เราเคยตั้งกระทู้เรื่องที่สามีนอกใจแล้วค่ะ แต่เล่าเรื่องราวไม่จบเพราะทะเลาะกับสามี ก็เลยต้องหยุดเขียน (สามีขอไว้ค่ะ) เรื่องราวมันก็ผ่านมาได้แค่ 4เดือนเท่านั้นค่ะ เวลานี้เราสับสนวุ่นวายใจแบบบอกไม่ถูก อยากขอคำแนะนำหน่อยค่ะ เพราะพูดกับที่บ้านโดนด่าแล้วแถมยังเหยียบยํ่า ซํ้าเติ่ม (พยายามมองว่าเขาหวังดี แต่คำพูดบางครั้งมันก็สุดจะทนฟัง) ขอเล่าเรื่องเลยค่ะ
หลังจากที่จับได้ว่า สามีนอกใจและให้อภัยชีวิตก็แย่ลงมาเรื่อยเรื่อย สามีก็ลาออกจากงาน (ผญ คนนั้นทำงานที่เดียวกันกับสามีค่ะ) ตัวเราเองบริษัทยุบตัวค่ะ ทำให้ต้องตกงาน เนื่องด้วยภาระที่เรามี ทำให้ตกลงกับสามีว่าเราจะย้ายกลับไปอยู่บ้านสามีที่ตจวและทำธุรกิจของตัวเอง เพราะบ้านที่เราอยู่ติดจำนองแบงค์ค่ะ และต่างคนต่างตกงานก็จะทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายค่าบ้านและค่าใช้จ่าย เลยจะต้องปล่อยบ้านให้เขาเช่า ฟังดูมันน่าจะลงตัวใช่ไหมค่ะ แต่มันไม่เป็นแบบนั้น ในเมื่องานไม่มี เงินเก็บก็ไม่ได้มีมากมาย เพราะตัวเราเองมีรถที่ต้องผ่อนเดือนละ 9200บาท ค่าบ้านอีก 5200 ค่ารถจยยของสามีอีก 2450 (ซึ่งก่อนตกงาน สามีจะเป็นคนจ่ายค่าบ้านกับรถจยยของเขาเองค่ะ) เรามีลูกอายุ 1ขวบและคุณยายที่ต้องดูแล ค่านํ้าค่าไฟ ค่าใช้จ่ายในบ้านเราก็ต้องเป็นคนหา พูดง่ายง่ายว่าสามีไม่มีทางหามาให้เราได้และไม่คิดจะทำอะไร เราเลยต้องตัดใจขายรถก่อนจะย้ายบ้าน (เสียดายมาก แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร สักวันก็มีใหม่ได้) ก่อนวันย้ายบ้าน ลูกเราป่วยเข้ารพค่ะ น้องติดเชื้อที่ลำไส้ทำให้ถ่ายเหลวและชัก ลูกนอนอยู่ รพ3คืน เราหมดค่ารักษาไป 10000 เราเป็นคนออกเองค่ะ วันย้ายบ้าน สามีเรานั่งรถไปกับรถขนของก่อนเพราะเราต้องอยู่จัดการเรื่องบ้าน ค่ารถ 12000 เราเห็นเงินที่ได้จากการขายรถมันเริ่มหายไปที่ละนิด เราก็เริ่มใจหาย ห็เลยบอกสามีว่า เรามีเงินเหลือแค่ 8500 ที่เหลือคุณไปขอกับแม่คุณเองน่ะ ช่วยช่วยเรามั่ง ตอนแรกสามีโวยวายว่าก็ให้เราไปกดเงินมาก่อนแล้วค่อยไปเอากับแม่ เราไม่ยอม บอกว่าไม่มี เขาก็เลยต้องยอม
