ดาวสูงเสียดฟ้าที่เคยถูกเหยียบจนมิดดิน
กลับต้องมาพบกับคนใจร้ายหน้าเดิมๆใต้ม่านละครเรื่องใหม่
จึงเป็นหน้าที่ของ ‘เจ้าชาย’ ที่จะพาเธอกลับไปเปล่งประกายให้เป็นดาวที่อยู่ ‘เหนือดาว’ สมดังชื่ออีกครั้ง!
บทที่ 7
เสียงเซ็งแซ่ของทีมงานและนักแสดงในห้องประชุมใหญ่ดังเพิ่มระดับขึ้นจนถึงขั้นหนวกหูทันทีเมื่อจบคำกล่าวของปฏิพล เสียงนั้นเกิดขึ้นจากความตกใจและประหลาดใจกับข่าวที่ผู้กำกับการแสดงเพิ่งจะแจ้ง
“รัญเขาจะแสดงกับเราไม่ได้แล้ว เขาไม่สบาย ต้องพักระยะนึง เลยขอออกจากบทนางเอก”
ไม่สบาย...
ปิลันธน์รู้ดีทีเดียวว่า ‘ไม่สบาย’ ที่แท้จริงนั้นคืออะไร เลยไม่ได้ตกใจกับสิ่งที่ได้รับทราบเท่าใดนัก หากแต่ประหลาดใจมากกว่าว่าปฏิพลรู้ได้เช่นไร จะว่ารัญรตีเป็นคนไปแจ้งกับเขาเองก็ไม่น่าใช่ ในเมื่อสามวันก่อนเธอเล่นขู่เขาเสียขนาดนั้น
“แล้วตอนนี้รัญอยู่ไหนล่ะพี่พล ทำไมเขาไม่มาบอกเรื่องนี้เอง” หัวหน้าฝ่ายประสานงานยกมือถาม
“คุยอยู่กับคุณยศกับบูม แล้วก็พวกฝ่ายออดิชั่นอยู่อีกห้องหนึ่ง”
ทั้งห้องบัดนี้เสียงดังยิ่งกว่าตลาดสดในเมื่อทุกคนต่างพากันฮือฮากับการลาออกเองของรัญรตี ผู้รับบทพระเอกมองกวาดไปรอบๆห้องจนสายตานั้นหยุดนิ่งที่ใครคนหนึ่งซึ่งไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อยทั้งๆที่เธอควรจะเป็นคนตกใจแทบจะที่สุดกับข่าวดังกล่าว
ที่ตรงนั้น... เหนือดาวนั่งนิ่งไร้แววตกใจเคลือบอาบบนใบหน้าโดยสิ้นเชิง ปิลันธน์จึงเริ่มเดาไปว่าเธอก็คงรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว พลันดวงตาคู่เรียวมีเสน่ห์จึงตวัดกลับไปยังอีกมุมห้อง ก็เห็นแววตาติดคลางแคลงของสุดแดนกำลังจ้องไปอยู่ที่เป้าหมายเดียวกับเขาเมื่อครู่เช่นกัน
จนกระทั่งเมื่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มดังขึ้นอีกหลังจากผู้กำกับการแสดงสาวเท้ายาวออกจากห้องไปพร้อมกับเหนือดาว ทีมงานและนักแสดงทุกคนต่างก็พากันแยกย้ายไปฝึกซ้อมรวมถึงทำหน้าที่ของตนโดยไร้นางเอกของเรื่องอีกต่อไป ปิลันธน์ยังคงไม่ลุกจากเก้าอี้นุ่มในห้องประชุม ชั่งใจอยู่พอสมควรก็ตัดสินใจลุกแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาปฏิพลที่เดินอยู่ตรงระเบียงทันที
“พี่พลครับ ปริ๊นซ์ขอคุยอะไรหน่อย”
“เรื่องรัญหรือเปล่า”
ราวกับว่าปฏิพลรู้อยู่แล้ว คนวิ่งตามมาจึงพยักหน้ารับ
“ครับ”
ดวงตาคมเหลือบมองเหนือดาวราวซึ่งยังยืนข้างๆปฏิพลราวกับว่าเธอเป็นบุคคลที่สามซึ่งไม่ควรจะมีส่วนร่วมในการสนทนาครั้งนี้ เมื่อหญิงสาวเห็นดังนั้น เธอจึงหันหาคนมากอาวุโสกว่าราวกับจะถามถึงคำอนุญาตว่าจะให้อยู่ตรงนี้ต่อได้หรือไม่
“ให้เหนือยืนอยู่ตรงนี้ล่ะ เขารู้เรื่องหมดแล้ว”
ปิลันธน์ถอนใจเฮือก “แต่เรื่องที่ผมอยากคุย มันไม่ใช่แค่เรื่องไม่สบาย มันมากกว่านั้น”
“ก็นั่นแหละ เรื่องมากกว่านั้นเหนือเขาก็รู้ อย่าบอกนะว่าปริ๊นซ์เองก็รู้เหมือนกัน”
คราวนี้ความประหลาดใจกลับแทรกอยู่ในเสียงของปฏิพล ทำเอาชายหนุ่มถามกลับโดยเร็วเมื่อดูว่าคนตรงหน้าทั้งสองนี้จะรู้ตื้นลึกหนาบางเช่นเดียวกันกับเขา
“พี่พลกับคุณเหนือก็... รู้?”
