ดาวสูงเสียดฟ้าที่เคยถูกเหยียบจนมิดดิน
กลับต้องมาพบกับคนใจร้ายหน้าเดิมๆใต้ม่านละครเรื่องใหม่
จึงเป็นหน้าที่ของ ‘เจ้าชาย’ ที่จะพาเธอกลับไปเปล่งประกายให้เป็นดาวที่อยู่ ‘เหนือดาว’ สมดังชื่ออีกครั้ง!
บทที่ 8
ละครเวทีเรื่องสู่ใต้พิภพจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนดำเนินการซ้อมโดยต้องซ้อมฉากที่ไม่มีนางเอกอยู่ประมาณสามวัน แล้วหลังจากนั้นเหนือดาวก็ได้รับโทรศัพท์จากบดินทร์ให้ตรงดิ่งไปยังโรงละครรักเทพินทร์เป็นการด่วนเพื่อมารับฟังกระบวนการจัดหานักแสดงมาทดแทนในตำแหน่งนางเอกของเรื่อง
ทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูห้องประชุมขนาดใหญ่เข้าไปก็รีบเอ่ยทักปฏิพลและบดินทร์ซึ่งนั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะ พร้อมสอดส่องสายตาหามานิตย์ซึ่งมาก่อนเธอเนื่องจากต้องมาจัดการแก้ขนาดชุดซึ่งไม่พอดีตัวกับนักแสดง เมื่อพบแล้วรีบเข้าไปนั่งข้างโดยพลัน บรรยากาศในห้องนั้นเป็นไปอย่างสบายๆจนน่าแปลกใจว่าทำไมทีมงานฝ่ายประสานงานนักแสดงถึงดูไม่ตึงเครียดเท่าใดนัก แต่เธอก็คิดเรื่อยเปื่อยอยู่ได้ไม่นานเมื่อมองตรงไปยังฝั่งตรงข้ามของโต๊ะสีเหลี่ยมยาวก็สบสายตาคมกริบของ ‘คนรับกรรมแทน’ เมื่อวันก่อน ความร้อนก็พลันวิ่งฉ่าขึ้นหน้าโดยเร็วเมื่อคิดถึงระยะห่างไม่กี่เซนติเมตรจากใบหน้าหล่อเหลานั้น หากแต่เขากลับทำหน้าเรียบเฉยมองเธอราวไม่มีอะไรประหลาดเกินขึ้นจนดูเหนือดาวอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขากำลังทำให้เธอรู้สึกร้อนตัวไปเอง แล้วก็เริ่มนึกพาลวิญญาณนักแสดงอันเหลือล้นของปิลันธน์ที่ทำให้สามารถเอาแต่ตีหน้าเฉยใส่ได้ทั้งๆที่เธอเองนั้นแทบจะเก็บอาการพิรุธเอาไว้ไม่อยู่
“มันใกล้จะถึงเวลาเวิร์กกิ้งรีเฮอเซิ่ล*แล้ว ถ้าหาใหม่ตอนนี้คงไม่ทันแน่ เอาคนที่แสดงอื่นๆไปก่อนจะว่าไง”
ผู้กำกับฝ่ายเวทีร้องถามทุกคนอย่างเป็นกันเอง... ตามตารางการซ้อม อีกไม่นานนักที่นักแสดงจะต้องทิ้งบทและพูดสดแล้ว ดังนั้นการหานักแสดงใหม่ในยามนี้จึงอาจจะต้องใช้เวลาเกินกว่าสองสัปดาห์ซึ่งจะส่งผลให้การประชาสัมพันธ์ละครเวทีและเปิดขายบัตรเลื่อนไป รวมถึงการแสดงจริงที่จำเป็นต้องเลื่อนช้าไปด้วยเช่นกัน
“น้องมิ้นต์ไหม”
หญิงสาวคนถูกเรียกยกคิ้วสูงโดยพลัน เธอรับบทเป็นสาวชาวเมืองที่เต็มไปด้วยเล่ห์ แต่ยังไม่ทันได้ว่าอะไรต่อไป รองหัวหน้าฝ่ายประสานงานก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ยังไม่ค่อยเท่าไรนะผมว่า หรือจะเอาน้องนักเต้นสักคน”
คราวนี้ปฏิพลปฏิเสธทันทีทันควัน
“นักเต้นก็อยู่ส่วนนักเต้น อีกอย่าง นักเต้นมาเป็นทีมอยู่แล้วถ้าเราเอาออกมาคนหนึ่งก็ขาดสิ”
“แกว่าใครจะได้”
เหนือดาวลอบกระซิบข้างหูมานิตย์ที่กำลังนั่งยิ้มกว้างราวกับดูสิ่งบันเทิงใจตรงหน้า ปากว่าคำตอบ
“ไม่รู้”
ทว่าคำตอบฟังดูลังเลนั้นกลับฉายแววมั่นใจอยู่ลึกๆจนคนถามได้แต่นึกติดใจ
“ต้องสวยดูธรรมชาติ สดใส น่ารัก แต่นัยน์ตาต้องฉายประกายเศร้าออกมาได้ดี และที่สำคัญต้องเข้าใจบทอย่างถ่องแท้แล้วเพราะเราไม่มีเวลาที่จะมาปรับเปลี่ยนย้ายจากบทนู้นเป็นบทนี้บทนี้เป็นบทนู้น และงานนี้ก็ควรเอาคนที่ใกล้ชิดกับละครเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว เป็นคนวงใน ข่าวจะได้ไม่ต้องรั่วไหลออกไปมากว่าเราเปลี่ยนนางเอกกลางคัน”
ปฏิพลเปลี่ยนเข้าโหมดเข้ม ขณะกวาดสายตามองนักแสดงและทีมงานทุกงานที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นเงียบราวกับแทบไม่หายใจก่อนจะหยุดลงสบตากับเหนือดาว
“ถ้าอย่างนั้น... น้องเหนือคิดว่าไง”
ก่อนจะตอบ เหนือดาวก็ดูดกาแฟสักอึกจากแก้วโตซึ่งถือติดมือมาเพื่อเรียกความคิด “คิดว่าไงเหรอคะ? เหนือก็เห็นด้วยกับพี่พลค่ะว่าควรจะหาคนใน แต่ทุกคนก็มีบทอยู่แล้ว แล้วพี่พลคิดว่า...”
“พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น พี่หมายถึงว่าเราน่ะ... โอเคไหมถ้าจะให้ช่วยมาเป็นนางเอกได้ไหม”
กาแฟซึ่งควรจะผ่านหลอดอาหารกลับลงหลอดลมเฉยเนื่องจากคนดูดนั้นเผลอสะดุ้งสุดตัว เล่นเอาสำลักแล้วไอออกมาเสียงดังจนเพื่อนนั่งข้างตัวต้องช่วยทุบหลังแล้วพูดเสียงเบา
“ใจเย็นชะนี นี่ไม่ใช่เวทีนางงาม ไม่ต้องตื่นเต้น”
มันไม่ใช่เวทีนางงามก็จริงแต่เธอต้องไปรับบทเป็นนางเอก!
เหนือดาวกัดฟันแน่นพร้อมตบเหนืออกเบาๆให้หายใจคล่อง สายตาทั้งห้องจับจ้องเธอจนต้องรีบทำหน้าขออภัย
“ได้ไหมเหนือ”
“คะ? เหนือ?”
คนถูกขอร้องยังทำราวกับว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
“ใช่ เหนือนั่นล่ะ ยังไงเหนือก็จบละครมาโดยตรง แม้จะเขียนบทก็เถอะ แต่ก็ต้องเรียนการแสดงอยู่แล้วคงเข้าใจเบสิคดี ที่สำคัญ เรายังเข้าใจเนื้อหาเต็มร้อย มากกว่าใครหลายคนในที่นี้เสียอีก”
“แต่เขาทำเวิร์กช็อปอะไรกันไปเรียบร้อยแล้วนะคะ เหนือเข้าไปตอนนี้ก็...
“ไม่ว่าใครเข้ามาใหม่ก็ต้องเวิร์กช็อปทั้งนั้นล่ะครับ ทั้งพวกพี่... กับคุณยศ แล้วก็ฝ่ายประสานงานจัดหานักแสดงก็คุยกันแล้ว ทุกคนเห็นตรงกัน เหนือเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของพวกพี่เลยรู้ไหม”
“แต่เหนือชอบเขียนบทมากกว่าค่ะ”
แล้วข้ออ้างของเธอก็ถูกแทรกโดยบดินทร์ทันที
“นี่คือละครของเราเองนะเหนือ คงไม่อยากให้ไม่มีนางเอกใช่ไหม... นะน้องเหนือ ตอนนี้เราเหลือเวลาอีกสามเดือนกว่า ไม่อย่างนั้นเราต้องเสียเวลาจัดหานักแสดงอีก ทุกคนคิดว่ายังไง”
หญิงสาวผู้ซึ่งตอนนี้ตกที่นั่งลำบากแล้วกวาดตามองไปรอบๆ ภาวนาให้ไม่มีใครคิดอุตริเอาคนเขียนบทแบบเธอไปเป็นนางเอก
“เห็นด้วยนะคะ คุณเหนือออกจะสวย”
“ผมเห็นด้วยครับ”
แล้วเสียงเซ็งแซ่ที่ต่างตกลงกันเป็นความเห็นเดียวกันทั้งหมดก็ดังขึ้นจนเหนือดาวแทบกุมขมับ อดคิดไม่ได้ว่านี่อาจจะต้องมีรายการซื้อเสียงแจกหัวละสองร้อยก่อนเข้าที่ประชุมเป็นแน่แท้ พลันก็เผลอสบตากับคนนั่งตรงข้ามอีกรอบ ผู้ชายหน้านิ่งที่นั่งนิ่งเกินไปจนน่าหมั่นไส้ หากแววตานั้นระยิบระยับเป็นประกายแฝงความพึงใจไว้มากทีเดียว
“คือ... คือว่า...”