หลังจากทำเรื่องบ้านเสร็จแล้วเราก็ตามสามีไปพร้อมกับลูก ค่าใช้จ่ายเราก็เป็นคนออกเอง ไม่ไปรบกวนใคร จนมาถึงเรื่องที่จะก่อสร้างโรงงานที่เราตั้งใจจะทำกัน เราบอกให้สามีเราไปคุยกับแม่เขาเรื่องออกเงินค่าก่อสร้าง ซึ่งงบน่าจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 70000 เราบอกว่าให้เขาหาเงินค่าก่อสร้างมา แล้วเราเป็นคนออกทุนค่าสิ่งของต่างต่าง ซึ่งเราคำนวนแล้วมันก็มากกว่า 70000 จะให้เราออกเองหมดทุกอย่างเราก็ไม่ยอม เพราะมันเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่เรามี ตอนแรกแม่สามีไม่ยอมช่วย บอกให้เลิกล้มความคิดไปก่อนมีเงินแล้วค่อยมาทำ เราได้ยินแบบนี้ เราก็ไม่ยอมแล้วค่ะ ก็เลยระเบิดต่อหน้าแม่เขาเลยว่า เราทำมาเยอะแล้ว เราลงทุนค่าของไปเยอะแล้ว และอยู่อยู่จะบอกให้เราเลิกล้มความคิด เราไม่ยอม เพราะก่อนที่เราจะย้ายมาเราให้สามีเรามาคุยกับแม่แล้ว ว่าจะมาทำธุรกิจ แม่ก็เห็นดีด้วย สนับสนุน (เราคิดว่าสามีเราไม่ได้บอกกับแม่เขาว่าจะให้แม่เขาช่วยในส่วนของเขา) ของเราก็สั่งมาแล้ว แล้วจะให้เราทำยังไง เราก็พูดกับแม่เขาแบบเปิดอกว่า แม่รู้ไหมว่าทุกวันนี้ เราเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด สามีมีแต่ขอเงินเรา ในจะค่ารถจยยที่ยังต้องผ่อน (ให้ขายก็ไม่ยอม เราเห็นว่าไม่มีรถเก๋ง มี จยยไว้ก็ยังพอรับได้) เรารู้ว่าถ้าเรากับลูกมาเป็นภาระแม่ แม่ไม่เอาหรอก (อันนี้พี่เขยพูด) แม่เราเสียตั้งแต่เราอายุ 15ค่ะ แม่สามีนั่งนิ่งและก็พูดว่า งันเดี๋ยวแม่จะหาเงินมาลงทุนให้ มีแล้วค่อยจ่ายคืน (ได้ยินแล้วเพลียใจ แล้วที่ตรูลงทุน ใครจะจ่ายคืน --!) เราก็เลยบอกแม่ว่าอันนี้เราจะให้สามีเป็นคนจ่ายเอง เพราะมันสร้างอยู่ในพื้นที่บ้านแม่เขา (เรามองว่าถ้าเราเลิกกับสามีเราก็ไม่ได้อะไรเลยจากตรงนี้ เราโดนเอาเปรียบมามากแล้ว เราจะไม่ยอมหมดเนื้อหมดตัว เพราะเรามีลูกที่ต้องดูแล) มาถึงตรงนี้ทุกอย่างน่าจะไปได้สวยน่ะค่ะ แต่มันก็มีค่าใช้จ่ายเข้ามาเรื่อยเรื่อย จนเราแทบจะหมดตัวแล้วค่ะ ทองที่มีอยู่ต้องเอาไปจำนำ เพราะทางบ้านเราเขาไม่ให้ยืมเงินฟรีฟรีค่ะ เดือดร้อนก็ไม่ช่วยค่ะ เราก็ไม่เคยไปขอความช่วยเหลือจากเขาค่ะ เงินที่ได้มาก็จ่ายค่ารถของสามี บางที่ก็มีค่าของก่อสร้างที่หลุดมาให้จ่ายมั่ง ค่ากิน ค่าบัตรเครดิต ค่าเหล้าสามี ค่านํ้าค่าไฟ คือทุกทุกอย่างค่ะ เราเป็นทุกข์มากค่ะ จากคนที่เคยมีทุกอย่าง เรานั่งเครียด ร้องไห้สามีก็ไม่เคยให้กำลังใจ วันวันหายหัวไปหาเพื่อน ดึกดึกนั่งกินเหล้า ไม่สนใจ จนเราทะเลาะกัน สามีบอกว่าเขาก็เครียด ไม่รู้จะช่วยเรายังไง เราก็เลยบอกให้ไปหางานทำก่อนได้ไหม มีเงินค่ากับข้าวก็ยังดี สามีก็ได้แต่พูดว่า เอ่อเดี๋ยวหา แล้วก็นานมาเป็นเดือน เราหมดทางจะหาเงินแล้วค่ะ สุดท้ายเลยต้องตัดใจ ยอมขายบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่แม่เราทิ้งไว้ให้ เรานอนร้องไห้เพราะเสียดายบ้าน มันเป็นของเรา แต่ในเมื่อสามีไม่ช่วย แล้วแม่เขาก็พูดเสมอว่าแม่ไม่มีเงิน (แม่สามีเปิดร้านขายของชำค่ะเป็นร้านเล็กเล็ก เงินแม่เป็นเงินหมุน เราเข้าใจแม่เขาค่ะ เพราะเราเองก็ไม่อยากรบกวนเขา และไม่เคยขอด้วย) เราจะทำยังไง (คิดมาถึงตรงนี้ เราเลยเริ่มถามตัวเองว่า เราจะต้องหมดตัวไม่เหลืออะไรให้ลูกเพราะพ่อของเขาเองหรอ) สุดท้ายเมื่อไม่มีทางออก บ้านก็จะต้องไปเป็นของคนอื่น ซึ่งอาเราเป็นคนซื้อต่อเองค่ะ (อยากที่บอกขอยืมบ้านเราไม่มีค่ะ ต้องมีของไปแลก เราเข้าใจค่ะ ว่าเขากลัวเราจะไม่มีเงินจ่าย) เราได้เงินมาครึ่งหนึ่งก็ไปทำการไถ่ถอนโฉนดบ้านออกมา ตอนไปทำเรื่อง อาเรากับน้าสาวก็ไปด้วยค่ะ รุมต่อว่าด่าเราต่อหน้าเจ้าหน้าที่ว่าโง่มั่งอะไรมั่งสาระพัดที่จะด่า เราบอกว่า อันนี้ค่อยไปคุยรอบนอกได้ไหม ที่นี่ไม่ควร อากับน้าสาวก็ไม่ไว้หน้าค่ะ ก็ยังด่าเราไปเรื่อยเรื่อย อาเราเป็นคนเสียงดัง เราอายมากค่ะ จนเราทนไม่ไหวก็เลยคืนเงินทอนที่ได้มาจากการไถ่ถอนไป แล้วพูดแบบนํ้าตาตกว่า อาไม่ต้องซื้อก็ได้น่ะ เพราะเราไม่ได้บังคับ ถ้าเรามีทางเลือกที่ดีกว่านี้ก็ไม่อยากขายหรอก แล้วเราก็เดินออกมา นั่งแท็กซี่จะกลับบ้าน ระหว่างทางเราโทรคุยกับสามี สามีก็พูดว่าถ้าอยากจะขายก็ต้องทน ถ้าไม่ขายก็กลับมาบ้านเราที่ตจว เราเลยถามสามีว่าถ้าไม่ทำจะเอาอะไรกินและเลี้ยงลูก สามีก็เงียบไปสักพักแล้วพูดว่า ก็นั้นแหล่ะ ถึงได้บอกว่าต้องทน (มาถึงตรงนี้เขียนไปร้องไห้ไป) ทำเรื่องไถ่ถอนเสร็จเราก็นั่งรถทัวร์กลับบ้านพร้อมลูกที่ตจว เพราะแบงค๋แจ้งว่าหลังสงกรานต์ถึงจะทำเรื่องโอนได้ (อาเราเขาทำเรื่องกู้บ้านค่ะ เลยต้องรอ) เรากลับมาบ้านพร้อมใจที่สับสน กลายเป็นคนเศร้า ร้อมกับสามีที่ยังไม่ยอมหางานทำ จนเราได้คุยกับเพื่อนเรา ว่าเราอึดอัด โรงงานก็ยังสร้างไม่เสร็จอะไรก็ไม่เรียบร้อย