ใกล้สนธยา ลำแสงสุริยาพาดผ่านทิวเขาเป็นแนวขนาน…
ในยามนั้น บังเกิดเสียงเป่านกหวีดไม้ไผ่หวีดหวิวและเร่งเร้า ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งควบอาชาทะลวงเข้าไปในป่าสน เบื้องหน้ามีอาชาสีนิลตัวเขื่องโลดแล่นทะยานนำ ฝูงม้าและชายฉกรรจ์ที่ติดตามกันคล้ายฉากกั้นแสงอาทิตย์เคลื่อนไปเป็นรายทาง ขับให้บุรุษหนุ่มที่อยู่บนอาชาจ่าฝูงยิ่งงามสง่าด้วยอาภรณ์สีแดงเพลิงตัดกับสีดำทะมึนดุจรัตติกาลของอาชาคู่ใจ
"ย่าห์!"
เสียงตวาดก้องพร้อมกับขับม้าด้วยบังเหียน เมื่อตัดทิวสนออกไปถึงเนินกว้าง บุรุษบนอาชาไนยรั้งบังเหียนแล้วเปลี่ยนมาเงื้อคันธนูจนสุดสาย ชั่ววินาทีก่อนที่อาชาไนยจะยกขาหน้าสะบัดขึ้น คันธนูถูกดีดผึง เกาทัณฑ์พลันซัดพุ่งออกจากแหล่งทะยานแหวกอากาศไปในชั่วพริบตา อาชากรีดร้องด้วยความคึกคะนองหลังจากวิ่งมาเป็นระยะทางไกล ชั่วดีดนิ้วมือหลังม้าร้อง เสียงกรีดหวีดหวิวก็ดังตามมาจากปลายสน จากนั้นเป็นเสียงสัตว์ปีกขนาดใหญ่ร่วงถลาแล้วตะกายอากาศขึ้นไป เปลวเพลิงที่ลุกท่วมร่างของวิหคต้องเกาทัณฑ์กำลังหรี่แสงลง ชายฉกรรจ์ที่ขี่ม้าตามมาต่างแหงนหน้าโห่ร้องด้วยความยินดี
"สำเร็จแล้วพะย่ะค่ะ! วิหคฟงหวงต้องเกาทัณฑ์ขององค์ชาย มันไปไหนไม่รอดแล้ว"
“ดูนั่น มันยังมีเรี่ยวแรงบินหนีไปทางทิศทักษิณอีกพ่ะย่ะค่ะ พวกเราตามไป!”
“เฮ! องค์ชายจงเจริญ! องค์ชายจงเจริญ!”
ชายฉกรรจ์เหล่านั้นคือพลทหารองครักษ์ที่ติดตามองค์ชายมา ต่างตวัดบังเหียนเตรียมบ่ายหน้าไปยังทิศใต้เพื่อจัดการกับเป้าหมายให้เด็ดขาด พากันโห่ร้องสำทับ แต่แล้วต่างสะดุดกึกทันทีเมื่อองค์ชายบนหลังม้ายกมือขึ้นตัดบท
“ปล่อยมันไป”
“อ้าว ปล่อยมันไปทำไมพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
“เรารู้สึกว่านั่นมิใช่วิหคฟงหวง”
สุดสายตาของผู้พูด ปักษาต้องเกาทัณฑ์กำลังสะบัดปีกโรยแรง แต่ยังฝืนทนเหินขึ้นฟ้าบ่ายหน้าลงใต้ แวบหนึ่งที่เปลวเพลิงสลายคลายลง บังเกิดสีสันเลื่อมสลับลายอยู่ที่ปลายหางยาวเป็นพู่คล้ายหางนกยูง
“มะ มิใช่วิหคฟงหวงจะนับเป็นตัวอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เปลวเพลิงพวยพุ่งอยู่รอบตัวมันปานนั้น”
“วิหคตัวนี้ ดูไปคล้ายวิหคฟงหวง แต่ที่จริงไม่ใช่ เพียงขนของมันมีสีสันเจิดจ้าเกินไป เมื่อมองแต่ไกลจะนึกว่าเป็นเปลวไฟพวยพุ่ง แต่ถ้ามองให้ชัดถนัดตา ที่แท้ภายในเป็นขนสีรุ้งเลื่อมพรายสดใส ยิ่งพอต้องเกาทัณฑ์แล้วส่งเสียงร้องที่คล้ายภาษามนุษย์เช่นนั้น นั่นอาจเป็นปักษาที่ชาวสวรรค์ปลอมแปลงตัวมา หาใช่นกอมตะหรือวิหคฟงหวงอย่างที่พวกเจ้าเข้าใจไม่”
