โดยเริ่มต้นพอร์ตการลงทุนครั้งแรก 500,000 บาท ที่ขอมาจากแม่แลกกับการช่วยงานที่บ้าน ซึ่งช่วงนั้นมีอายุเพียง 19 ปี เล่นอยู่ที่ บงล.จีเอฟ ซอยหลังสวน
"ผมสัญญากับตัวเองไว้ว่า เมื่อได้กำไรจากการลงทุน 1,000 ล้านบาท ผมจะค่อยๆ ถอนตัวออกจากตลาดหุ้น เพื่อไปช่วยกิจการโรงสีของครอบครัวที่จังหวัดชัยนาท"
เขาบอกว่าวันนี้เดินทางผ่านมาแล้ว "ครึ่งทาง" คาดว่าเมื่ออายุครบ 40 ปี (ปัจจุบันอายุ 36 ปี เล่นหุ้นมาแล้ว 17 ปี) จะทำสำเร็จตามที่ตั้งใจ หลังจากนั้นก็จะเปลี่ยนบทบาทตัวเองจาก "นักเก็งกำไรหุ้นพื้นฐาน" มาเป็น "นักลงทุนกึ่งเน้นคุณค่า" โดยจะไม่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อเล่นหุ้นทั้งวันทั้งคืนอีกแล้ว
"คนเรามันต้องรู้จักอิ่ม รู้จักพอ ปล่อยให้นักลงทุนหน้าใหม่ได้เข้ามามีบทบาทในตลาดหุ้นบ้าง ทุกวันนี้ผมถือเป็นนักเก็งกำไรรายใหญ่มาก เพียงแค่ขยับเงินหุ้นก็เปลี่ยนทิศทางได้แล้ว วันหนึ่งเมื่อถึงจุดพอใจ..ผมจะไป"
ส่วนประเด็นที่ "ฉาย บุนนาค" ผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.ซันไชน์ คอร์เปอเรชั่น และบมจ.เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง เคยให้สัมภาษณ์กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่าเป็น "ศิษย์เอก" เสี่ยป๋อง
"ผมไม่มีลูกศิษย์ แม้กระทั่ง ฉาย บุนนาค ก็ไม่ใช่ศิษย์เอกของผม เพราะถ้าเขาเป็นลูกศิษย์จริงคงต้องโทรคุยกันบ่อยๆ แต่นี่ไม่ได้คุยกันนานเป็นปีแล้ว ที่สำคัญเขามีวิธีการเล่นหุ้นไม่เหมือนผม ฉายเขาลงทุนเพราะต้องการเป็นเจ้าของบริษัท แต่ผมต้องการแค่กำไร หากจะถามว่ามีลูกศิษย์มั๊ย! ก็พอมีบ้างมีอยู่รายหนึ่งเป็นหมอ เขาซื้อหุ้นตามผมตลอดช่วงที่ผ่านมาได้กำไรหุ้น AP ไปเต็มกระเป๋า"
วันนี้เสี่ยป๋องยังไม่อิ่ม ยังไม่พอ เขาให้เหตุผลว่าหลายปีที่ผ่านมาเสียเวลาทั้งชีวิตไปกับตลาดหุ้นแล้วจะให้เลิกง่ายๆ ได้อย่างไร...
คำว่า "พอ" นั้นพูดง่าย แต่เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ยากยิ่ง วันที่ "ใจอิ่ม" ความอยากจึงจะ "หยุด" ตราบใดที่ "ความโลภ" ไม่สิ้นสุด "ความสุข" ก็ยากแท้ที่จะหยั่งถึ
****************************
ฮวงจุ้ย+ฝีมือ เคล็ดความรวย เสี่ยป๋อง..วัชระ แก้วสว่าง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ขอบคุณแหล่งข้อมูลครับ http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34644&page=1