ขายบ้านก็ยังไม่ได้เงิน จะไปไหนก็ไม่ได้ เพื่อนก็แนะนำว่าให้ออกรถมือสองคันหนึ่ง เพราะเราอยู่ตจว ควรมีรถเกิดฉุกเฉินอะไรมาจะได้ทำไรได้ทัน มันทำให้เรานึกถึงเหตุการที่ลูกเราชัก ถ้าเราไม่ได้อาผชที่บ้านอยู่ติดกัน เราคงแย่ เพราะบ้านอยู่ลึกหารถลำบาก เราก็เลยบอกสามีว่าจะออกรถ สามีก็รีบพูดขึ้นมาว่าแล้วรถที่เอามาส่งของล่ะ เราก็บอกว่ารอให้โรงงานเปิดก่อนน่ะ แรกแรกก็ใช้สาเล้งไปก่อน เพราะเงินทุนไม่มี หลังจากที่คุยกับเพื่อน เราก็นั่งรถทัวร์ขึ้นมากทมเพื่อมาดูรถ บวกกับอาบอกว่าให้มาทำเรื่องโอนบ้าน แต่พอเรามาถึง อาบอกแบงค์ยังทำเรื่องไม่เสร็จให้รอสงกรานต์ เรามาอยู่กทมตั้งแต่วันที่ 22.3 รอทำเรื่องบ้านเรื่องรถ (รถใช้ขื่อแม่สามีซื้อค่ะ) ตั้งแต่มาสามีไม่เคยโทรหาเราเลยค่ะ เคยโทรมาบอกให้เติมเงินในมือถือให้ (ไม่เคยโทรหา แต่เงินในมือถือหมด) แล้วยังมาเกิดเรื่องอีก ว่าโรงงานของเราเล็กไป เจ้าหน้าที่บอกต้องเพิ่มพื้นที่อีก 3.5เมตร แม่สามีก็บอกว่าลงทุนไป 50000แล้ว แม่ไม่มีเงิน (ทราบจนเข้าไปในกระดูกแล้วค่ะ) ซํ้าแม่สามียังขอยืมเงิน 20000 เพื่อซื้อเหล้าไว้ขายอีก เราก็คุยกับสามีว่า จะให้เราหาเงินมาจากไหน เงินขายบ้านก็ยังไม่ได้ ไหนจะค่าบัตรเครดิต ค่ารถจยยคุณอีก เราไม่ไหวแล้วน่ะ ลูกก็อยู่กับเรา แถมเราพึ่งมารู้ตัวว่าตัวเองตั้งท้องได้ 5อาทิตย์ เราแบกภาระเยอะ คุณไม่คิดจะช่วยกันมั่งหรอ สามีย้อนว่าจะให้ช่วยยังงัย สุดท้ายเราต้องกัดฟันค่ะ เราบอกสามีว่า ค่าต่อเติ่มเราจะเป็นคนออกเอง เราจะทำให้เสร็จ แต่โรงงานนี้จะเป็นชื่อเรา สามีพูดแบบประชดว่า งันไปติดต่อขอจดทะเบียนในนามบริษัทเองน่ะ เราก็บอกว่าได้ เราไม่มีปัญหา ส่วนเรื่องเงินของแม่ สามีต้องไปคุยกับพี่ชายเอง เพราะเขาสำควรที่จะยื่นมือมาช่วย อย่ามาคิดว่าเราเอาเงินแม่เขามาลงทุน สามีได้แต่ฟัง
เราอยากบอกว่า เราเหนื่อยเหลือเกิน ท้อค่ะ บางทีเครียดจนร้องไห้ แล้วก็เกิดอาการปวดท้อง อาเจียน สงสารลูกชายและก็คนที่อยู่ในท้อง อยู่บ้านญาติก็อึดอัด (เพราะบางทีเขาก็พูดเหมือนไล่ให้กลับบ้าน) เราไม่รู้จะเดินต่อไปยังไงดี บางทีก็อยากเลิกล้มความคิด แต่ก็ลงทุนไปแล้ว เดินหน้าก็ไม่อยากถ่อยหลัง เรารู้ว่าธุรกิจที่จะทำมันต้องไปได้ดี เปิดโรงงานทำนํ้าดื่มค่ะ มองหน้าลูกชายเวลาเขายิ้มให้แล้วนํ้าตาแทบไหล พูดกับลูกทุกคืนว่าแม่ควรมำอย่างไรไม่ให้เราล้ม ให้แม่มีเงินเลี้ยงลูกทั้งสอง