ผู้อธิบายมีน้ำเสียงเยือกเย็นภูมิฐาน บ่งบอกถึงวัยวุฒิที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานพอสมควรแล้ว เป็นคนที่ขับม้าตามมาเป็นลำดับสุดท้าย แต่เมื่อคนผู้นี้เอ่ยปากพูด ทุกคนจะสดับฟัง หนึ่งในพลทหารประสานมือโค้งคำนับ
“คารวะท่านมหาอำมาตย์อูจื่อซี”
“ถวายบังคมองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
มหาอำมาตย์อูจื่อซีเคลื่อนกายลงมาจากหลังม้าและถวายความเคารพแก่องค์ชาย ก่อนจะพยักหน้าให้พลทหารลดมือลง
“ท่านไม่เห็นต้องลำบากติดตามข้ามาเลย”
“หม่อมฉันรีบมาเตือนฝ่าบาท อย่าได้ทำร้ายวิหคสวรรค์ มิคาด มาไม่ทันเกาทัณฑ์หลุดจากแล่ง อูจื่อซีนี่ไม่ได้ความเลย”
“นั่นเป็นวิหคสวรรค์หรอกหรือ”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ประเสริฐนัก เมื่อเป็นวิหคสวรรค์แต่ไม่อยู่ส่วนสวรรค์ มาบินผ่านหลังคาตำหนักของข้า ข้าเลยต้องฝากรอยจารึกเอาไว้บ้าง ดูท่าลูกธนูจะปักเข้าที่หน้าอก แต่ฐานะที่เป็นวิหคสวรรค์ คงไม่ถึงกับทะลุหัวใจกระมัง”
“องค์ชายฟูชา... ทรงคึกคะนองเกินไปแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
อูจื่อซีส่ายหน้าช้า ๆ และโค้งตัวลงพร้อมกับทูลตำหนิ
“บังอาจ! ท่านอำมาตย์กล่าวล่วงเกินองค์ชายแล้ว”
องครักษ์คนหนึ่งตะโกนออกมาดัง ๆ แต่กลับถูกองค์ชายหันมาตะคอกใส่
“ผิดแล้ว เจ้านั่นแหละล่วงเกินท่านอำมาตย์ อูจื่อซีนอกจากจะเป็นมหาอำมาตย์ของเมืองเรา ยังเป็นราชครูของข้าด้วย รีบขอขมาท่านอำมาตย์เสีย”
“ขะ ขออภัยท่านอำมาตย์”
องค์รักษ์ตัวดีเห็นว่าผิดท่า รีบลงจากหลังม้าแล้วคุกเข่า โคกศีรษะขอขมาผู้มีอายุ
“โทษฐานที่ล่วงเกินท่านอำมาตย์ ดังนั้นเจ้าจงนั่งสำนึกผิดอยู่ตรงนี้สี่ชั่วยาม ส่วนท่านอำมาตย์ ข้าขอรับคำตำหนิของท่านไว้ และจะไม่ตามล่าเจ้าวิหคสวรรค์ตัวนั้นอีกต่อไป”
“ขอบพระทัยองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ทรงมีพระกรุณาเป็นล้นพ้น”
อูจื่อซีเองก็คุกเข่าลงเช่นกัน เขาน้อมกายลงถวายพระพรอย่างโล่งอกโล่งใจ
“เอาล่ะ เรากลับกันเถอะ”
สิ้นคำบัญชา องค์ชายและเหล่าองค์รักษ์ก็กระชากบังเหียนม้า แล้วพากันตะบึงกลับไปอีกทาง ทิ้งให้มหาอำมาตย์ทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นไปบังคับม้าตามกลับวังไปในเวลาต่อมา...
* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,.• * * •..,..,..• *
ปกิณกะ ~*
ภาพวิหคสวรรค์ ประมาณนี้ค่ะ ^^
(ที่มา : http://webdesignerwall.com/tutorials/design-process-of-the-phoenix )
[CH] จอมนางจุติสวรรค์ (ตำนานไซซี) บทที่ 1 วิหคสวรรค์
ใกล้สนธยา ลำแสงสุริยาพาดผ่านทิวเขาเป็นแนวขนาน…
ในยามนั้น บังเกิดเสียงเป่านกหวีดไม้ไผ่หวีดหวิวและเร่งเร้า ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งควบอาชาทะลวงเข้าไปในป่าสน เบื้องหน้ามีอาชาสีนิลตัวเขื่องโลดแล่นทะยานนำ ฝูงม้าและชายฉกรรจ์ที่ติดตามกันคล้ายฉากกั้นแสงอาทิตย์เคลื่อนไปเป็นรายทาง ขับให้บุรุษหนุ่มที่อยู่บนอาชาจ่าฝูงยิ่งงามสง่าด้วยอาภรณ์สีแดงเพลิงตัดกับสีดำทะมึนดุจรัตติกาลของอาชาคู่ใจ
"ย่าห์!"
เสียงตวาดก้องพร้อมกับขับม้าด้วยบังเหียน เมื่อตัดทิวสนออกไปถึงเนินกว้าง บุรุษบนอาชาไนยรั้งบังเหียนแล้วเปลี่ยนมาเงื้อคันธนูจนสุดสาย ชั่ววินาทีก่อนที่อาชาไนยจะยกขาหน้าสะบัดขึ้น คันธนูถูกดีดผึง เกาทัณฑ์พลันซัดพุ่งออกจากแหล่งทะยานแหวกอากาศไปในชั่วพริบตา อาชากรีดร้องด้วยความคึกคะนองหลังจากวิ่งมาเป็นระยะทางไกล ชั่วดีดนิ้วมือหลังม้าร้อง เสียงกรีดหวีดหวิวก็ดังตามมาจากปลายสน จากนั้นเป็นเสียงสัตว์ปีกขนาดใหญ่ร่วงถลาแล้วตะกายอากาศขึ้นไป เปลวเพลิงที่ลุกท่วมร่างของวิหคต้องเกาทัณฑ์กำลังหรี่แสงลง ชายฉกรรจ์ที่ขี่ม้าตามมาต่างแหงนหน้าโห่ร้องด้วยความยินดี
"สำเร็จแล้วพะย่ะค่ะ! วิหคฟงหวงต้องเกาทัณฑ์ขององค์ชาย มันไปไหนไม่รอดแล้ว"
“ดูนั่น มันยังมีเรี่ยวแรงบินหนีไปทางทิศทักษิณอีกพ่ะย่ะค่ะ พวกเราตามไป!”
“เฮ! องค์ชายจงเจริญ! องค์ชายจงเจริญ!”
ชายฉกรรจ์เหล่านั้นคือพลทหารองครักษ์ที่ติดตามองค์ชายมา ต่างตวัดบังเหียนเตรียมบ่ายหน้าไปยังทิศใต้เพื่อจัดการกับเป้าหมายให้เด็ดขาด พากันโห่ร้องสำทับ แต่แล้วต่างสะดุดกึกทันทีเมื่อองค์ชายบนหลังม้ายกมือขึ้นตัดบท
“ปล่อยมันไป”
“อ้าว ปล่อยมันไปทำไมพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
“เรารู้สึกว่านั่นมิใช่วิหคฟงหวง”
สุดสายตาของผู้พูด ปักษาต้องเกาทัณฑ์กำลังสะบัดปีกโรยแรง แต่ยังฝืนทนเหินขึ้นฟ้าบ่ายหน้าลงใต้ แวบหนึ่งที่เปลวเพลิงสลายคลายลง บังเกิดสีสันเลื่อมสลับลายอยู่ที่ปลายหางยาวเป็นพู่คล้ายหางนกยูง
“มะ มิใช่วิหคฟงหวงจะนับเป็นตัวอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เปลวเพลิงพวยพุ่งอยู่รอบตัวมันปานนั้น”
“วิหคตัวนี้ ดูไปคล้ายวิหคฟงหวง แต่ที่จริงไม่ใช่ เพียงขนของมันมีสีสันเจิดจ้าเกินไป เมื่อมองแต่ไกลจะนึกว่าเป็นเปลวไฟพวยพุ่ง แต่ถ้ามองให้ชัดถนัดตา ที่แท้ภายในเป็นขนสีรุ้งเลื่อมพรายสดใส ยิ่งพอต้องเกาทัณฑ์แล้วส่งเสียงร้องที่คล้ายภาษามนุษย์เช่นนั้น นั่นอาจเป็นปักษาที่ชาวสวรรค์ปลอมแปลงตัวมา หาใช่นกอมตะหรือวิหคฟงหวงอย่างที่พวกเจ้าเข้าใจไม่”
