มีใครเคยอ่านหนังสือเรื่อง The Secret แล้วนำมาปฏิบัติแล้วเห็นผลบ้าง

มีใครได้อ่านหนังสือชื่อว่า The Secret ของ ผู้แต่งที่ชื่อ รอนดา เบิร์น บ้าง
(ยังมีอีก 2 เล่ม ชื่อว่า The Majic กับ The Power)
อยากทราบว่า เวลาคุณนำมาปฏิบัติ แล้วมันได้ผลไหม ในด้านไหนบ้าง ถึงขนาดเปลี่ยนชีวิตไปในทางที่ดีเลยไหม

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็น : )
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
อ่านเหมือนกันค่ะ...

เราลองนึกย้อนดู ในเหตุการณ์ที่ผ่านมาก่อนหน้าที่เราจะอ่านหนังสือ
เรามีแฟนมาสองคน...สองคนนี้ตรงสเป็คเราอย่างหนึ่งคือ ตัวสูง 180 ขึ้นทั้งสองคน...
เพราะก่อนหน้านี้เวลาเพ้อหรือจินตนาการเรื่องผู้ชายในฝันมากๆ จะนึกถึงภาพผู้ชายตัวสูงๆ ตัวใหญ่ตลอดค่ะ
แบบนี้เรียกว่ากฏแห่งแรงดึงดูดได้ไหมคะ...

การปฏิบัติตามหนังสือเล่มนี้ คือ การรู้สึกดีๆ การสำนึกรู้คุณในสิ่งที่มีอยู่ เราตีความว่ามันคือการยอมรับและรักในตนเองจากใจจริง
ไม่ใช่พูดปลอบใจตัวเองไปเรื่อยๆ ...
เราเคยลดน้ำหนักได้ 4 กิโล เพราะเรายอมรับตัวเองว่าตอนนั้นเราหนักเท่านี้นะ เราอวบนะ เราอยากสวย จากก่อนหน้าที่ได้เราแต่ตำหนิตัวเอง
ทั้งๆ ที่ไม่ได้อ้วนมากนะ แถมยังคิดว่าตัวเองอัปลักษณ์สุดๆ ช่วงนั้นก็โดนตอกย้ำเรื่อยๆ ว่าอ้วนขึ้นๆ แต่จริงๆ ไม่ได้น่าเกลียด
พอมาถึงจุดหนึ่งที่เรารับตัวเองได้ปุ๊บ เราพอใจ ณ ตอนนั้น จากที่เคยคิดว่าจะแต่งตัวสวยๆ เมื่อผอม เราเปลี่ยนความคิดทันที
โดยการ ทำตัวให้สวยตั้งแต่วันนี้ เราพอใจที่เราอวบเท่านี้ ตัวอวบๆ แบบเรายังแต่งตัวสวยๆ ได้อยู่ ก็แต่งสวยไปสิ
แล้วก็เริ่มคิดว่าอวบเท่านี้ยังแต่งตัวสวยๆ ได้ แล้วถ้าเราผอมกว่านี้ล่ะ แล้วก็เริ่มลดน้ำหนัก เดือนนึงได้ 4 กก.

อีกข้อที่เห็นผลคือการเขียนเป้าหมาย การวางแผน...
เราเก็บเงินได้เพราะเราเขียนออกมาเป็นมาฉากๆ พอเราวางแผนเห็นเป้าหมายชัดเจน เราทำตาม เราจำกัดงบการเงิน
เขียนรายรับ รายจ่ายทุกวัน เอาเงินฝากเข้าบัญชีทุกเดือน...เราก็มีเงินเก็บ

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำอย่างต่อเนื่อง เราถามใจตัวเองให้ลึกๆ นะคะ ว่า เป้าหมายชัดเจนเพียงไร
อย่าขัดแย้งในตัวเอง และระหว่างทำต้องอย่าฝืนหรือรู้สึกแย่ ต้องทำอย่างสบาย
เช่น เก็บเงิน ถ้าเราฝืนตัวมากเกินไป ตึงมากไป จนรู้สึกแย่ๆ มักทำไม่สำเร็จแล้วเครียดเสียก่อน
แต่ถ้าเราเก็บน้อยหน่อย...แบบสบายๆ เราเก็บได้จริงๆ
ลดน้ำหนักก็เหมือนกัน ต้องทำแบบสบายๆ ตอนเราลดก็ชิลมาก ข้าวขาหมูก็กินตอนเช้า
มื้อไหนเลือกได้ (ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือกได้) ก็กินผัก ผลไม้ อาหารมีประโยชน์แล้วก็ลดได้เอง

