หลวงพ่อโอภาสี และหลวงพ่อบ๋าวเอิง(วัดสมณานัมบรหาร) ตอนเดินทางไปอินเดีย



                หลวงพ่อโอภาสีได้ล้วงลงไปในย่าม แล้วหยิบเหรียญบาทสมัยรัชกาลที่ ๕ ออกมาแจกจ่ายไปเรื่อย ๆ ศิษย์ต่างก็ใจคอไม่ดี เพราะกลัวว่าหลวงพ่อจะมีเงินแจกไม่พอเพียงกับคนที่มาขอ เนื่องจากหลวงพ่อไม่เคยให้ศิษย์คนไหนไปหาเหรียญนั้นมาให้แม้แต่เหรียญเดียว ไม่มีใครทราบว่า “หลวงพ่อเอาเหรียญบาท ร.๕ ซึ่งเป็นของแท้ของเก่าจริง ๆ มีคนนำไปพิสูจน์แล้วในภายหลัง มาจากไหน ?”
                แต่การณ์กลับปรากฏว่า หลวงพ่อโอภาสีควักเงินออกมาจากย่าม แจกอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จนถึงปลายทาง จ.นครศรีธรรมราช คำนวณแล้ว หลวงพ่อแจกไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเหรียญ
                เมื่อหลวงพ่อได้เยี่ยมเยียนชาวปากพนัง และญาติโยมที่มาแสดงมุทิตาจิตพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็เดินทางกลับนครศรีธรรมราชด้วยเรือ  เมื่อเรือจะออกจากท่านั้น ผู้คนแห่แหนกันมาขอของดีจากท่าน แต่หลวงพ่อไม่มีให้ เพราะมีคนมาขอกันเป็นพันคน ในที่สุดหลวงพ่อก็ประกาศว่า ขอให้เตรียมตัวรับของแจก ไม่ต้องขึ้นมาบนเรือ ขอให้อยู่ที่ท่าเรือ
                พอเรือติดเครื่อง หลวงพ่อก็เดินมายืนที่หัวเรือ พนมมือแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า ปากพึมพำ ๆ อยู่สักครู่ ท้องฟ้าอันแจ่มใสก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม พายุพัดกระหน่ำจนผู้คนที่ยืนอยู่เสื้อผ้าปลิว ผมปลิว แทบจะยืนไม่อยู่ ทันใดนั้น ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก โดยไม่มีเค้ามาก่อน เป็นที่ฉ่ำชื่นใจของทุกคนที่รอรับของแจกจากหลวงพ่อบนท่าเรือ ทุกคนต่างพนมมือขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน ต่างอธิษฐานขอพรจากฟ้าที่เทวดาเป็นผู้พรม เพราะต่างเชื่อว่า หลวงพ่อเรียกฝนมาพรมให้แทนน้ำมนต์นั่นเอง
                พอเรือแล่นออกจากท่าไปจนลับสายตาแล้ว ฝนก็หยุดตก  ท้องฟ้าแจ่มใสขึ้นมาทันทีทันใด หลวงพ่อโอภาสีได้จากปากพนังไปแล้ว นับเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ที่หลวงพ่อกลับมาถิ่นเกิดของท่าน หลังจากที่ได้จากบ้านเกิดไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่กรุงเทพ ฯ เพราะท่านได้มรณภาพเสียก่อน ที่จะมีโอกาสหวนกลับคืนมาบ้านเกิดเป็นครั้งที่สอง