“เอางี้ดีกว่า คุยกันยาวๆตรงนี้เราอาจจะเสียเวลา เดี๋ยวเราเข้าไปคุยในห้องกันก่อนดีไหม แล้วก็ทุกคนเตรียมแยกย้ายไปทำหน้าที่ตัวเอง ซ้อมก็ส่วนซ้อม เต้นส่วนเต้น ฉากส่วนฉาก เสียงส่วนเสียง”
แล้วบดินทร์ก็เดินมาแตะไหล่ว่าที่นางเอกคนใหม่เป็นสัญญาณให้ออกไปคุยกันข้างนอก หากแต่เสียงนุ่มทุ้มก็กลับร้องขึ้นจากฝั่งตรงข้ามเธอเสียก่อน
“พี่พลพี่บูม ปริ๊นซ์เองก็มีเรื่องจะปรึกษาเหมือนกัน”
“ปริ๊นซ์มีเรื่องอะไรล่ะ”
“เรื่องสำคัญมาก ต้องคุยให้เร็วที่สุด”
ผู้กำกับทั้งสองคนมองหน้ากันเองครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าให้ปิลันธน์เดินออกจากห้องประชุมไปพร้อมกัน ขณะเหนือดาวเองก็เดินตามไปอย่างลำบากใจ ในเมื่อสองคนที่เดินนำอยู่นั้นคือคนที่หมายหัวเธอมาให้เป็นนางเอก ขณะคนที่เดินข้างๆเธอตอนนี้ก็ดันเป็นคนที่มีคดีความมาตั้งแต่วันก่อนเสียอีก
“เป็นอะไรหรือเปล่าน้องเหนือ ทำไมไปเดินสุดมุมแบบนั้น”
หญิงสาวยิ้มแห้งๆก่อนแสร้งทำเป็นเข้ามาเดินตรงกลางระเบียงเช่นเดียวกัน หลังจากที่พยายามทำตัวลีบเดินติดกำแพงด้านซ้ายให้ไกลปิลันธน์มากที่สุด จนกระทั่งเท้าทั้งสี่คู่หยุดพร้อมกันตรงหน้าห้องทำงานส่วนตัวของผู้กำกับ พลันคนรับบทพระเอกก็หันขวับมายังคนเขียนบทแล้วเอ่ย
“ของผมเรื่องด่วนมาก ขอคุยก่อนได้ไหม”
เหนือดาวที่ยังตีหน้าไม่ถูกยืนนิ่งไปเสียสนิทก่อนพยักหน้าอย่างลืมตัว แต่ก่อนที่ชายทั้งสามคนจะเดินเข้าไปในห้อง คนมีเรื่องด่วนคนเดิมก็ไม่ลืมหันมากำชับหญิงสาวที่จำเป็นจะต้องยืนรอข้างนอกก่อน
“คุณเหนือ คุณเองก็รออยู่ข้างนอกก่อน ผมก็มีเรื่องอยากจะคุยด้วยเหมือนกัน”
แล้วประตูกระจกฝ้าพอให้เห็นเงารางๆแค่ภายในก็เลื่อนปิดไม่สนิทดี เหนือดาวได้แต่ยืนงงงค้างก่อนจะเริ่มรู้ถึงอาการประหม่าแปลกๆจนต้องรีบนั่งลงบนเก้าอี้เล็กเรียงเป็นแถวตรงหน้าห้อง สมองครุ่นคิดว่าเรื่องที่ปิลันธน์อยากคุยกับเธอนั้นคือเรื่องอะไร ได้แต่หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องเมื่อสามวันก่อน เพราะถ้าเกิดเขาคึกคุยเรื่องนั้นขึ้นมาจริง เธอเองที่ตีสีหน้าเก่งได้ไม่เท่านั้นรับรองมีโป๊ะแตกให้เขาเห็นว่าตนอายแค่ไหนอย่างแน่นอน
ห้องทำงานซึ่งประตูแง้มไว้เล็กๆนั้นไม่มีเสียงใดดังเล็ดลอดออกมา จนกระทั่งหญิงสาวได้แต่แปลกใจเพราะถ้าอย่างน้อยเขาปรึกษาอะไรกันอยู่มันก็ต้องพอมีเสียงแผ่วๆให้ได้ยินบ้าง ทว่าเธอด็ไม่ได้ใส่ใจมันนักก่อนมือจะหยิบหูฟังในกระเป๋าถือเตรียมเสียบกับโทรศัพท์เพื่อกดฟังเพลงสงบจิตสงบใจรอ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ยัดหูฟังแม้แต่ข้างเดียว เสียงทุ้มของพระเอกก็ดังขึ้นมา... ดังขนาดที่ว่าเธอมั่นใจว่าคนในห้องถัดไปก็อาจจะได้ยินด้วยเช่นกัน
“พี่พลพี่บูมคิดดีแล้วเหรอครับ”
และด้วยนิสัยส่วนตัวของเหนือดาวที่ไม่สอดรู้สอดเห็น เธอจึงเตรียมใส่หูฟังอีกครั้ง แต่แล้วต้องหยุดชะงัก เปลี่ยนใจกะทันหันพยายามไปนั่งให้ใกล้รอยประตูแง้มให้มากขึ้นเมื่อได้ยินคำต่อมา
“ที่ให้คุณเหนือรับบทนางเอกน่ะ คิดดีแล้วเหรอครับ”
ดวงตาคู่กลมโตกลับเบิกกว้าง ลืมนิสัยไม่สู่รู้ของตัวเองไปเสียสนิท... จะไม่ให้ลืมได้เช่นไร ก็ในเมื่อคนข้างในกำลังพูดเรื่องเธออยู่!