ผู้อธิบายมีน้ำเสียงเยือกเย็นภูมิฐาน บ่งบอกถึงวัยวุฒิที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานพอสมควรแล้ว เป็นคนที่ขับม้าตามมาเป็นลำดับสุดท้าย แต่เมื่อคนผู้นี้เอ่ยปากพูด ทุกคนจะสดับฟัง หนึ่งในพลทหารประสานมือโค้งคำนับ
“คารวะท่านมหาอำมาตย์อูจื่อซี”
“ถวายบังคมองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
มหาอำมาตย์อูจื่อซีเคลื่อนกายลงมาจากหลังม้าและถวายความเคารพแก่องค์ชาย ก่อนจะพยักหน้าให้พลทหารลดมือลง
“ท่านไม่เห็นต้องลำบากติดตามข้ามาเลย”
“หม่อมฉันรีบมาเตือนฝ่าบาท อย่าได้ทำร้ายวิหคสวรรค์ มิคาด มาไม่ทันเกาทัณฑ์หลุดจากแล่ง อูจื่อซีนี่ไม่ได้ความเลย”
“นั่นเป็นวิหคสวรรค์หรอกหรือ”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ประเสริฐนัก เมื่อเป็นวิหคสวรรค์แต่ไม่อยู่ส่วนสวรรค์ มาบินผ่านหลังคาตำหนักของข้า ข้าเลยต้องฝากรอยจารึกเอาไว้บ้าง ดูท่าลูกธนูจะปักเข้าที่หน้าอก แต่ฐานะที่เป็นวิหคสวรรค์ คงไม่ถึงกับทะลุหัวใจกระมัง”
“องค์ชายฟูชา... ทรงคึกคะนองเกินไปแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
อูจื่อซีส่ายหน้าช้า ๆ และโค้งตัวลงพร้อมกับทูลตำหนิ
“บังอาจ! ท่านอำมาตย์กล่าวล่วงเกินองค์ชายแล้ว”
องครักษ์คนหนึ่งตะโกนออกมาดัง ๆ แต่กลับถูกองค์ชายหันมาตะคอกใส่
“ผิดแล้ว เจ้านั่นแหละล่วงเกินท่านอำมาตย์ อูจื่อซีนอกจากจะเป็นมหาอำมาตย์ของเมืองเรา ยังเป็นราชครูของข้าด้วย รีบขอขมาท่านอำมาตย์เสีย”
“ขะ ขออภัยท่านอำมาตย์”
องค์รักษ์ตัวดีเห็นว่าผิดท่า รีบลงจากหลังม้าแล้วคุกเข่า โคกศีรษะขอขมาผู้มีอายุ
“โทษฐานที่ล่วงเกินท่านอำมาตย์ ดังนั้นเจ้าจงนั่งสำนึกผิดอยู่ตรงนี้สี่ชั่วยาม ส่วนท่านอำมาตย์ ข้าขอรับคำตำหนิของท่านไว้ และจะไม่ตามล่าเจ้าวิหคสวรรค์ตัวนั้นอีกต่อไป”
“ขอบพระทัยองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ทรงมีพระกรุณาเป็นล้นพ้น”
อูจื่อซีเองก็คุกเข่าลงเช่นกัน เขาน้อมกายลงถวายพระพรอย่างโล่งอกโล่งใจ
“เอาล่ะ เรากลับกันเถอะ”
สิ้นคำบัญชา องค์ชายและเหล่าองค์รักษ์ก็กระชากบังเหียนม้า แล้วพากันตะบึงกลับไปอีกทาง ทิ้งให้มหาอำมาตย์ทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นไปบังคับม้าตามกลับวังไปในเวลาต่อมา...
* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,.• * * •..,..,..• *
ปกิณกะ ~*
ภาพวิหคสวรรค์ ประมาณนี้ค่ะ ^^
(ที่มา : http://webdesignerwall.com/tutorials/design-process-of-the-phoenix )