                พุทธสมาคมแห่งประเทศอินเดีย  ได้ทำจดหมายนิมนต์หลวงพ่อไปนมัสการสังเวชนียสถาน และให้ญาติโยมได้นมัสการอย่างใกล้ชิด หลวงพ่อรับจดหมายมาอ่าน ในจดหมายแจ้งกำหนดการให้หลวงพ่อไปถึงอินเดียวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๔๙๘ แต่หลวงพ่อได้ให้ศิษย์ตอบจดหมายไปว่า ขอเลื่อนไปวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘ จะสะดวกกว่า จึงมีการเปลี่ยนกำหนดการที่กำหนดไว้เดิมออกไป
                การไปอินเดียคราวนี้ องค์สรภาณมธุรส (ท่านบ๋าวเอิง) แห่งวัดสมณานัมวรวิหาร สะพานขาว ได้ขอเดินทางร่วมกับหลวงพ่อโอภาสี โดยไปเรียนให้ทราบถึงสำนักสงฆ์บางมด แต่หลวงพ่อโอภาสีกลับตอบว่า
                “ไม่ได้หรอกคุณ ไปคราวนี้อาตมาไปแบบพิสดาร ไม่มีพาสปอร์ต ไม่มีใครไปด้วยได้เลยสักคน อีกอย่างหนึ่ง คุณมีธุระมาก ไปไม่ได้ จะห่วงหน้าพะวงหลังต่าง ๆ”
                องค์สรภาณมธุรรส (ท่านบ๋าวเอิง) ได้กล่าวกับศิษย์ใกล้ชิดว่า อาตมาสงสัยอยู่แล้วว่า จะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน แต่ไม่กล้าซักถามท่าน เกรงบารมีท่านจริง ๆ ไม่งั้นคงถามให้รู้เรื่องไปเลย”
                วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘ ที่ประเทศอินเดีย มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ด นายกพุทธสมาคมแห่งประเทศอินเดีย กำลังพักผ่อนอิริยาบถในบ้าน พลันที่ผนังห้องเบื้องหน้า ก็ปรากฎกลุ่มควันจาง ๆ พวยพุ่งขึ้น และจับกลุ่มหนาขึ้น ภายในกลุ่มควันนั้น ปรากฎใบหน้าของ “หลวงพ่อโอภาสี” ขึ้น ใบหน้าของท่านดูแจ่มใส มีรัศมีกระจายออกมาอย่างสวยงาม ท่านยิ้มให้ มิสเตอร์เอิร์ด อย่างเมตตา พลันกลุ่มควัน และภาพของหลวงพ่อโอภาสีก็มลายหายไปทันที
                มิสเตอร์เอิร์ด ซึ่งเคยได้ข่าวว่า หลวงพ่อโอภาสีจะมาอินเดียแบบพิสดารจากท่านบ๋าวเอิง ก็รู้สึกว่าน่าจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ๆ ครั้นตอนสายหน่อยกำลังจะออกจากบ้าน คนรับใช้ก็เข้ามาเรียนให้ทราบว่า มีนักบวชในศาสนาพุทธมาคอยพบอยู่ที่ห้องรับแขก มิสเตอร์เอิร์ด จึงรีบออกไปดู ในห้องรับแขกนั้นเอง หลวงพ่อโอภาสีนั่งคอยอยู่ มิสเตอร์เอิร์ด เข้าไปกราบแทบเท้าท่านด้วยความเคารพ
                “ทำไมหลวงพ่อไม่บอกล่วงหน้าถึงเวลาที่จะมา จะได้เอารถไปรับจากสนามบิน หลวงพ่อเดินทางมาที่บ้านผมลำบากมากไหม ?”