แล้วความเงียบก็ปกคลุมทั่วบริเวณพักใหญ่ ปฏิพลสอดส่องสายตามองไปรอบระเบียงสตูดิโอซ้อม เมื่อไม่เห็นใครอื่นอีกจึงลอบเอ่ยเสียงเบา
“ไม่รู้ว่าเรื่องที่เรารู้มันตรงกันไหมนะ แต่พี่เห็นว่าเป็นปริ๊นซ์ก็เลยจะพูดให้ฟัง” คนพูดพูดเบาลงอีก “รัญท้อง”
“แล้วพี่พลรู้ได้ยังไง เขาบอกพี่พลเหรอครับ”
คนถามติดจะอ้ำอึ้งไม่น้อยทีเดียวเมื่อมั่นใจว่าตนคือคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ หากแต่คำตอบจากหญิงสาวผู้เดียวในวงสนทนานี้ก็ทำให้เขากระจ่างแจ้งทันที
“ฉันเป็นคนบอกเองค่ะ”
“แล้วทำไมคุณถึงรู้”
สายตาตวัดไปยังเหนือดาวซึ่งยืนเม้มริมฝีปากแน่นอยู่ทันที
“เรื่องมันยาวน่ะค่ะ ช่างเถอะ ว่าแต่คุณรู้ได้ยังไง”
“ผมได้ยินเสียงแทรกในโทรศัพท์”
ปฏิพลร้อง “แล้วปริ๊นซ์ไม่คิดจะบอกพี่เลยเหรอ”
“ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงต่อ แต่เรื่องมันมาแบบนี้แล้ว แล้วนี่รัญเขาพูดอะไรกับพี่พลบ้างครับ”
เสียงถอนใจอย่างหน่ายดังขึ้นหนึ่งเฮือกก่อนตามมาด้วยคำตอบยาว
“เขาก็... ร้องไห้ จะไม่ยอมออกลูกเดียว แต่พี่แจ้งเรื่องไปกับพี่ยศแล้ว สุดท้ายรัญเขาก็โกรธใหญ่เลย กระฟัดกระเฟียดออกจากห้องไป แต่ก็ไม่รู้นะว่าจะโกรธใคร ในเมื่อพี่ไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนบอกมา ตอนนี้ก็คงกำลังต่อรองกับพี่ยศอยู่ว่าจะเอาไงต่อกับเรื่องสัญญาด้วย”
ปิลันธน์ลอบสบตาเหนือดาวขณะฟังปฏิพล ดวงตาคู่กลมโตสวยนั้นติดซื่อไร้แววสะใจแม้แต่น้อย จนดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าเธอจะเป็นคนเอาเรื่องทั้งหมดไปบอกกับผู้กำกับจนรัญรตีต้องออกจากบทเช่นนี้
แต่จะว่าอะไรเธอก็ไม่ได้... ในเมื่อว่ากันอย่างเป็นกลาง การแจ้งผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างถือเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับรัญรตีที่เล่นก่อเรื่องขึ้นมาเอง
ทันใดนั้นดาราหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงการสั่นครืดของโทรศัพท์มือถือจากบริเวณกระเป๋ากางเกงช่วงต้นขา เมื่อหยิบมันขึ้นมาก็ปรากฏชื่อของคนที่เป็นประเด็นอยู่ในยามนี้
“ครับ”
ปิลันธน์รับโดยพยายามพูดให้น้อยคำที่สุด
“พี่ปริ๊นซ์ทำแบบนี้ได้ยังไง! พี่ปริ๊นซ์ออกมาหารัญเดี๋ยวนี้เลยนะคะ เราต้องคุยกัน!”
“ที่ไหน”
“หัวมุมบันไดซีกตะวันออกหน้าห้องเก็บของ”
เสียงเกรี้ยวกราดติดสะอื้นที่ได้ยินนั้นทำเอาคนฟังพอจะจินตนาการออกถึงหน้าคนพูดทันที บัดนี้ดวงหน้าสวยคงกำลังบิดเบี้ยวไปหมดด้วยความแค้นใจอยู่ จึงรีบรับปากแล้วบอกลาคนสองคนที่กำลังคุยด้วยอยู่ทันที
เมื่อมาถึงบริเวณนัดพบ สีหน้ารัญรตีนั้นเป็นดังที่เขาคาดเอาไว้ไม่มีผิด คิ้วสวยได้รูปมุ่นเข้าหากันอย่างไม่กลัวริ้วรอย ขณะฟันบนก็กัดริมฝีปากล่างเสียแน่น ขณะที่ตรงแก้มนั้นมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนไปหมดอย่างพอเดาได้ว่าผ่านการร้องไห้มามากทีเดียว
ภาพรัญรตียืนตัวสั่นไม่เบาตรงหน้าจะว่าน่าสงสารก็สงสาร ถ้าหากเขาไม่รับรู้พฤติกรรมหน้าไหว้หลังหลอกของเธอมาก่อน บางทีก็อาจจะลูบหลังปลอบใจไปแล้วก็เป็นได้
“ฝีมือพี่ปริ๊นซ์ใช่ไหมที่เอาเรื่องนี้ไปบอกพี่พล”
หญิงสาวผู้แค่นแค้นเปิดฉากทันที ทำเอาปิลันธน์ถอนใจเฮือก... เขาคิดไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคุยกับปฏิพลและเหนือดาวเมื่อครู่นี้ว่าตนอาจจะต้องตกเป็นผู้ต้องหาปากโป้งเพราะรัญรตีทราบว่าเขาคือคนเดียวที่รู้เรื่อง หากแต่แทนที่จะปฏิเสธ ชายหนุ่มกลับยอมรับข้อกล่าวหาแต่โดยดี
“ใช่ ฝีมือพี่เอง”
แล้วก็พลอยอดคิดถึงเหนือดาวผู้ต้องหาตัวจริงไม่ได้ เธอคงยังไม่รู้ว่ารัญรตีกำลังฟาดงวงฟาดงามากเพียงใด และอาจจะถึงขั้นไม่รู้ด้วยว่าการกระทำของตนอาจจะทำให้คู่อรินึกเคียดแค้นเธอหนักกว่าเดิมเท่าไรหากรู้ความจริงทั้งหมด
“พี่ปริ๊นซ์ทำแบบนี้ทำไม พี่ปริ๊นซ์เห็นไหมว่างานรัญเสีย!”