ขอโทษน่ะค่ะที่ยาวไปหน่อย แต่มันสุดจะทนแล้วค่ะ ไม่รู้จะระบายที่ไหน กับใคร
เกิดเป็น ผญ ต้องอดทนเพื่อลูก
หลังจากที่จับได้ว่า สามีนอกใจและให้อภัยชีวิตก็แย่ลงมาเรื่อยเรื่อย สามีก็ลาออกจากงาน (ผญ คนนั้นทำงานที่เดียวกันกับสามีค่ะ) ตัวเราเองบริษัทยุบตัวค่ะ ทำให้ต้องตกงาน เนื่องด้วยภาระที่เรามี ทำให้ตกลงกับสามีว่าเราจะย้ายกลับไปอยู่บ้านสามีที่ตจวและทำธุรกิจของตัวเอง เพราะบ้านที่เราอยู่ติดจำนองแบงค์ค่ะ และต่างคนต่างตกงานก็จะทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายค่าบ้านและค่าใช้จ่าย เลยจะต้องปล่อยบ้านให้เขาเช่า ฟังดูมันน่าจะลงตัวใช่ไหมค่ะ แต่มันไม่เป็นแบบนั้น ในเมื่องานไม่มี เงินเก็บก็ไม่ได้มีมากมาย เพราะตัวเราเองมีรถที่ต้องผ่อนเดือนละ 9200บาท ค่าบ้านอีก 5200 ค่ารถจยยของสามีอีก 2450 (ซึ่งก่อนตกงาน สามีจะเป็นคนจ่ายค่าบ้านกับรถจยยของเขาเองค่ะ) เรามีลูกอายุ 1ขวบและคุณยายที่ต้องดูแล ค่านํ้าค่าไฟ ค่าใช้จ่ายในบ้านเราก็ต้องเป็นคนหา พูดง่ายง่ายว่าสามีไม่มีทางหามาให้เราได้และไม่คิดจะทำอะไร เราเลยต้องตัดใจขายรถก่อนจะย้ายบ้าน (เสียดายมาก แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร สักวันก็มีใหม่ได้) ก่อนวันย้ายบ้าน ลูกเราป่วยเข้ารพค่ะ น้องติดเชื้อที่ลำไส้ทำให้ถ่ายเหลวและชัก ลูกนอนอยู่ รพ3คืน เราหมดค่ารักษาไป 10000 เราเป็นคนออกเองค่ะ วันย้ายบ้าน สามีเรานั่งรถไปกับรถขนของก่อนเพราะเราต้องอยู่จัดการเรื่องบ้าน ค่ารถ 12000 เราเห็นเงินที่ได้จากการขายรถมันเริ่มหายไปที่ละนิด เราก็เริ่มใจหาย ห็เลยบอกสามีว่า เรามีเงินเหลือแค่ 8500 ที่เหลือคุณไปขอกับแม่คุณเองน่ะ ช่วยช่วยเรามั่ง ตอนแรกสามีโวยวายว่าก็ให้เราไปกดเงินมาก่อนแล้วค่อยไปเอากับแม่ เราไม่ยอม บอกว่าไม่มี เขาก็เลยต้องยอม
หลังจากทำเรื่องบ้านเสร็จแล้วเราก็ตามสามีไปพร้อมกับลูก ค่าใช้จ่ายเราก็เป็นคนออกเอง ไม่ไปรบกวนใคร จนมาถึงเรื่องที่จะก่อสร้างโรงงานที่เราตั้งใจจะทำกัน เราบอกให้สามีเราไปคุยกับแม่เขาเรื่องออกเงินค่าก่อสร้าง ซึ่งงบน่าจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 70000 เราบอกว่าให้เขาหาเงินค่าก่อสร้างมา