“พวกพี่ก็โอเค ทุกคนก็โอเค แล้วปริ๊นซ์ล่ะมีอะไรขัดข้อง”
“ไม่รู้สิครับ ผมว่าคุณเหนือเขาเป็นคนเขียนบทอย่างเดิมก็ดีอยู่แล้ว แล้วทำไมต้องเอามาเป็นนางเอก ฝีมือการแสดงมีหรือเปล่าก็ไม่รู้”
มือเล็กพลันกำแน่นขึ้นมา ปากก็เม้มสนิทเป็นเส้นตรง... จริงอยู่ที่เธอไม่อยากเป็นนางเอก แต่การที่ปิลันธน์มากล่าวหาเธอว่าไม่มีฝีมือมันก็ชักจะมากเกินไปหน่อย
“แต่เขาเรียนการแสดงมาเหมือนกันนะ”
“ก็แค่เรียนทฤษฎี มันเอามามาปฏิบัติได้ไม่จริงหรอก”
“แต่เขาก็เคยเล่นมาเหมือนกันตอนอยู่ที่อังกฤษ”
“แต่นี่มันเมืองไทยนะครับ อะไรหลายอย่างก็คงต่างกันเยอะ”
ตรรกะอะไรนั่น!
เหนือดาวกัดฟันหรอดๆ นึกหมั่นไส้พระเอกของละครตนขึ้นมากะทันหัน... ใต้หน้านิ่งนั้นใครจะรู้ว่าปากคอเราะร้ายเหลือเกิน แถมยังมีมุมมองความคิดแคบๆอีกต่างหาก
“สรุปว่าปริ๊นซ์ไม่เห็นด้วย”
“ไม่ครับ”
“ไม่อยากเล่นกับเขา?”
“ไม่ครับ”
บัดนี้ หูฟังในมือหญิงสาวถ้าหากเป็นแก้วบอบบางก็อาจถึงขั้นแตกได้จากแรงกำแน่น พลันประตูก็เลื่อนออกมาทำเอาคนซึ่งนั่งจดจ่ออยู่ด้านหน้าสะดุ้งโหยง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับคนใจแคบช่างอคติ ก่อนแสร้งเมินไปอีกทางทันที
“ที่บอกว่าต้องมีเรื่องจะคุยกับคุณ ผมไม่มีแล้วนะ”
“ถ้าคุณมีอะไรจะพูดเหรอ ก็พูดสิคะ พูดกันต่อหน้า แน่ใจเหรอว่าไม่มี”
น้ำเสียงใสนั้นเจือความขุ่นเคืองอย่างชัดเจน หากแต่พ่อนักแสดงร้อยหน้ากลับทำเหมือนจับมันไม่ได้ พร้อมใบหน้านิ่งที่ปริ่มรอยยิ้มน้อยๆอยู่ตรงขอบปากราวจะหยิบยื่นความเป็นมิตร
“ไม่มีแล้วจริงๆ”
“โอเคค่ะ เพราะฉันก็คิดว่าฉันรู้แล้วว่าคุณต้องการจะพูดเรื่องอะไร”
แล้วเหนือดาวก็ลุกจากเก้าอี้แล้วเบี่ยงตัวออกข้างชายหนุ่ม ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงประตูห้องเลื่อนปิดตามหลัง กระจกฝ้านั้นทำงานได้ดีทีเดียวเสียจนหญิงสาวไม่อาจเห็นว่าคนข้างนอกตอนนี้เผยรอยยิ้มพอใจมากเพียงใดก่อนเขาจะหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมามอง หน้าจอของมันยังสว่างจากโปรแกรมโน้ตที่เปิดค้างเอาไว้ บนนั้นปรากฏข้อความซึ่งตนรีบพิมพ์ตอนเข้าห้องแล้วยื่นให้ผู้กำกับทั้งสองคนดู
‘ช่วยทำเป็นแกล้งเถียงหน่อยครับ ไม่งั้นคุณเหนือเขาไม่เล่นแน่’
ทันทีที่ทั้งสองคนเห็นชอบในแผนเขา ชายหนุ่มจึงเรียกวิญญาณนักแสดงแสร้งพูดเสียงดังแบบที่มั่นใจว่าเธอได้ยินร้อยเปอร์เซ็นต์ และจากท่าทางกระฟัดกระเฟียดพอดีตัวที่เขาเห็นเมื่อครู่นั้นก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงความสำเร็จของแผนนี้ได้เป็นอย่างดี
(*Working Rehearsal ขั้นตอนการการซ้อมที่นักแสดงต้องเน้นเรื่องอารมณ์ของตัวละครและออกท่าทางจริง ทั้งนี้ก็จำเป็นต้องทิ้งบท (Offbook)ด้วยเช่นกัน )
* ม่านรักเหนือดาว * บทที่ 8
กลับต้องมาพบกับคนใจร้ายหน้าเดิมๆใต้ม่านละครเรื่องใหม่
จึงเป็นหน้าที่ของ ‘เจ้าชาย’ ที่จะพาเธอกลับไปเปล่งประกายให้เป็นดาวที่อยู่ ‘เหนือดาว’ สมดังชื่ออีกครั้ง!
