ขรี้(ปาก)ทักษิณ

กระทู้สนทนา
ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ข้อความอวดเก่ง คุยโม้ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว

สนับสนุนการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

บางตอนระบุว่า “...ไม่ต้องกลัวว่าหนี้จะพุ่งข้างเดียว เพราะรายได้ก็พุ่งด้วย สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จึงจะไม่สูงอย่างที่วิตก และก็ไม่ต้องรอว่าจะต้องใช้หนี้อีก 50 ปีจะหมด ดูตัวอย่างหนี้ IMF ที่เราใช้ได้เร็วกว่ากำหนด ทั้งนี้อยู่ที่ใครสร้างเศรษฐกิจเป็น กับใครเป็นแต่ใช้จ่ายอย่างเดียว วิธีมองจึงต่างกันไปครับ”

                1) ทักษิณไม่สามารถอธิบายได้เลยว่า ทำไมต้องกู้เงินนอกประมาณเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ รัฐบาลสามารถดำเนินการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานผ่านระบบงบประมาณแผ่นดินปกติ ไม่ว่าจะโดยการตั้งงบประมาณขาดดุล งบผูกพันข้ามปี หรือแม้แต่การเปิดประมูล การร่วมลงทุนกับนักลงทุนที่มีทุนเทคโนโลยี ฯลฯ

                ฝ่ายค้านได้นำหลักฐานมายืนยันแล้วด้วยซ้ำว่า รัฐบาลชุดก่อนเคยดำเนินการร่วมกับรัฐบาลจีน เตรียมร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง หนองคาย-กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ โดยไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินหรือสร้างภาระต่อประเทศชาติและประชาชนมากขนาดนี้

                แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับจงใจที่จะฝ่าฝืนวินัยการคลังร้ายแรง เร่งรีบ รวบรัด ลุกลี้ลุกลน เปิดช่องให้มีการใช้จ่ายเงินแผ่นดินตามอำเภอใจของนักการเมือง โดยมีเจตนาละเว้น ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายการเงินการคลัง และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
             

                2) ทักษิณขายฝันว่าเศรษฐกิจจะดี ไม่ต้องห่วงภาระหนี้สิน แถมคุยโวเรื่องใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ

                ประเด็นเรื่องใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ เมื่อพูดข้างเดียว พูดสั้นๆ อย่างนี้ ก็สามารถจะ “ตีกิน” หลอกคนที่รับข้อมูลข้างเดียว ด้วยความจริงเสี้ยวเดียว ไปเรื่อยๆ

แต่ความจริงยิ่งกว่า คือ การปลดหนี้ไอเอ็มเอฟไม่ใช่ผลงานของทักษิณคนเดียว!

ไม่ใช่ว่า "ทักษิณ" ขึ้นมาเป็นนายกฯ แล้วก็ใช้ความสามารถของตนเองล้วนๆ แต่เพียงผู้เดียว จนช่วยให้ประเทศไทยปลดหนี้ไอเอ็มเอฟได้สำเร็จ

ไม่ใช่เพิ่งมาใช้หนี้กันตอนที่นายกฯ ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร"

รัฐบาลก่อนหน้าทักษิณ ได้บริหารประเทศอย่างเข้มงวด เพราะเมื่อเกิดวิกฤติ 2540 รัฐบาลชวลิตไปลงนามขอกู้เงินจากไอเอ็มเอฟ นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีคลัง (ผู้ใกล้ชิดกับทักษิณ) เป็นคนลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่ 1 (Letter of Intent : LOI) เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2540 ทำให้ประเทศมีพันธะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของไอเอ็มเอฟ เช่น การรักษาวินัยการคลัง การรัดเข็มขัดเงินเดือนข้าราชการ การควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ฯลฯ เมื่อเศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมา การส่งออกดีขึ้น ดุลการค้าดีขึ้น กำลังซื้อภายในประเทศดีขึ้น รัฐเก็บภาษีได้มากขึ้น ฯลฯ รัฐบาลหลังจากนั้นก็ได้ทยอยใช้หนี้มาเรื่อยๆ แถมยังตัดสินใจเลิกรับเงินกู้เร็วกว่ากำหนด เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ใกล้จะหายป่วยแล้ว ทำให้รอบหนี้ที่ต้องชำระไอเอ็มเอฟหดสั้นลงเร็วกว่ากำหนด

พอทักษิณเข้ามาเป็นนายกฯ ก็เหมือนหมอที่รับช่วงคนไข้ซึ่งอาการดีขึ้นแล้ว เตรียมตัวจะกลับบ้านอยู่แล้ว จับฉีดยาเข็มสุดท้าย แล้วก็ประกอบพิธีกรรมการเมือง ประกาศ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น”

โกหกคำโต สร้างภาพให้ตัวเอง ฝังหัวคนไทยบางกลุ่มมาจนถึงปัจจุบัน


3) ทักษิณคุยโวผ่านเฟซบุ๊คว่า “อยู่ที่ใครสร้างเศรษฐกิจเป็น กับใครเป็นแต่ใช้จ่ายอย่างเดียว”

ความจริง คนที่เป็นแต่ใช้จ่ายเงินแผ่นดิน สร้างภาระหนี้สินให้กับประเทศชาติ ชื่อ ทักษิณ

ในยุครัฐบาลทักษิณ ได้ถลุงเงินกองทุนน้ำมันฯ ใช้เป็นเครื่องมือลดแลกแจกแถม สร้างคะแนนนิยมทางการเมืองให้ตัวเอง พอกหนี้ให้กองทุนน้ำมันมหาศาล

สร้างหนี้กองทุนน้ำมันสะสมร่วมแสนล้านบาท!

เปรียบเสมือนการอุจาระทิ้งไว้ ไม่ยอมราด

ก่อนที่รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ ยุคที่นายปิยะสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นรัฐมนตรีพลังงาน เข้ามาบริหารจัดการ ทยอยเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ล้างหนี้ ล้างขี้ที่ทักษิณผลาญเรี่ยราดไว้

แถมเป็นการใช้หนี้เสร็จสิ้นเร็วก่อนกำหนดร่วม 2 ปี

พอมาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กองทุนน้ำมันฯ ก็กลับมาขาดทุนบักโกรกอีกแล้ว


4) ตรงกันข้าม โครงการที่ทักษิณวาดฝันจะสร้างรายได้ กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า

กลายเป็นอนุสรณ์น้ำลาย ประจานความอัปลักษณ์แห่งคำคุยโวของทักษิณ

นั่นคือ โครงการอีลิทการ์ด

โครงการนี้ เริ่มมาตั้งแต่ปี 2546 ทักษิณคุยโวว่าเป็นไอเดียบรรเจิดของตัวเอง ประเทศชาติจะร่ำรวยมั่งคั่ง เงินไหลนองทองไหลมา เพราะขายบัตรเทวดา อีลิทการ์ด

คุยโวถึงขั้นประกาศว่า จะขายสมาชิกอีลิทการ์ดให้ต่างชาติ 1 ล้านใบ!

เอาเข้าจริงก็ “ดีแต่โม้” ตลอดยุครัฐบาลทักษิณ ขายได้จริงๆ ได้ไม่ถึง 1,000 ใบ

แถมตัวแทนขายที่เข้ามาร่วมทำมาหากินกับโครงการอีลิทการ์ดในช่วงแรกๆ ก็มีแต่พรรคพวกเครือข่ายสายสัมพันธ์ทางธุรกิจของคนระบอบทักษิณทั้งสิ้น

จากยอด 1 ล้านใบ ประกาศปรับลดลงเหลือ 1 แสนใบ แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จ

หลังจากนั้น ยังปรับลดเป้าหมายลงมาอีก เหลือแค่ 10,000 ใบ แถมลดราคาบัตรลงด้วย มิหนำซ้ำ ยังทุ่มเงินโฆษณา กระทั่งมีข่าวฉาวโฉ่ ติดหนี้ค่าโฆษณา CNN ร้อยกว่าล้านบาท ขายหน้าประเทศไทยไปทั่วโลก แต่ก็ยังขายอีลิทการ์ดได้แค่ 2,500 กว่าราย!

สถานะในวันนี้ ถ้าไม่ได้เงินแผ่นดินเข้าไปโอบอุ้มก็คงลงหลุมไปนานแล้ว

มีแต่ทรงกับทรุด เจ๊งกับเจ๊ง

ขาดทุนสะสมกว่าพันล้านบาท แถมมีปัญหาสภาพคล่องด้านการเงิน

ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี-หนีไม่พ้น!

คนรู้จริง เขาจึง “เหม็นขี้ปากทักษิณ”!

ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/6150


ปล.หลอกได้ก็แต่พวก ปลวกเท่านั้นแหล่ะครับ...หลงจนโงหัวไม่ขึ้น...เอิ๊ก ๆ ๆ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่