แล้วเราเป็นคนออกทุนค่าสิ่งของต่างต่าง ซึ่งเราคำนวนแล้วมันก็มากกว่า 70000 จะให้เราออกเองหมดทุกอย่างเราก็ไม่ยอม เพราะมันเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่เรามี ตอนแรกแม่สามีไม่ยอมช่วย บอกให้เลิกล้มความคิดไปก่อนมีเงินแล้วค่อยมาทำ เราได้ยินแบบนี้ เราก็ไม่ยอมแล้วค่ะ ก็เลยระเบิดต่อหน้าแม่เขาเลยว่า เราทำมาเยอะแล้ว เราลงทุนค่าของไปเยอะแล้ว และอยู่อยู่จะบอกให้เราเลิกล้มความคิด เราไม่ยอม เพราะก่อนที่เราจะย้ายมาเราให้สามีเรามาคุยกับแม่แล้ว ว่าจะมาทำธุรกิจ แม่ก็เห็นดีด้วย สนับสนุน (เราคิดว่าสามีเราไม่ได้บอกกับแม่เขาว่าจะให้แม่เขาช่วยในส่วนของเขา) ของเราก็สั่งมาแล้ว แล้วจะให้เราทำยังไง เราก็พูดกับแม่เขาแบบเปิดอกว่า แม่รู้ไหมว่าทุกวันนี้ เราเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด สามีมีแต่ขอเงินเรา ในจะค่ารถจยยที่ยังต้องผ่อน (ให้ขายก็ไม่ยอม เราเห็นว่าไม่มีรถเก๋ง มี จยยไว้ก็ยังพอรับได้) เรารู้ว่าถ้าเรากับลูกมาเป็นภาระแม่ แม่ไม่เอาหรอก (อันนี้พี่เขยพูด) แม่เราเสียตั้งแต่เราอายุ 15ค่ะ แม่สามีนั่งนิ่งและก็พูดว่า งันเดี๋ยวแม่จะหาเงินมาลงทุนให้ มีแล้วค่อยจ่ายคืน (ได้ยินแล้วเพลียใจ แล้วที่ตรูลงทุน ใครจะจ่ายคืน --!) เราก็เลยบอกแม่ว่าอันนี้เราจะให้สามีเป็นคนจ่ายเอง เพราะมันสร้างอยู่ในพื้นที่บ้านแม่เขา (เรามองว่าถ้าเราเลิกกับสามีเราก็ไม่ได้อะไรเลยจากตรงนี้ เราโดนเอาเปรียบมามากแล้ว เราจะไม่ยอมหมดเนื้อหมดตัว เพราะเรามีลูกที่ต้องดูแล) มาถึงตรงนี้ทุกอย่างน่าจะไปได้สวยน่ะค่ะ แต่มันก็มีค่าใช้จ่ายเข้ามาเรื่อยเรื่อย จนเราแทบจะหมดตัวแล้วค่ะ ทองที่มีอยู่ต้องเอาไปจำนำ เพราะทางบ้านเราเขาไม่ให้ยืมเงินฟรีฟรีค่ะ เดือดร้อนก็ไม่ช่วยค่ะ เราก็ไม่เคยไปขอความช่วยเหลือจากเขาค่ะ เงินที่ได้มาก็จ่ายค่ารถของสามี บางที่ก็มีค่าของก่อสร้างที่หลุดมาให้จ่ายมั่ง ค่ากิน ค่าบัตรเครดิต ค่าเหล้าสามี ค่านํ้าค่าไฟ คือทุกทุกอย่างค่ะ เราเป็นทุกข์มากค่ะ จากคนที่เคยมีทุกอย่าง เรานั่งเครียด ร้องไห้สามีก็ไม่เคยให้กำลังใจ วันวันหายหัวไปหาเพื่อน ดึกดึกนั่งกินเหล้า ไม่สนใจ จนเราทะเลาะกัน สามีบอกว่าเขาก็เครียด ไม่รู้จะช่วยเรายังไง เราก็เลยบอกให้ไปหางานทำก่อนได้ไหม มีเงินค่ากับข้าวก็ยังดี