“แต่ถ้ารัญยังอยู่ งานทุกคนจะเสียไปด้วย” ปิลันธน์ไม่ตอบคำถามแรกแล้วพูดตามตรงออกไป “กลับไปพักผ่อนดีกว่าพี่ว่า”
“พักอะไร! ใครจะพักลง เห็นไหม รัญต้องเสียหน้ามากเท่าไรในการออกจากบท”
“ทุกคนเขาคิดว่ารัญไม่สบาย ไม่มีใครรู้หรอกว่าความจริงรัญเป็นอะไร”
”แล้วมันสำคัญยังไงในเมื่อรัญยังทำงานได้!”
ไหล่มนสั่นขึ้นลงสะท้อนความโกรธของหญิงสาว จนชายหนุ่มผู้สุขุมตลอดเวลาต้องเอื้อมมือไปแตะมันไว้บางเบาหมายให้คนตรงหน้าใจเย็นลง หากแต่ไม่ได้ผลเมื่อเธอยกไหล่หลบไปด้านหลังพร้อมกับแสดงสีหน้าแสยะอย่างชัดเจน
“รัญ พี่พูดตรงๆนะ รัญควรจะยอมรับความจริง ที่รัญไม่อยากออกจากบทมันไม่ใช่เพราะรัญห่วงงานหรอก แต่รัญแค่ไม่อยากยอมแพ้คุณเหนือเขาใช่ไหม”
คนฟังหยุดชะงักนิ่งไปราวกับคำพูดของปิลันธน์แทงใจดำจังๆ
“แล้วพี่ปริ๊นซ์จะมารู้อะไร นังผู้หญิงคนนั้นมันร้ายกาจจะตาย แล้วยิ่งรัญมาเป็นแบบนี้ มันคงหัวเราะเยาะรัญอยู่แน่นอน”
“พี่คิดว่าเขาไม่น่าจะทำแบบนั้น”
“นี่นอกจากพี่ปริ๊นซ์จะเอาเรื่องของรัญไปบอกผู้กำกับ ยังจะเข้าข้างมันด้วยเหรอคะ”
คิ้วหนาเข้มของชายหนุ่มซึ่งนิ่งเหยียดเป็นเส้นตรงกระตุกน้อยๆอย่างเป็นสัญญาณว่าเจ้าของดวงหน้าหล่อเหลาชักจะเหลืออด พลันปากก็อดไม่ได้ที่จะพูดเรื่องเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนขึ้นมาตอกหน้าคนไม่สำนึกเสียที
“พี่ก็แค่พูดตามที่พี่เห็น วันนั้นพี่เห็นนะว่าคุณเหนือไม่ได้สาดน้ำรัญ”
“พี่ปริ๊นซ์!”
แล้วเสียงซึ่งเคยหวานก็กระชากดังอย่างไม่พอใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะกำหมัดแน่น
“ก็ดี รัญจะได้จำไว้ว่าทั้งๆที่เราเคยเล่นละครมาด้วยกัน รู้จักกันมาในระดับหนึ่ง แต่พี่ปริ๊นซ์ไม่เคยคิดจะอยู่ข้างรัญเลย”
“เราชักจะออกนอกประเด็นไปไกลแล้วรัญ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเหนือ เราคุยกันเรื่องรัญอยู่ เชื่อพี่ ไม่มีใครหัวเราะเยาะอะไรหรอก คิดถึงสุขภาพตัวเองดีกว่า พี่เตือนก็เพราะหวังดี”
รัญรตีส่งเสียงฮึจากลำคอออกมาแล้วย้อนถามด้วยสีหน้าอาฆาต นิ้วเรียวซึ่งยังสั่นอยู่ยกขึ้นมาชี้หน้าเขาอย่างไม่สนใจว่าตัวเองอ่อนวัยกว่าหลายปีทีเดียว
“หวังดี? แต่ทำแบบนี้? แล้วพี่ปริ๊นซ์ก็จำไว้ละกันว่าทำอะไรไว้กับรัญ... แล้วสักวันพี่ปริ๊นซ์จะได้รับกรรมเอง!”
เสียงรองเท้ากระทบพื้นตึงตังดังห่างออกไปเรื่อยๆ แล้วเสียงถอนหายใจของชายหนุ่มก็ดังจนกลบมันหมดสิ้น เขาไม่กลัวกรรมอะไรนั่นหรอกในเมื่อเขาไม่ได้เป็นคนพูด แต่กลับนึกเกรงแทนหญิงสาวหน้าซื่ออีกคนเสียมากกว่า ถ้าหากเรื่องที่เขาไม่ได้พูดหลุดลอดไปถึงหูคนหลุดบท มีหวังสงครามโลกที่สามได้เกิดขึ้นโดยมีโรงละครรักเทพินทร์เป็นสมรภูมิหลักอย่างแน่แท้
ปิลันธน์ไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้เลยว่าหลังผนังอีกด้านของหัวมุมมีคนสองคนซึ่งยืนมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ก่อนที่คนเป็นหญิงแท้จะวิ่งถลาออกมาจากมุม หากแต่ญาติสาวไม่แท้กลับคว้าแขนไว้ก่อน
“จะไปไหนเหนือ!”