บทที่ 8
ละครเวทีเรื่องสู่ใต้พิภพจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนดำเนินการซ้อมโดยต้องซ้อมฉากที่ไม่มีนางเอกอยู่ประมาณสามวัน แล้วหลังจากนั้นเหนือดาวก็ได้รับโทรศัพท์จากบดินทร์ให้ตรงดิ่งไปยังโรงละครรักเทพินทร์เป็นการด่วนเพื่อมารับฟังกระบวนการจัดหานักแสดงมาทดแทนในตำแหน่งนางเอกของเรื่อง
ทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูห้องประชุมขนาดใหญ่เข้าไปก็รีบเอ่ยทักปฏิพลและบดินทร์ซึ่งนั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะ พร้อมสอดส่องสายตาหามานิตย์ซึ่งมาก่อนเธอเนื่องจากต้องมาจัดการแก้ขนาดชุดซึ่งไม่พอดีตัวกับนักแสดง เมื่อพบแล้วรีบเข้าไปนั่งข้างโดยพลัน บรรยากาศในห้องนั้นเป็นไปอย่างสบายๆจนน่าแปลกใจว่าทำไมทีมงานฝ่ายประสานงานนักแสดงถึงดูไม่ตึงเครียดเท่าใดนัก แต่เธอก็คิดเรื่อยเปื่อยอยู่ได้ไม่นานเมื่อมองตรงไปยังฝั่งตรงข้ามของโต๊ะสีเหลี่ยมยาวก็สบสายตาคมกริบของ ‘คนรับกรรมแทน’ เมื่อวันก่อน ความร้อนก็พลันวิ่งฉ่าขึ้นหน้าโดยเร็วเมื่อคิดถึงระยะห่างไม่กี่เซนติเมตรจากใบหน้าหล่อเหลานั้น หากแต่เขากลับทำหน้าเรียบเฉยมองเธอราวไม่มีอะไรประหลาดเกินขึ้นจนดูเหนือดาวอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขากำลังทำให้เธอรู้สึกร้อนตัวไปเอง แล้วก็เริ่มนึกพาลวิญญาณนักแสดงอันเหลือล้นของปิลันธน์ที่ทำให้สามารถเอาแต่ตีหน้าเฉยใส่ได้ทั้งๆที่เธอเองนั้นแทบจะเก็บอาการพิรุธเอาไว้ไม่อยู่
“มันใกล้จะถึงเวลาเวิร์กกิ้งรีเฮอเซิ่ล*แล้ว ถ้าหาใหม่ตอนนี้คงไม่ทันแน่ เอาคนที่แสดงอื่นๆไปก่อนจะว่าไง”
ผู้กำกับฝ่ายเวทีร้องถามทุกคนอย่างเป็นกันเอง... ตามตารางการซ้อม อีกไม่นานนักที่นักแสดงจะต้องทิ้งบทและพูดสดแล้ว ดังนั้นการหานักแสดงใหม่ในยามนี้จึงอาจจะต้องใช้เวลาเกินกว่าสองสัปดาห์ซึ่งจะส่งผลให้การประชาสัมพันธ์ละครเวทีและเปิดขายบัตรเลื่อนไป รวมถึงการแสดงจริงที่จำเป็นต้องเลื่อนช้าไปด้วยเช่นกัน
“น้องมิ้นต์ไหม”
หญิงสาวคนถูกเรียกยกคิ้วสูงโดยพลัน เธอรับบทเป็นสาวชาวเมืองที่เต็มไปด้วยเล่ห์ แต่ยังไม่ทันได้ว่าอะไรต่อไป รองหัวหน้าฝ่ายประสานงานก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ยังไม่ค่อยเท่าไรนะผมว่า หรือจะเอาน้องนักเต้นสักคน”
คราวนี้ปฏิพลปฏิเสธทันทีทันควัน
“นักเต้นก็อยู่ส่วนนักเต้น อีกอย่าง นักเต้นมาเป็นทีมอยู่แล้วถ้าเราเอาออกมาคนหนึ่งก็ขาดสิ”
“แกว่าใครจะได้”
เหนือดาวลอบกระซิบข้างหูมานิตย์ที่กำลังนั่งยิ้มกว้างราวกับดูสิ่งบันเทิงใจตรงหน้า ปากว่าคำตอบ
“ไม่รู้”
ทว่าคำตอบฟังดูลังเลนั้นกลับฉายแววมั่นใจอยู่ลึกๆจนคนถามได้แต่นึกติดใจ
“ต้องสวยดูธรรมชาติ สดใส น่ารัก แต่นัยน์ตาต้องฉายประกายเศร้าออกมาได้ดี และที่สำคัญต้องเข้าใจบทอย่างถ่องแท้แล้วเพราะเราไม่มีเวลาที่จะมาปรับเปลี่ยนย้ายจากบทนู้นเป็นบทนี้บทนี้เป็นบทนู้น และงานนี้ก็ควรเอาคนที่ใกล้ชิดกับละครเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว เป็นคนวงใน ข่าวจะได้ไม่ต้องรั่วไหลออกไปมากว่าเราเปลี่ยนนางเอกกลางคัน”
ปฏิพลเปลี่ยนเข้าโหมดเข้ม ขณะกวาดสายตามองนักแสดงและทีมงานทุกงานที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นเงียบราวกับแทบไม่หายใจก่อนจะหยุดลงสบตากับเหนือดาว
“ถ้าอย่างนั้น... น้องเหนือคิดว่าไง”
ก่อนจะตอบ เหนือดาวก็ดูดกาแฟสักอึกจากแก้วโตซึ่งถือติดมือมาเพื่อเรียกความคิด “คิดว่าไงเหรอคะ? เหนือก็เห็นด้วยกับพี่พลค่ะว่าควรจะหาคนใน แต่ทุกคนก็มีบทอยู่แล้ว แล้วพี่พลคิดว่า...”
“พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น พี่หมายถึงว่าเราน่ะ... โอเคไหมถ้าจะให้ช่วยมาเป็นนางเอกได้ไหม”
กาแฟซึ่งควรจะผ่านหลอดอาหารกลับลงหลอดลมเฉยเนื่องจากคนดูดนั้นเผลอสะดุ้งสุดตัว เล่นเอาสำลักแล้วไอออกมาเสียงดังจนเพื่อนนั่งข้างตัวต้องช่วยทุบหลังแล้วพูดเสียงเบา
“ใจเย็นชะนี นี่ไม่ใช่เวทีนางงาม ไม่ต้องตื่นเต้น”
มันไม่ใช่เวทีนางงามก็จริงแต่เธอต้องไปรับบทเป็นนางเอก!
เหนือดาวกัดฟันแน่นพร้อมตบเหนืออกเบาๆให้หายใจคล่อง สายตาทั้งห้องจับจ้องเธอจนต้องรีบทำหน้าขออภัย
“ได้ไหมเหนือ”
“คะ? เหนือ?”
คนถูกขอร้องยังทำราวกับว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
“ใช่ เหนือนั่นล่ะ ยังไงเหนือก็จบละครมาโดยตรง แม้จะเขียนบทก็เถอะ แต่ก็ต้องเรียนการแสดงอยู่แล้วคงเข้าใจเบสิคดี ที่สำคัญ เรายังเข้าใจเนื้อหาเต็มร้อย มากกว่าใครหลายคนในที่นี้เสียอีก”
“แต่เขาทำเวิร์กช็อปอะไรกันไปเรียบร้อยแล้วนะคะ เหนือเข้าไปตอนนี้ก็...
“ไม่ว่าใครเข้ามาใหม่ก็ต้องเวิร์กช็อปทั้งนั้นล่ะครับ ทั้งพวกพี่... กับคุณยศ แล้วก็ฝ่ายประสานงานจัดหานักแสดงก็คุยกันแล้ว ทุกคนเห็นตรงกัน เหนือเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของพวกพี่เลยรู้ไหม”
“แต่เหนือชอบเขียนบทมากกว่าค่ะ”
แล้วข้ออ้างของเธอก็ถูกแทรกโดยบดินทร์ทันที
“นี่คือละครของเราเองนะเหนือ คงไม่อยากให้ไม่มีนางเอกใช่ไหม... นะน้องเหนือ ตอนนี้เราเหลือเวลาอีกสามเดือนกว่า ไม่อย่างนั้นเราต้องเสียเวลาจัดหานักแสดงอีก ทุกคนคิดว่ายังไง”
หญิงสาวผู้ซึ่งตอนนี้ตกที่นั่งลำบากแล้วกวาดตามองไปรอบๆ ภาวนาให้ไม่มีใครคิดอุตริเอาคนเขียนบทแบบเธอไปเป็นนางเอก
“เห็นด้วยนะคะ คุณเหนือออกจะสวย”
“ผมเห็นด้วยครับ”
แล้วเสียงเซ็งแซ่ที่ต่างตกลงกันเป็นความเห็นเดียวกันทั้งหมดก็ดังขึ้นจนเหนือดาวแทบกุมขมับ อดคิดไม่ได้ว่านี่อาจจะต้องมีรายการซื้อเสียงแจกหัวละสองร้อยก่อนเข้าที่ประชุมเป็นแน่แท้ พลันก็เผลอสบตากับคนนั่งตรงข้ามอีกรอบ ผู้ชายหน้านิ่งที่นั่งนิ่งเกินไปจนน่าหมั่นไส้ หากแววตานั้นระยิบระยับเป็นประกายแฝงความพึงใจไว้มากทีเดียว
“คือ... คือว่า...”
