ช่วงแรกๆ ของคู่กรรม เราเห็นเพื่อนๆ บางท่านบอกว่าคุณโฉมฉายนั้นไม่เหมาะกับบทคุณยายศร
เพราะหน้าตาดูเป็นผู้ดีเกินไป น่าจะรับบทเป็นคุณหญิงยายมากกว่า
เราก็เริ่มสงสัยว่า เอ๊ะ จริงหรือเปล่า เลยสนใจติดตามบทแม่อร กับคุณยายศรเป็นพิเศษ
หลังจากที่ติดตามมาจนเกือบจบแล้วนั้น
เราอยากบอกว่าเราประทับใจคุณปวีณาในบทแม่อร และคุณโฉมฉายในบทคุณยายศรมากๆ
ทั้งสองท่านถ่ายทอดบทประพันธ์และบทละครออกมาได้อย่างอบอุ่น นุ่มนวล และเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด ลึกซึ้ง
เข้าใจความเป็นไปของโลกและชีวิต สมกับวัยและชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานแล้ว
ในบทของแม่อรนั้น คุณปวีณาแสดงออกมาได้สวนทางกับชาติกำเนิดของเธอที่เป็นเพียงสาวชาวสวน
เพราะเธอมีความเป็นผู้ดี น้ำเสียงและกิริยานุ่มนวล จิตใจงดงาม
หลายๆ ฉากที่เธอสอนอังศุมาลิน ให้แยกแยะระหว่างเรื่องของสงคราม กับความเป็นมนุษย์ด้วยกัน
หลายๆ ฉากที่เธอมองโกโบริเหมือนลูกชายคนหนึ่งที่มีแม่คอยห่วงใย เหมือนที่เธอห่วงลูกสาวของเธอ
มิใช่เป็นเพียงผู้รุกรานหรือศัตรูของชาติ
หลายๆ ฉากที่แสดงถึงจิตใจอันเข้มแข็ง ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น
เช่น ฉากที่คุณยายบ่นว่าหากอังศุมาลินท้องขึ้นมาจริงๆ จะเป็นยังไง เพราะพ่อก็ต้องไปสงคราม ไหนจะเรื่องวนัสอีก
ฉากนั้น แม่อรแสดงดีมาก เธอหันหน้าเข้าหาตู้กับข้าว นิ่งอยู่แป๊บนึง
แล้วก็หันหน้ามาบอกคุณยายอย่างคนที่คิดตก คิดจบ พร้อมเผชิญ ไม่กังวลใดๆ แล้วประมาณว่าถ้าเขาเป็นเนื้อคู่กัน
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเขาก็จะต้องมาพบกัน และพ่อดอกมะลินั้นเป็นคนดีนัก ลงว่ารักใครแล้ว พ่อก็รักจับจิตจับใจ
จนคุณยายจนกับเหตุผลและพยักหน้ารับ
เราไม่รู้ว่าแม่อรมีการศึกษาระดับใด แต่เธอนั้นเฉลียวฉลาด เป็นผู้มีปัญญา และมีวุฒิภาวะทางจิตใจและอารมณ์สูงมาก
น่าเสียดายแทนที่คุณหลวงชลาสินธุราช ทิ้งพลอยไปหากรวด
ส่วนคุณยายนั้น ถึงแม้บางท่านจะบอกว่าหน้าตาดีเกินไปหน่อย
แต่ในชีวิตจริงๆ เราก็เคยเห็นชาวสวนที่หน้าตา ผิวพรรณดีมากๆ มาเยอะนะคะ
คุณยายเองก็ไม่ต่างจากแม่อร ที่จิตใจดี เต็มไปด้วยความเมตตา
เวลาคุณยายทำท่างอนหลาน หรือโวยวายเสียงสูงๆ นั้น เราว่าน่ารักดีค่ะ เหมือนคนแก่ขี้บ่น ขี้งอน 555
ในนิยายคู่กรรมภาค 2 เราประทับใจคุณยายมากๆ ที่คุณยายบอกว่าถ้ายายตายไป
ก็ให้เอาเถ้ากระดูกลอยน้ำไป ไม่ต้องเก็บเอาไว้ให้เป็นภาระลูกหลาน เพราะคนที่จะรู้จักคุณยายก็คงอยู่แค่ในชั้นหลานเท่านั้น
ความคิดแบบนี้ เป็นความคิดของคนที่เข้าใจธรรมชาติ รู้จักสัจธรรมของชีวิต
ไม่ได้ยึดติดกับความเชื่อ ขนบธรรมเนียมเก่าๆ เราอ่านแล้วนับถือมาก
ทั้งหลายทั้งปวง คนสุดท้ายที่เราชื่นชมที่สุด คือ คุณทมยันตี
ที่เริ่มเขียนคู่กรรมประมาณ ปี 2508 (คุณ Star of Bethlehem ใน คห. 7 แก้ให้ว่าท่านอายุ 28 ปีค่ะ)
ถึงแม้จะเขียนให้อังศุมาลินเกรียนสุดๆ แต่ท่านก็ให้ความเข้าใจ ให้ความยุติธรรมกับสงคราม
ผ่านสายตาและมุมมองของแม่อรและคุณยาย ได้เป็นอย่างดี เหมือนคนที่เข้าใจแก่นแท้ของสงคราม
เราอาจจะเขียนได้ไม่ครบถ้วน และเรียบเรียงได้ไม่ดีนัก
อยากให้เพื่อนๆ มาช่วยกันเสริมและให้ความเห็นและมุมมองต่อแม่อรและคุณยายศร เพิ่มเติมด้วยค่ะ
เชิญ สวทร. ทุกท่านเลยนะคะ