มานิตย์เกือบจะร้องเสียงหลงหากแต่คิดได้ว่ากำลังแอบดูอยู่จึงหรี่ลง
“ไปบอกรัญว่าฉันเป็นคนพูด!”
เหนือดาวหายใจฟึดฟัด
“ไปทำไม พี่ปริ๊นซ์เขาตั้งใจจะปกป้องแก! ก็เห็นๆอยู่”
คราวนี้คนถูกดึงถึงกับหน้าขึ้นสี นี่ถ้าหากว่าหลังจากที่ปิลันธน์ออกไปจากวงสนทนาในตอนนั้น แล้วมานิตย์ดันไม่เห็นว่ารัญรตีเป็นคนนัดชายหนุ่มมาต่อว่าอยู่ตรงหัวมุมบันได แล้วก็ทำหน้าที่ญาติผู้แสนดีด้วยการสะกดรอยแอบดูพร้อมเรียกเธอมาช่วยกันส่องอีกแรง เธอคงไม่รู้อะไรและอยู่อย่างสบายใจไร้กังวล ทิ้งให้คนอีกคนต้องซวยแทนเธอ
“ก็นั่นล่ะ แล้วแกไม่เห็นหรือไงว่ากรรมไปตกอยู่กับคุณปริ๊นซ์”
พร้อมทั้งมือเล็กกว่าก็เริ่มฝืนแรงญาติอีกครั้ง คราวนี้เธอแงะนิ้วมานิตย์ออกจากแขนไปปากก็ว่าไป
“แม้น ฉันทนไม่ได้หรอกนะที่ใครจะต้องมารับอะไรแทนฉัน มาปกป้องฉัน แม้ว่าฉันจะต้องเจ็บเพราะต้องทนเผชิญหน้ากับรัญอีกก็ตาม”
“โอเค... อยากออกไปนักใช่ไหม อยากพูดกับพี่ปริ๊นซ์กับรัญนักใช่ไหม”
“เออ”
“แต่ตอนนี้พี่ปริ๊นซ์อยู่คนเดียว”
“เออเห็นแล้ว”
“อยากคุยนักก็ออกไป แกได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้”
พลันเพื่อนสาวก็มอบสิทธิ์ให้ด้วยการถีบคนอยากพูดเบาๆจนเสียหลักออกจากมุมที่แอบหลบซ่อนอยู่ เสียงกระแทกพื้นเพราะคนถูกถีบเสียหลักนั้นดังไม่เบาทีเดียวจนทำให้ปิลันธน์หันไปมอง แล้วก็ต้องยกคิ้วสูงอย่างลืมมาดเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
เหนือดาวซึ่งบัดนี้ยืนประจันหน้ากับชายหนุ่มงัดวิชาการแสดงเล็กๆน้อยๆที่เคยเรียนออกมาจนหมดกรุด้วยการตีหน้านิ่งสนิทแล้วแสร้งเดินผ่านเขาไปราวไม่เกิดอะไรขึ้น ขานั้นมุ่งตรงไปยังทิศซึ่งรัญรตีเพิ่งจะก้าวผ่านไป หากเสียงทุ้มขรึมก็เรียกขึ้นก่อน
“จะไปไหนครับ”
“ไปบอกรัญว่าฉันเป็นคนพูดเองค่ะ”
“แล้วคุณจะไปทำไม”
คนอยากไปย้อนโดยเร็ว “แล้วคุณจะมารับแทนฉันทำไม”
ก่อนรองเท้าคัตชูเปิดหัวสีดำจะเร่งก้าวตาม หากร่างก็ไม่สามารถตามไปได้เมื่อแขนข้างขวาถูกจับเอาไว้เบาๆอย่างไม่ได้หมายให้เจ็บ
“อย่าไป”
ดวงหน้าสวยหันขวับไปเผชิญคนห้าม ก่อนจะสะบัดกลับอย่างไม่สนใจแล้วเร่งเท้าเตรียมออก
“คุณห้ามไป”
เสียงขรึมนั้นเข้มขึ้นจนเหนือดาวต้องหยุดนิ่งฟังเขา
“เขาไม่กล้าทำอะไรผม ผมไม่มีผลกระทบอะไร แต่ถ้าเขารู้ว่าเป็นคุณ... เรื่องราวของพวกคุณมันอาจจะรุนแรงขึ้นก็ได้”
“แต่ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว นี่มันเรื่องของพวกฉันที่ต้องเคลียร์กันเอง คุณไม่เกี่ยว” เหนือดาวประกาศกร้าวชัดเจน
“ไม่เกี่ยวได้ยังไง ถ้าเรื่องมันรุนแรงขึ้น ละครคุณจะเสียเอง ดังนั้นผมไม่ให้คุณบอก”
“ฉันจะบอก”
ก่อนเธอจะต้องเหวอไปเมื่อได้ยินคำปรามาสอย่างที่ไม่คิดว่าจะได้ยินมาก่อนจากปิลันธน์ผู้ยังไม่สนิทกับเธอดีนัก
* ม่านรักเหนือดาว * บทที่ 7
กลับต้องมาพบกับคนใจร้ายหน้าเดิมๆใต้ม่านละครเรื่องใหม่
จึงเป็นหน้าที่ของ ‘เจ้าชาย’ ที่จะพาเธอกลับไปเปล่งประกายให้เป็นดาวที่อยู่ ‘เหนือดาว’ สมดังชื่ออีกครั้ง!