“เอางี้ดีกว่า คุยกันยาวๆตรงนี้เราอาจจะเสียเวลา เดี๋ยวเราเข้าไปคุยในห้องกันก่อนดีไหม แล้วก็ทุกคนเตรียมแยกย้ายไปทำหน้าที่ตัวเอง ซ้อมก็ส่วนซ้อม เต้นส่วนเต้น ฉากส่วนฉาก เสียงส่วนเสียง”
แล้วบดินทร์ก็เดินมาแตะไหล่ว่าที่นางเอกคนใหม่เป็นสัญญาณให้ออกไปคุยกันข้างนอก หากแต่เสียงนุ่มทุ้มก็กลับร้องขึ้นจากฝั่งตรงข้ามเธอเสียก่อน
“พี่พลพี่บูม ปริ๊นซ์เองก็มีเรื่องจะปรึกษาเหมือนกัน”
“ปริ๊นซ์มีเรื่องอะไรล่ะ”
“เรื่องสำคัญมาก ต้องคุยให้เร็วที่สุด”
ผู้กำกับทั้งสองคนมองหน้ากันเองครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าให้ปิลันธน์เดินออกจากห้องประชุมไปพร้อมกัน ขณะเหนือดาวเองก็เดินตามไปอย่างลำบากใจ ในเมื่อสองคนที่เดินนำอยู่นั้นคือคนที่หมายหัวเธอมาให้เป็นนางเอก ขณะคนที่เดินข้างๆเธอตอนนี้ก็ดันเป็นคนที่มีคดีความมาตั้งแต่วันก่อนเสียอีก
“เป็นอะไรหรือเปล่าน้องเหนือ ทำไมไปเดินสุดมุมแบบนั้น”
หญิงสาวยิ้มแห้งๆก่อนแสร้งทำเป็นเข้ามาเดินตรงกลางระเบียงเช่นเดียวกัน หลังจากที่พยายามทำตัวลีบเดินติดกำแพงด้านซ้ายให้ไกลปิลันธน์มากที่สุด จนกระทั่งเท้าทั้งสี่คู่หยุดพร้อมกันตรงหน้าห้องทำงานส่วนตัวของผู้กำกับ พลันคนรับบทพระเอกก็หันขวับมายังคนเขียนบทแล้วเอ่ย
“ของผมเรื่องด่วนมาก ขอคุยก่อนได้ไหม”
เหนือดาวที่ยังตีหน้าไม่ถูกยืนนิ่งไปเสียสนิทก่อนพยักหน้าอย่างลืมตัว แต่ก่อนที่ชายทั้งสามคนจะเดินเข้าไปในห้อง คนมีเรื่องด่วนคนเดิมก็ไม่ลืมหันมากำชับหญิงสาวที่จำเป็นจะต้องยืนรอข้างนอกก่อน
“คุณเหนือ คุณเองก็รออยู่ข้างนอกก่อน ผมก็มีเรื่องอยากจะคุยด้วยเหมือนกัน”
แล้วประตูกระจกฝ้าพอให้เห็นเงารางๆแค่ภายในก็เลื่อนปิดไม่สนิทดี เหนือดาวได้แต่ยืนงงงค้างก่อนจะเริ่มรู้ถึงอาการประหม่าแปลกๆจนต้องรีบนั่งลงบนเก้าอี้เล็กเรียงเป็นแถวตรงหน้าห้อง สมองครุ่นคิดว่าเรื่องที่ปิลันธน์อยากคุยกับเธอนั้นคือเรื่องอะไร ได้แต่หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องเมื่อสามวันก่อน เพราะถ้าเกิดเขาคึกคุยเรื่องนั้นขึ้นมาจริง เธอเองที่ตีสีหน้าเก่งได้ไม่เท่านั้นรับรองมีโป๊ะแตกให้เขาเห็นว่าตนอายแค่ไหนอย่างแน่นอน
ห้องทำงานซึ่งประตูแง้มไว้เล็กๆนั้นไม่มีเสียงใดดังเล็ดลอดออกมา จนกระทั่งหญิงสาวได้แต่แปลกใจเพราะถ้าอย่างน้อยเขาปรึกษาอะไรกันอยู่มันก็ต้องพอมีเสียงแผ่วๆให้ได้ยินบ้าง ทว่าเธอด็ไม่ได้ใส่ใจมันนักก่อนมือจะหยิบหูฟังในกระเป๋าถือเตรียมเสียบกับโทรศัพท์เพื่อกดฟังเพลงสงบจิตสงบใจรอ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ยัดหูฟังแม้แต่ข้างเดียว เสียงทุ้มของพระเอกก็ดังขึ้นมา... ดังขนาดที่ว่าเธอมั่นใจว่าคนในห้องถัดไปก็อาจจะได้ยินด้วยเช่นกัน
“พี่พลพี่บูมคิดดีแล้วเหรอครับ”
และด้วยนิสัยส่วนตัวของเหนือดาวที่ไม่สอดรู้สอดเห็น เธอจึงเตรียมใส่หูฟังอีกครั้ง แต่แล้วต้องหยุดชะงัก เปลี่ยนใจกะทันหันพยายามไปนั่งให้ใกล้รอยประตูแง้มให้มากขึ้นเมื่อได้ยินคำต่อมา
“ที่ให้คุณเหนือรับบทนางเอกน่ะ คิดดีแล้วเหรอครับ”
ดวงตาคู่กลมโตกลับเบิกกว้าง ลืมนิสัยไม่สู่รู้ของตัวเองไปเสียสนิท... จะไม่ให้ลืมได้เช่นไร ก็ในเมื่อคนข้างในกำลังพูดเรื่องเธออยู่!