(ละครคู่กรรม) ก่อนที่คู่กรรมจะจบลง เราขอตั้งกระทู้อวยแม่อร กับคุณยายศร หน่อยนะคะ
เพราะหน้าตาดูเป็นผู้ดีเกินไป น่าจะรับบทเป็นคุณหญิงยายมากกว่า
เราก็เริ่มสงสัยว่า เอ๊ะ จริงหรือเปล่า เลยสนใจติดตามบทแม่อร กับคุณยายศรเป็นพิเศษ
หลังจากที่ติดตามมาจนเกือบจบแล้วนั้น
เราอยากบอกว่าเราประทับใจคุณปวีณาในบทแม่อร และคุณโฉมฉายในบทคุณยายศรมากๆ
ทั้งสองท่านถ่ายทอดบทประพันธ์และบทละครออกมาได้อย่างอบอุ่น นุ่มนวล และเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด ลึกซึ้ง
เข้าใจความเป็นไปของโลกและชีวิต สมกับวัยและชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานแล้ว
ในบทของแม่อรนั้น คุณปวีณาแสดงออกมาได้สวนทางกับชาติกำเนิดของเธอที่เป็นเพียงสาวชาวสวน
เพราะเธอมีความเป็นผู้ดี น้ำเสียงและกิริยานุ่มนวล จิตใจงดงาม
หลายๆ ฉากที่เธอสอนอังศุมาลิน ให้แยกแยะระหว่างเรื่องของสงคราม กับความเป็นมนุษย์ด้วยกัน
หลายๆ ฉากที่เธอมองโกโบริเหมือนลูกชายคนหนึ่งที่มีแม่คอยห่วงใย เหมือนที่เธอห่วงลูกสาวของเธอ
มิใช่เป็นเพียงผู้รุกรานหรือศัตรูของชาติ
หลายๆ ฉากที่แสดงถึงจิตใจอันเข้มแข็ง ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น
เช่น ฉากที่คุณยายบ่นว่าหากอังศุมาลินท้องขึ้นมาจริงๆ จะเป็นยังไง เพราะพ่อก็ต้องไปสงคราม ไหนจะเรื่องวนัสอีก
ฉากนั้น แม่อรแสดงดีมาก เธอหันหน้าเข้าหาตู้กับข้าว นิ่งอยู่แป๊บนึง
แล้วก็หันหน้ามาบอกคุณยายอย่างคนที่คิดตก คิดจบ พร้อมเผชิญ ไม่กังวลใดๆ แล้วประมาณว่าถ้าเขาเป็นเนื้อคู่กัน
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเขาก็จะต้องมาพบกัน และพ่อดอกมะลินั้นเป็นคนดีนัก ลงว่ารักใครแล้ว พ่อก็รักจับจิตจับใจ
จนคุณยายจนกับเหตุผลและพยักหน้ารับ
เราไม่รู้ว่าแม่อรมีการศึกษาระดับใด แต่เธอนั้นเฉลียวฉลาด เป็นผู้มีปัญญา และมีวุฒิภาวะทางจิตใจและอารมณ์สูงมาก
น่าเสียดายแทนที่คุณหลวงชลาสินธุราช ทิ้งพลอยไปหากรวด
ส่วนคุณยายนั้น ถึงแม้บางท่านจะบอกว่าหน้าตาดีเกินไปหน่อย
แต่ในชีวิตจริงๆ เราก็เคยเห็นชาวสวนที่หน้าตา ผิวพรรณดีมากๆ มาเยอะนะคะ
คุณยายเองก็ไม่ต่างจากแม่อร ที่จิตใจดี เต็มไปด้วยความเมตตา
เวลาคุณยายทำท่างอนหลาน หรือโวยวายเสียงสูงๆ นั้น เราว่าน่ารักดีค่ะ เหมือนคนแก่ขี้บ่น ขี้งอน 555
ในนิยายคู่กรรมภาค 2 เราประทับใจคุณยายมากๆ ที่คุณยายบอกว่าถ้ายายตายไป
ก็ให้เอาเถ้ากระดูกลอยน้ำไป ไม่ต้องเก็บเอาไว้ให้เป็นภาระลูกหลาน เพราะคนที่จะรู้จักคุณยายก็คงอยู่แค่ในชั้นหลานเท่านั้น
ความคิดแบบนี้ เป็นความคิดของคนที่เข้าใจธรรมชาติ รู้จักสัจธรรมของชีวิต
ไม่ได้ยึดติดกับความเชื่อ ขนบธรรมเนียมเก่าๆ เราอ่านแล้วนับถือมาก
ทั้งหลายทั้งปวง คนสุดท้ายที่เราชื่นชมที่สุด คือ คุณทมยันตี
ที่เริ่มเขียนคู่กรรมประมาณ ปี 2508 (คุณ Star of Bethlehem ใน คห. 7 แก้ให้ว่าท่านอายุ 28 ปีค่ะ)
ถึงแม้จะเขียนให้อังศุมาลินเกรียนสุดๆ แต่ท่านก็ให้ความเข้าใจ ให้ความยุติธรรมกับสงคราม
ผ่านสายตาและมุมมองของแม่อรและคุณยาย ได้เป็นอย่างดี เหมือนคนที่เข้าใจแก่นแท้ของสงคราม
เราอาจจะเขียนได้ไม่ครบถ้วน และเรียบเรียงได้ไม่ดีนัก
อยากให้เพื่อนๆ มาช่วยกันเสริมและให้ความเห็นและมุมมองต่อแม่อรและคุณยายศร เพิ่มเติมด้วยค่ะ
เชิญ สวทร. ทุกท่านเลยนะคะ