บทที่ 7
เสียงเซ็งแซ่ของทีมงานและนักแสดงในห้องประชุมใหญ่ดังเพิ่มระดับขึ้นจนถึงขั้นหนวกหูทันทีเมื่อจบคำกล่าวของปฏิพล เสียงนั้นเกิดขึ้นจากความตกใจและประหลาดใจกับข่าวที่ผู้กำกับการแสดงเพิ่งจะแจ้ง
“รัญเขาจะแสดงกับเราไม่ได้แล้ว เขาไม่สบาย ต้องพักระยะนึง เลยขอออกจากบทนางเอก”
ไม่สบาย...
ปิลันธน์รู้ดีทีเดียวว่า ‘ไม่สบาย’ ที่แท้จริงนั้นคืออะไร เลยไม่ได้ตกใจกับสิ่งที่ได้รับทราบเท่าใดนัก หากแต่ประหลาดใจมากกว่าว่าปฏิพลรู้ได้เช่นไร จะว่ารัญรตีเป็นคนไปแจ้งกับเขาเองก็ไม่น่าใช่ ในเมื่อสามวันก่อนเธอเล่นขู่เขาเสียขนาดนั้น
“แล้วตอนนี้รัญอยู่ไหนล่ะพี่พล ทำไมเขาไม่มาบอกเรื่องนี้เอง” หัวหน้าฝ่ายประสานงานยกมือถาม
“คุยอยู่กับคุณยศกับบูม แล้วก็พวกฝ่ายออดิชั่นอยู่อีกห้องหนึ่ง”
ทั้งห้องบัดนี้เสียงดังยิ่งกว่าตลาดสดในเมื่อทุกคนต่างพากันฮือฮากับการลาออกเองของรัญรตี ผู้รับบทพระเอกมองกวาดไปรอบๆห้องจนสายตานั้นหยุดนิ่งที่ใครคนหนึ่งซึ่งไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อยทั้งๆที่เธอควรจะเป็นคนตกใจแทบจะที่สุดกับข่าวดังกล่าว
ที่ตรงนั้น... เหนือดาวนั่งนิ่งไร้แววตกใจเคลือบอาบบนใบหน้าโดยสิ้นเชิง ปิลันธน์จึงเริ่มเดาไปว่าเธอก็คงรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว พลันดวงตาคู่เรียวมีเสน่ห์จึงตวัดกลับไปยังอีกมุมห้อง ก็เห็นแววตาติดคลางแคลงของสุดแดนกำลังจ้องไปอยู่ที่เป้าหมายเดียวกับเขาเมื่อครู่เช่นกัน
จนกระทั่งเมื่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มดังขึ้นอีกหลังจากผู้กำกับการแสดงสาวเท้ายาวออกจากห้องไปพร้อมกับเหนือดาว ทีมงานและนักแสดงทุกคนต่างก็พากันแยกย้ายไปฝึกซ้อมรวมถึงทำหน้าที่ของตนโดยไร้นางเอกของเรื่องอีกต่อไป ปิลันธน์ยังคงไม่ลุกจากเก้าอี้นุ่มในห้องประชุม ชั่งใจอยู่พอสมควรก็ตัดสินใจลุกแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาปฏิพลที่เดินอยู่ตรงระเบียงทันที
“พี่พลครับ ปริ๊นซ์ขอคุยอะไรหน่อย”
“เรื่องรัญหรือเปล่า”
ราวกับว่าปฏิพลรู้อยู่แล้ว คนวิ่งตามมาจึงพยักหน้ารับ
“ครับ”
ดวงตาคมเหลือบมองเหนือดาวราวซึ่งยังยืนข้างๆปฏิพลราวกับว่าเธอเป็นบุคคลที่สามซึ่งไม่ควรจะมีส่วนร่วมในการสนทนาครั้งนี้ เมื่อหญิงสาวเห็นดังนั้น เธอจึงหันหาคนมากอาวุโสกว่าราวกับจะถามถึงคำอนุญาตว่าจะให้อยู่ตรงนี้ต่อได้หรือไม่
“ให้เหนือยืนอยู่ตรงนี้ล่ะ เขารู้เรื่องหมดแล้ว”
ปิลันธน์ถอนใจเฮือก “แต่เรื่องที่ผมอยากคุย มันไม่ใช่แค่เรื่องไม่สบาย มันมากกว่านั้น”
“ก็นั่นแหละ เรื่องมากกว่านั้นเหนือเขาก็รู้ อย่าบอกนะว่าปริ๊นซ์เองก็รู้เหมือนกัน”
คราวนี้ความประหลาดใจกลับแทรกอยู่ในเสียงของปฏิพล ทำเอาชายหนุ่มถามกลับโดยเร็วเมื่อดูว่าคนตรงหน้าทั้งสองนี้จะรู้ตื้นลึกหนาบางเช่นเดียวกันกับเขา
“พี่พลกับคุณเหนือก็... รู้?”