                “ไม่ลำบากเลย สบายมาก ฉันมาตามคำพูดของฉัน ให้คุณได้ประจักษ์ว่า คำพูดของโอภาสีเชื่อถือได้ ฉันลองบอกว่าจะมาแล้วล่ะก็ อะไรก็ห้ามกันไม่ได้ ฉันมาแล้วล่ะ เธอจะได้สบายใจ”
                มิสเตอร์เอิร์ด จึงให้นำน้ำชามาต้อนรับหลวงพ่อโอภาสี และขอตัวไปเตรียมตัว จะเอารถพาหลวงพ่อโอภาสีไปเที่ยวดูภายในเมือง แต่หลวงพ่อโอภาสีได้กล่าวเป็นคำสุดท้ายว่า
                “ไม่ต้องวุ่นวายหรอกคุณ ฉันเพียงแต่มาให้เห็นเท่านั้นแหละ ไม่ต้องวุ่นวาย”
                มิสเตอร์เอิร์ด หายไปเพียงสิบนาที ก็พร้อมจะนิมนต์หลวงพ่อขึ้นรถ แต่พอมาถึงห้องรับแขก ร่างของหลวงพ่อโอภาสีก็ไม่มีอยู่แล้ว จึงออกไปดูหน้าบ้านก็ไม่พบอีก จึงเรียกคนรับใช้มาสอบถาม คนรับใช้ก็บอกว่า นั่งมองดูอยู่หน้าบ้านเป็นเวลานานแล้ว ไม่เห็นมีพระออกมาเลย มิสเตอร์เอิร์ด รู้สึกใจหายวาบ ไม่ยอมออกจากบ้าน เพราะเกรงว่าหลวงพ่ออาจจะมาเตือนอันตราย แต่แล้วในตอนบ่ายสามโมง โทรเลขด่วนก็มาถึง มิสเตอร์เอิร์ด พอฉีกโทรเลขออกอ่าน มิสเตอร์เอิร์ด ก็เข่าอ่อนทรุดลงนั่งอย่างหมดแรง ข้อความในโทรเลขมีใจความว่า
                “หลวงพ่อโอภาสีมรณภาพ เวลา ๐๗.๓๐ น. วันที่ ๓๑ กำหนดการ งดทั้งหมด”
                หลวงพ่อโอภาสีมรณภาพตอน ๐๗.๓๐ น. แล้วภาพในกลุ่มควันนั้นเป็นอะไรกันแน่ มิสเตอร์เอิร์ดเหมือนถูกทุบหัวด้วยตะลุมพุก แล้วหลวงพ่อโอภาสีที่ได้คุยกันอยู่เมื่อครู่มาได้อย่างไรกัน นอกจากจะเป็นกายทิพย่าของหลวงพ่อ มิสเตอร์เอิร์ด รีบจองเที่ยวบินที่ด่วนที่สุด เดินทางมาบางมดทันที
                เมื่อมาถึงก็ได้พบศพของหลวงพ่อโอภาสี นอนมรณภาพ มีมุ้งกางไว้เหมือนคนนอนหลับ ร่างกายไม่แข็ง แต่นิ่มเหมือนคนนอนหลับทั่วไป เรื่องราวของหลวงพ่อไปปรากฏร่างถึงอินเดีย จึงปรากฎขึ้นจากปากของมิสเตอร์เอิร์ด เสียงร่ำไห้ของศิษย์จึงดังระงมขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
                ทุกวันนี้ ศพของหลวงพ่อโอภาสียังไม่ได้เผา ตั้งไว้ที่วัดโอภาสี บางมด และสรีระของท่านไม่เน่าเปื่อย แต่กลับแข็งเป็นหินโดยตลอดทั้งร่าง สมกับเป็นพระผู้อุดมด้วยศีลาจารวัตรผู้มาจากต่างมิติ สวมร่างของพระมหาชวนซึ่งสิ้นบุญมรณภาพในช่วงแห่งความตายที่วัดบวรนิเวศวิหาร
                มีรูปเก่าเล่าประวัติ ศาสตร์มาให้ชม หลวงพ่อโอภาสี กับ พระอาจารย์ บ๋าว เอิง วัดญานสะพานขาว ซึ่งยืนคู่กันอยู่ด้านหลัง ขณะทำพิธีกงเต๊ก ด้านล่างมีแผ่นกระดาษยันต์คาถา หลวงพ่อโอภาสี อยู่ 1 แผ่น หลวงพ่อโอภาสี กับ ท่านอาจารย์บ๋าวเอิง เป็นสหธรรมิกที่สนิทสนมกันมาก ให้เห็นภาพแล้วปลื้มใจ สมัย หลวงพ่อโอภาสี ยังดำรงขันธ์อยู่ลูกศิษย์ลูกหาจะนิมนต์ท่านกับ พระอาจารย์บ๋าวเอิง ทำพิธีให้บรรพบุรุษอยู่บ่อยครั้ง

เข้ามาติดตามข่าวสารของทางวัดได้ที่
http://www.facebook.com/Samananamboriharn
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่