“พวกพี่ก็โอเค ทุกคนก็โอเค แล้วปริ๊นซ์ล่ะมีอะไรขัดข้อง”
“ไม่รู้สิครับ ผมว่าคุณเหนือเขาเป็นคนเขียนบทอย่างเดิมก็ดีอยู่แล้ว แล้วทำไมต้องเอามาเป็นนางเอก ฝีมือการแสดงมีหรือเปล่าก็ไม่รู้”
มือเล็กพลันกำแน่นขึ้นมา ปากก็เม้มสนิทเป็นเส้นตรง... จริงอยู่ที่เธอไม่อยากเป็นนางเอก แต่การที่ปิลันธน์มากล่าวหาเธอว่าไม่มีฝีมือมันก็ชักจะมากเกินไปหน่อย
“แต่เขาเรียนการแสดงมาเหมือนกันนะ”
“ก็แค่เรียนทฤษฎี มันเอามามาปฏิบัติได้ไม่จริงหรอก”
“แต่เขาก็เคยเล่นมาเหมือนกันตอนอยู่ที่อังกฤษ”
“แต่นี่มันเมืองไทยนะครับ อะไรหลายอย่างก็คงต่างกันเยอะ”
ตรรกะอะไรนั่น!
เหนือดาวกัดฟันหรอดๆ นึกหมั่นไส้พระเอกของละครตนขึ้นมากะทันหัน... ใต้หน้านิ่งนั้นใครจะรู้ว่าปากคอเราะร้ายเหลือเกิน แถมยังมีมุมมองความคิดแคบๆอีกต่างหาก
“สรุปว่าปริ๊นซ์ไม่เห็นด้วย”
“ไม่ครับ”
“ไม่อยากเล่นกับเขา?”
“ไม่ครับ”
บัดนี้ หูฟังในมือหญิงสาวถ้าหากเป็นแก้วบอบบางก็อาจถึงขั้นแตกได้จากแรงกำแน่น พลันประตูก็เลื่อนออกมาทำเอาคนซึ่งนั่งจดจ่ออยู่ด้านหน้าสะดุ้งโหยง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับคนใจแคบช่างอคติ ก่อนแสร้งเมินไปอีกทางทันที
“ที่บอกว่าต้องมีเรื่องจะคุยกับคุณ ผมไม่มีแล้วนะ”
“ถ้าคุณมีอะไรจะพูดเหรอ ก็พูดสิคะ พูดกันต่อหน้า แน่ใจเหรอว่าไม่มี”
น้ำเสียงใสนั้นเจือความขุ่นเคืองอย่างชัดเจน หากแต่พ่อนักแสดงร้อยหน้ากลับทำเหมือนจับมันไม่ได้ พร้อมใบหน้านิ่งที่ปริ่มรอยยิ้มน้อยๆอยู่ตรงขอบปากราวจะหยิบยื่นความเป็นมิตร
“ไม่มีแล้วจริงๆ”
“โอเคค่ะ เพราะฉันก็คิดว่าฉันรู้แล้วว่าคุณต้องการจะพูดเรื่องอะไร”
แล้วเหนือดาวก็ลุกจากเก้าอี้แล้วเบี่ยงตัวออกข้างชายหนุ่ม ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงประตูห้องเลื่อนปิดตามหลัง กระจกฝ้านั้นทำงานได้ดีทีเดียวเสียจนหญิงสาวไม่อาจเห็นว่าคนข้างนอกตอนนี้เผยรอยยิ้มพอใจมากเพียงใดก่อนเขาจะหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมามอง หน้าจอของมันยังสว่างจากโปรแกรมโน้ตที่เปิดค้างเอาไว้ บนนั้นปรากฏข้อความซึ่งตนรีบพิมพ์ตอนเข้าห้องแล้วยื่นให้ผู้กำกับทั้งสองคนดู
‘ช่วยทำเป็นแกล้งเถียงหน่อยครับ ไม่งั้นคุณเหนือเขาไม่เล่นแน่’
ทันทีที่ทั้งสองคนเห็นชอบในแผนเขา ชายหนุ่มจึงเรียกวิญญาณนักแสดงแสร้งพูดเสียงดังแบบที่มั่นใจว่าเธอได้ยินร้อยเปอร์เซ็นต์ และจากท่าทางกระฟัดกระเฟียดพอดีตัวที่เขาเห็นเมื่อครู่นั้นก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงความสำเร็จของแผนนี้ได้เป็นอย่างดี
(*Working Rehearsal ขั้นตอนการการซ้อมที่นักแสดงต้องเน้นเรื่องอารมณ์ของตัวละครและออกท่าทางจริง ทั้งนี้ก็จำเป็นต้องทิ้งบท (Offbook)ด้วยเช่นกัน )