แล้วความเงียบก็ปกคลุมทั่วบริเวณพักใหญ่ ปฏิพลสอดส่องสายตามองไปรอบระเบียงสตูดิโอซ้อม เมื่อไม่เห็นใครอื่นอีกจึงลอบเอ่ยเสียงเบา
“ไม่รู้ว่าเรื่องที่เรารู้มันตรงกันไหมนะ แต่พี่เห็นว่าเป็นปริ๊นซ์ก็เลยจะพูดให้ฟัง” คนพูดพูดเบาลงอีก “รัญท้อง”
“แล้วพี่พลรู้ได้ยังไง เขาบอกพี่พลเหรอครับ”
คนถามติดจะอ้ำอึ้งไม่น้อยทีเดียวเมื่อมั่นใจว่าตนคือคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ หากแต่คำตอบจากหญิงสาวผู้เดียวในวงสนทนานี้ก็ทำให้เขากระจ่างแจ้งทันที
“ฉันเป็นคนบอกเองค่ะ”
“แล้วทำไมคุณถึงรู้”
สายตาตวัดไปยังเหนือดาวซึ่งยืนเม้มริมฝีปากแน่นอยู่ทันที
“เรื่องมันยาวน่ะค่ะ ช่างเถอะ ว่าแต่คุณรู้ได้ยังไง”
“ผมได้ยินเสียงแทรกในโทรศัพท์”
ปฏิพลร้อง “แล้วปริ๊นซ์ไม่คิดจะบอกพี่เลยเหรอ”
“ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงต่อ แต่เรื่องมันมาแบบนี้แล้ว แล้วนี่รัญเขาพูดอะไรกับพี่พลบ้างครับ”
เสียงถอนใจอย่างหน่ายดังขึ้นหนึ่งเฮือกก่อนตามมาด้วยคำตอบยาว
“เขาก็... ร้องไห้ จะไม่ยอมออกลูกเดียว แต่พี่แจ้งเรื่องไปกับพี่ยศแล้ว สุดท้ายรัญเขาก็โกรธใหญ่เลย กระฟัดกระเฟียดออกจากห้องไป แต่ก็ไม่รู้นะว่าจะโกรธใคร ในเมื่อพี่ไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนบอกมา ตอนนี้ก็คงกำลังต่อรองกับพี่ยศอยู่ว่าจะเอาไงต่อกับเรื่องสัญญาด้วย”
ปิลันธน์ลอบสบตาเหนือดาวขณะฟังปฏิพล ดวงตาคู่กลมโตสวยนั้นติดซื่อไร้แววสะใจแม้แต่น้อย จนดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าเธอจะเป็นคนเอาเรื่องทั้งหมดไปบอกกับผู้กำกับจนรัญรตีต้องออกจากบทเช่นนี้
แต่จะว่าอะไรเธอก็ไม่ได้... ในเมื่อว่ากันอย่างเป็นกลาง การแจ้งผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างถือเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับรัญรตีที่เล่นก่อเรื่องขึ้นมาเอง
ทันใดนั้นดาราหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงการสั่นครืดของโทรศัพท์มือถือจากบริเวณกระเป๋ากางเกงช่วงต้นขา เมื่อหยิบมันขึ้นมาก็ปรากฏชื่อของคนที่เป็นประเด็นอยู่ในยามนี้
“ครับ”
ปิลันธน์รับโดยพยายามพูดให้น้อยคำที่สุด
“พี่ปริ๊นซ์ทำแบบนี้ได้ยังไง! พี่ปริ๊นซ์ออกมาหารัญเดี๋ยวนี้เลยนะคะ เราต้องคุยกัน!”
“ที่ไหน”
“หัวมุมบันไดซีกตะวันออกหน้าห้องเก็บของ”
เสียงเกรี้ยวกราดติดสะอื้นที่ได้ยินนั้นทำเอาคนฟังพอจะจินตนาการออกถึงหน้าคนพูดทันที บัดนี้ดวงหน้าสวยคงกำลังบิดเบี้ยวไปหมดด้วยความแค้นใจอยู่ จึงรีบรับปากแล้วบอกลาคนสองคนที่กำลังคุยด้วยอยู่ทันที
เมื่อมาถึงบริเวณนัดพบ สีหน้ารัญรตีนั้นเป็นดังที่เขาคาดเอาไว้ไม่มีผิด คิ้วสวยได้รูปมุ่นเข้าหากันอย่างไม่กลัวริ้วรอย ขณะฟันบนก็กัดริมฝีปากล่างเสียแน่น ขณะที่ตรงแก้มนั้นมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนไปหมดอย่างพอเดาได้ว่าผ่านการร้องไห้มามากทีเดียว
ภาพรัญรตียืนตัวสั่นไม่เบาตรงหน้าจะว่าน่าสงสารก็สงสาร ถ้าหากเขาไม่รับรู้พฤติกรรมหน้าไหว้หลังหลอกของเธอมาก่อน บางทีก็อาจจะลูบหลังปลอบใจไปแล้วก็เป็นได้
“ฝีมือพี่ปริ๊นซ์ใช่ไหมที่เอาเรื่องนี้ไปบอกพี่พล”
หญิงสาวผู้แค่นแค้นเปิดฉากทันที ทำเอาปิลันธน์ถอนใจเฮือก... เขาคิดไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคุยกับปฏิพลและเหนือดาวเมื่อครู่นี้ว่าตนอาจจะต้องตกเป็นผู้ต้องหาปากโป้งเพราะรัญรตีทราบว่าเขาคือคนเดียวที่รู้เรื่อง หากแต่แทนที่จะปฏิเสธ ชายหนุ่มกลับยอมรับข้อกล่าวหาแต่โดยดี
“ใช่ ฝีมือพี่เอง”
แล้วก็พลอยอดคิดถึงเหนือดาวผู้ต้องหาตัวจริงไม่ได้ เธอคงยังไม่รู้ว่ารัญรตีกำลังฟาดงวงฟาดงามากเพียงใด และอาจจะถึงขั้นไม่รู้ด้วยว่าการกระทำของตนอาจจะทำให้คู่อรินึกเคียดแค้นเธอหนักกว่าเดิมเท่าไรหากรู้ความจริงทั้งหมด
“พี่ปริ๊นซ์ทำแบบนี้ทำไม พี่ปริ๊นซ์เห็นไหมว่างานรัญเสีย!”