สามีก็ได้แต่พูดว่า เอ่อเดี๋ยวหา แล้วก็นานมาเป็นเดือน เราหมดทางจะหาเงินแล้วค่ะ สุดท้ายเลยต้องตัดใจ ยอมขายบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่แม่เราทิ้งไว้ให้ เรานอนร้องไห้เพราะเสียดายบ้าน มันเป็นของเรา แต่ในเมื่อสามีไม่ช่วย แล้วแม่เขาก็พูดเสมอว่าแม่ไม่มีเงิน (แม่สามีเปิดร้านขายของชำค่ะเป็นร้านเล็กเล็ก เงินแม่เป็นเงินหมุน เราเข้าใจแม่เขาค่ะ เพราะเราเองก็ไม่อยากรบกวนเขา และไม่เคยขอด้วย) เราจะทำยังไง (คิดมาถึงตรงนี้ เราเลยเริ่มถามตัวเองว่า เราจะต้องหมดตัวไม่เหลืออะไรให้ลูกเพราะพ่อของเขาเองหรอ) สุดท้ายเมื่อไม่มีทางออก บ้านก็จะต้องไปเป็นของคนอื่น ซึ่งอาเราเป็นคนซื้อต่อเองค่ะ (อยากที่บอกขอยืมบ้านเราไม่มีค่ะ ต้องมีของไปแลก เราเข้าใจค่ะ ว่าเขากลัวเราจะไม่มีเงินจ่าย) เราได้เงินมาครึ่งหนึ่งก็ไปทำการไถ่ถอนโฉนดบ้านออกมา ตอนไปทำเรื่อง อาเรากับน้าสาวก็ไปด้วยค่ะ รุมต่อว่าด่าเราต่อหน้าเจ้าหน้าที่ว่าโง่มั่งอะไรมั่งสาระพัดที่จะด่า เราบอกว่า อันนี้ค่อยไปคุยรอบนอกได้ไหม ที่นี่ไม่ควร อากับน้าสาวก็ไม่ไว้หน้าค่ะ ก็ยังด่าเราไปเรื่อยเรื่อย อาเราเป็นคนเสียงดัง เราอายมากค่ะ จนเราทนไม่ไหวก็เลยคืนเงินทอนที่ได้มาจากการไถ่ถอนไป แล้วพูดแบบนํ้าตาตกว่า อาไม่ต้องซื้อก็ได้น่ะ เพราะเราไม่ได้บังคับ ถ้าเรามีทางเลือกที่ดีกว่านี้ก็ไม่อยากขายหรอก แล้วเราก็เดินออกมา นั่งแท็กซี่จะกลับบ้าน ระหว่างทางเราโทรคุยกับสามี สามีก็พูดว่าถ้าอยากจะขายก็ต้องทน ถ้าไม่ขายก็กลับมาบ้านเราที่ตจว เราเลยถามสามีว่าถ้าไม่ทำจะเอาอะไรกินและเลี้ยงลูก สามีก็เงียบไปสักพักแล้วพูดว่า ก็นั้นแหล่ะ ถึงได้บอกว่าต้องทน (มาถึงตรงนี้เขียนไปร้องไห้ไป) ทำเรื่องไถ่ถอนเสร็จเราก็นั่งรถทัวร์กลับบ้านพร้อมลูกที่ตจว เพราะแบงค๋แจ้งว่าหลังสงกรานต์ถึงจะทำเรื่องโอนได้ (อาเราเขาทำเรื่องกู้บ้านค่ะ เลยต้องรอ) เรากลับมาบ้านพร้อมใจที่สับสน กลายเป็นคนเศร้า ร้อมกับสามีที่ยังไม่ยอมหางานทำ จนเราได้คุยกับเพื่อนเรา ว่าเราอึดอัด โรงงานก็ยังสร้างไม่เสร็จอะไรก็ไม่เรียบร้อย ขายบ้านก็ยังไม่ได้เงิน จะไปไหนก็ไม่ได้ เพื่อนก็แนะนำว่าให้ออกรถมือสองคันหนึ่ง เพราะเราอยู่ตจว ควรมีรถเกิดฉุกเฉินอะไรมาจะได้ทำไรได้ทัน มันทำให้เรานึกถึงเหตุการที่ลูกเราชัก