“แต่ถ้ารัญยังอยู่ งานทุกคนจะเสียไปด้วย” ปิลันธน์ไม่ตอบคำถามแรกแล้วพูดตามตรงออกไป “กลับไปพักผ่อนดีกว่าพี่ว่า”
“พักอะไร! ใครจะพักลง เห็นไหม รัญต้องเสียหน้ามากเท่าไรในการออกจากบท”
“ทุกคนเขาคิดว่ารัญไม่สบาย ไม่มีใครรู้หรอกว่าความจริงรัญเป็นอะไร”
”แล้วมันสำคัญยังไงในเมื่อรัญยังทำงานได้!”
ไหล่มนสั่นขึ้นลงสะท้อนความโกรธของหญิงสาว จนชายหนุ่มผู้สุขุมตลอดเวลาต้องเอื้อมมือไปแตะมันไว้บางเบาหมายให้คนตรงหน้าใจเย็นลง หากแต่ไม่ได้ผลเมื่อเธอยกไหล่หลบไปด้านหลังพร้อมกับแสดงสีหน้าแสยะอย่างชัดเจน
“รัญ พี่พูดตรงๆนะ รัญควรจะยอมรับความจริง ที่รัญไม่อยากออกจากบทมันไม่ใช่เพราะรัญห่วงงานหรอก แต่รัญแค่ไม่อยากยอมแพ้คุณเหนือเขาใช่ไหม”
คนฟังหยุดชะงักนิ่งไปราวกับคำพูดของปิลันธน์แทงใจดำจังๆ
“แล้วพี่ปริ๊นซ์จะมารู้อะไร นังผู้หญิงคนนั้นมันร้ายกาจจะตาย แล้วยิ่งรัญมาเป็นแบบนี้ มันคงหัวเราะเยาะรัญอยู่แน่นอน”
“พี่คิดว่าเขาไม่น่าจะทำแบบนั้น”
“นี่นอกจากพี่ปริ๊นซ์จะเอาเรื่องของรัญไปบอกผู้กำกับ ยังจะเข้าข้างมันด้วยเหรอคะ”
คิ้วหนาเข้มของชายหนุ่มซึ่งนิ่งเหยียดเป็นเส้นตรงกระตุกน้อยๆอย่างเป็นสัญญาณว่าเจ้าของดวงหน้าหล่อเหลาชักจะเหลืออด พลันปากก็อดไม่ได้ที่จะพูดเรื่องเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนขึ้นมาตอกหน้าคนไม่สำนึกเสียที
“พี่ก็แค่พูดตามที่พี่เห็น วันนั้นพี่เห็นนะว่าคุณเหนือไม่ได้สาดน้ำรัญ”
“พี่ปริ๊นซ์!”
แล้วเสียงซึ่งเคยหวานก็กระชากดังอย่างไม่พอใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะกำหมัดแน่น
“ก็ดี รัญจะได้จำไว้ว่าทั้งๆที่เราเคยเล่นละครมาด้วยกัน รู้จักกันมาในระดับหนึ่ง แต่พี่ปริ๊นซ์ไม่เคยคิดจะอยู่ข้างรัญเลย”
“เราชักจะออกนอกประเด็นไปไกลแล้วรัญ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเหนือ เราคุยกันเรื่องรัญอยู่ เชื่อพี่ ไม่มีใครหัวเราะเยาะอะไรหรอก คิดถึงสุขภาพตัวเองดีกว่า พี่เตือนก็เพราะหวังดี”
รัญรตีส่งเสียงฮึจากลำคอออกมาแล้วย้อนถามด้วยสีหน้าอาฆาต นิ้วเรียวซึ่งยังสั่นอยู่ยกขึ้นมาชี้หน้าเขาอย่างไม่สนใจว่าตัวเองอ่อนวัยกว่าหลายปีทีเดียว
“หวังดี? แต่ทำแบบนี้? แล้วพี่ปริ๊นซ์ก็จำไว้ละกันว่าทำอะไรไว้กับรัญ... แล้วสักวันพี่ปริ๊นซ์จะได้รับกรรมเอง!”
เสียงรองเท้ากระทบพื้นตึงตังดังห่างออกไปเรื่อยๆ แล้วเสียงถอนหายใจของชายหนุ่มก็ดังจนกลบมันหมดสิ้น เขาไม่กลัวกรรมอะไรนั่นหรอกในเมื่อเขาไม่ได้เป็นคนพูด แต่กลับนึกเกรงแทนหญิงสาวหน้าซื่ออีกคนเสียมากกว่า ถ้าหากเรื่องที่เขาไม่ได้พูดหลุดลอดไปถึงหูคนหลุดบท มีหวังสงครามโลกที่สามได้เกิดขึ้นโดยมีโรงละครรักเทพินทร์เป็นสมรภูมิหลักอย่างแน่แท้
ปิลันธน์ไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้เลยว่าหลังผนังอีกด้านของหัวมุมมีคนสองคนซึ่งยืนมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ก่อนที่คนเป็นหญิงแท้จะวิ่งถลาออกมาจากมุม หากแต่ญาติสาวไม่แท้กลับคว้าแขนไว้ก่อน
“จะไปไหนเหนือ!”
มานิตย์เกือบจะร้องเสียงหลงหากแต่คิดได้ว่ากำลังแอบดูอยู่จึงหรี่ลง
“ไปบอกรัญว่าฉันเป็นคนพูด!”
เหนือดาวหายใจฟึดฟัด
“ไปทำไม พี่ปริ๊นซ์เขาตั้งใจจะปกป้องแก! ก็เห็นๆอยู่”
คราวนี้คนถูกดึงถึงกับหน้าขึ้นสี นี่ถ้าหากว่าหลังจากที่ปิลันธน์ออกไปจากวงสนทนาในตอนนั้น แล้วมานิตย์ดันไม่เห็นว่ารัญรตีเป็นคนนัดชายหนุ่มมาต่อว่าอยู่ตรงหัวมุมบันได แล้วก็ทำหน้าที่ญาติผู้แสนดีด้วยการสะกดรอยแอบดูพร้อมเรียกเธอมาช่วยกันส่องอีกแรง เธอคงไม่รู้อะไรและอยู่อย่างสบายใจไร้กังวล ทิ้งให้คนอีกคนต้องซวยแทนเธอ
“ก็นั่นล่ะ แล้วแกไม่เห็นหรือไงว่ากรรมไปตกอยู่กับคุณปริ๊นซ์”
พร้อมทั้งมือเล็กกว่าก็เริ่มฝืนแรงญาติอีกครั้ง คราวนี้เธอแงะนิ้วมานิตย์ออกจากแขนไปปากก็ว่าไป
“แม้น ฉันทนไม่ได้หรอกนะที่ใครจะต้องมารับอะไรแทนฉัน มาปกป้องฉัน แม้ว่าฉันจะต้องเจ็บเพราะต้องทนเผชิญหน้ากับรัญอีกก็ตาม”
“โอเค... อยากออกไปนักใช่ไหม อยากพูดกับพี่ปริ๊นซ์กับรัญนักใช่ไหม”
“เออ”
“แต่ตอนนี้พี่ปริ๊นซ์อยู่คนเดียว”
“เออเห็นแล้ว”
“อยากคุยนักก็ออกไป แกได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้”
พลันเพื่อนสาวก็มอบสิทธิ์ให้ด้วยการถีบคนอยากพูดเบาๆจนเสียหลักออกจากมุมที่แอบหลบซ่อนอยู่ เสียงกระแทกพื้นเพราะคนถูกถีบเสียหลักนั้นดังไม่เบาทีเดียวจนทำให้ปิลันธน์หันไปมอง แล้วก็ต้องยกคิ้วสูงอย่างลืมมาดเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
เหนือดาวซึ่งบัดนี้ยืนประจันหน้ากับชายหนุ่มงัดวิชาการแสดงเล็กๆน้อยๆที่เคยเรียนออกมาจนหมดกรุด้วยการตีหน้านิ่งสนิทแล้วแสร้งเดินผ่านเขาไปราวไม่เกิดอะไรขึ้น ขานั้นมุ่งตรงไปยังทิศซึ่งรัญรตีเพิ่งจะก้าวผ่านไป หากเสียงทุ้มขรึมก็เรียกขึ้นก่อน
“จะไปไหนครับ”
“ไปบอกรัญว่าฉันเป็นคนพูดเองค่ะ”
“แล้วคุณจะไปทำไม”
คนอยากไปย้อนโดยเร็ว “แล้วคุณจะมารับแทนฉันทำไม”
ก่อนรองเท้าคัตชูเปิดหัวสีดำจะเร่งก้าวตาม หากร่างก็ไม่สามารถตามไปได้เมื่อแขนข้างขวาถูกจับเอาไว้เบาๆอย่างไม่ได้หมายให้เจ็บ
“อย่าไป”
ดวงหน้าสวยหันขวับไปเผชิญคนห้าม ก่อนจะสะบัดกลับอย่างไม่สนใจแล้วเร่งเท้าเตรียมออก
“คุณห้ามไป”
เสียงขรึมนั้นเข้มขึ้นจนเหนือดาวต้องหยุดนิ่งฟังเขา
“เขาไม่กล้าทำอะไรผม ผมไม่มีผลกระทบอะไร แต่ถ้าเขารู้ว่าเป็นคุณ... เรื่องราวของพวกคุณมันอาจจะรุนแรงขึ้นก็ได้”
“แต่ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว นี่มันเรื่องของพวกฉันที่ต้องเคลียร์กันเอง คุณไม่เกี่ยว” เหนือดาวประกาศกร้าวชัดเจน
“ไม่เกี่ยวได้ยังไง ถ้าเรื่องมันรุนแรงขึ้น ละครคุณจะเสียเอง ดังนั้นผมไม่ให้คุณบอก”
“ฉันจะบอก”
ก่อนเธอจะต้องเหวอไปเมื่อได้ยินคำปรามาสอย่างที่ไม่คิดว่าจะได้ยินมาก่อนจากปิลันธน์ผู้ยังไม่สนิทกับเธอดีนัก