ถ้าเราไม่ได้อาผชที่บ้านอยู่ติดกัน เราคงแย่ เพราะบ้านอยู่ลึกหารถลำบาก เราก็เลยบอกสามีว่าจะออกรถ สามีก็รีบพูดขึ้นมาว่าแล้วรถที่เอามาส่งของล่ะ เราก็บอกว่ารอให้โรงงานเปิดก่อนน่ะ แรกแรกก็ใช้สาเล้งไปก่อน เพราะเงินทุนไม่มี หลังจากที่คุยกับเพื่อน เราก็นั่งรถทัวร์ขึ้นมากทมเพื่อมาดูรถ บวกกับอาบอกว่าให้มาทำเรื่องโอนบ้าน แต่พอเรามาถึง อาบอกแบงค์ยังทำเรื่องไม่เสร็จให้รอสงกรานต์ เรามาอยู่กทมตั้งแต่วันที่ 22.3 รอทำเรื่องบ้านเรื่องรถ (รถใช้ขื่อแม่สามีซื้อค่ะ) ตั้งแต่มาสามีไม่เคยโทรหาเราเลยค่ะ เคยโทรมาบอกให้เติมเงินในมือถือให้ (ไม่เคยโทรหา แต่เงินในมือถือหมด) แล้วยังมาเกิดเรื่องอีก ว่าโรงงานของเราเล็กไป เจ้าหน้าที่บอกต้องเพิ่มพื้นที่อีก 3.5เมตร แม่สามีก็บอกว่าลงทุนไป 50000แล้ว แม่ไม่มีเงิน (ทราบจนเข้าไปในกระดูกแล้วค่ะ) ซํ้าแม่สามียังขอยืมเงิน 20000 เพื่อซื้อเหล้าไว้ขายอีก เราก็คุยกับสามีว่า จะให้เราหาเงินมาจากไหน เงินขายบ้านก็ยังไม่ได้ ไหนจะค่าบัตรเครดิต ค่ารถจยยคุณอีก เราไม่ไหวแล้วน่ะ ลูกก็อยู่กับเรา แถมเราพึ่งมารู้ตัวว่าตัวเองตั้งท้องได้ 5อาทิตย์ เราแบกภาระเยอะ คุณไม่คิดจะช่วยกันมั่งหรอ สามีย้อนว่าจะให้ช่วยยังงัย สุดท้ายเราต้องกัดฟันค่ะ เราบอกสามีว่า ค่าต่อเติ่มเราจะเป็นคนออกเอง เราจะทำให้เสร็จ แต่โรงงานนี้จะเป็นชื่อเรา สามีพูดแบบประชดว่า งันไปติดต่อขอจดทะเบียนในนามบริษัทเองน่ะ เราก็บอกว่าได้ เราไม่มีปัญหา ส่วนเรื่องเงินของแม่ สามีต้องไปคุยกับพี่ชายเอง เพราะเขาสำควรที่จะยื่นมือมาช่วย อย่ามาคิดว่าเราเอาเงินแม่เขามาลงทุน สามีได้แต่ฟัง
เราอยากบอกว่า เราเหนื่อยเหลือเกิน ท้อค่ะ บางทีเครียดจนร้องไห้ แล้วก็เกิดอาการปวดท้อง อาเจียน สงสารลูกชายและก็คนที่อยู่ในท้อง อยู่บ้านญาติก็อึดอัด (เพราะบางทีเขาก็พูดเหมือนไล่ให้กลับบ้าน) เราไม่รู้จะเดินต่อไปยังไงดี บางทีก็อยากเลิกล้มความคิด แต่ก็ลงทุนไปแล้ว เดินหน้าก็ไม่อยากถ่อยหลัง เรารู้ว่าธุรกิจที่จะทำมันต้องไปได้ดี เปิดโรงงานทำนํ้าดื่มค่ะ มองหน้าลูกชายเวลาเขายิ้มให้แล้วนํ้าตาแทบไหล พูดกับลูกทุกคืนว่าแม่ควรมำอย่างไรไม่ให้เราล้ม ให้แม่มีเงินเลี้ยงลูกทั้งสอง
ขอโทษน่ะค่ะที่ยาวไปหน่อย แต่มันสุดจะทนแล้วค่ะ ไม่รู้จะระบายที่ไหน กับใคร