สิ่งสำคัญ เป้าหมายต้องชัดเจนและเชื่อมากๆ ถ้าทำไม่สำเร็จแสดงว่าเป้าหมายเราไม่ชัดเจนมากพอ
หรือยังไม่มุ่งมั่นมากพอ ไม่สบายมากพอ เราเชื่อว่าอย่างนั้นนะคะ
ความคิดเห็นที่ 3
ตอนแรกเราเห็นจิรนันท์แปลหนังสือเรื่องนี้ เห็นฉบับแปลในร้านหนังสือ เราก็เลยคิดว่านักแปลคนนี้มีแต่สำนักพิมพ์ให้หนังสือดีๆเธอแปล แต่เราไม่ซื้อฉบับแปลมานะ เราไปหาฉบับภาษาอังกฤษมา  เราอ่านๆไปแล้วเราก็เหมือน คคห 1 นั่นก็คืออ่านๆไปแค่ไม่กี่คำแล้วขี้เกียจอ่านต่อ  แต่เราไปหาหนังฝรั่งเรื่อง The Secret มาดูจบไป 4-5 รอบ และรู้วิธีใช้งาน the law of attraction (กฎแห่งแรงดึงดูด) ได้จนสำเร็จ และเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันประหลาดๆดังต่อไปนี้

1 แม่เราก้บเราป่วยเหมือนๆกันคือปล้องกระดูกสันหลังไม่อยู่แนวธรรมชาติ ขาซ้ายแม่กำลังจะพิการ ขาขวาเรากำลังจะพิการ (กระดูกสันหลังเอียงสลับทิศกันเลยมีปัญหาที่ขาคนละข้างกัน คาดว่าเป็นกรรมพ้นธ์) แม่ไปหาหมอ หมอให้ทำกายภาพบำบัด แต่เราไม่ได้ไมหาหมอ แม่ชวนเราจุดธุปเทียนบูชาพระพุทธรูปขอให้พวกเรา 2 คนหายป่วยไวๆ เราก็บูชาพระพุทธรูปตามแม่เรา  แต่ผลลงเอยขาซ้ายแม่พิการ และขาขวาเรายิ่งแย่งลงกำลังจะพิการอยู่แล้ว แต่เผอิญเราคิดถึง the law of attraction แล้วอยู่ดีๆแรงดลใจอะไรบางอย่างทำให้เราใช้ google แล้วนิ้วมือเรามีพลังดึงดูด  ทำให้เราพิมพ์ keywords ประหลาดๆ และเราหลงเข้าไปที่ websites ของชาวฮินดู ซึ่งเขาสอนเรื่องสายลมปราณที่เดินผ่านกระดูกสันหลัง เราใช้วิชาที่เรียนจาก websites นั้นควบกับคัมภีร์โบราณของเต๋าที่เราเคยฝึก แต่ฝึกไม่สำเร็จ แล้วฝึกใหม่ คราวนี้เราเพิ่งรู้ว่าเราตีความคัมภีร์เต๋ายังไม่แตกฉาน พอฝึกใหม่ นั่งสมาธิไป กระดูกสันหลังเราลั่นเสียงดังเปรี๊ยะๆ เหมือนในนิยายกำลังภายใน และมันกลับเข้าที่ได้ ขาขวาเราจึงรอดจากความพิการได้อย่างน่าหมัศจรรย์  
^
เราเลยเลิกแขวนพระเลิกกราบไหว้บูชาพระพุทธรูปเลิกทำบุญตักบาตรเลิกฟังเทศน์แบบพุทธแบบเถรวาทอีกต่อไป และเราขอร้องให้ที่ว่าการอำเภอเอาคำว่าพุทธออกไปจากบัตรประชาชน  เพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่าคนที่แขวนพระและบูชาพระพุทธรูปได้ดีหรือหายป่วยได้ มันก็มี หากแต่

"มันไม่ใช่พลังของพระที่ห้อยคอหรือพระพุทธรูป แต่มันคือพลังจิตของมนุษย์คล้ายๆที่คริสต์สอนเรื่องศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าซึ่งถ้าศรัทธาแก่กล้ามากๆจะมีพลังระดับเคลื่อนภูเขาได้"
^
เราเลยเปลี่ยนเป็นนับถือเต๋ากับพุทธแบบมหายาน นั่นก็คือ นับถือ (เพ่งสมาธิ) ไปที่ศูนย์รวมกำลังภายในของตนเอง เพราะตามคำสอนมหายานนั้นถือว่า

"พระที่อยู่ในใจ"
^
เราจึงใช้ศูนย์รวมกำลังภายในเป็นพระองค์ใหม่แทน เพราะมันอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับจุด center of gravity ในร่างกาย มันจึงสื่อสารกับ gravitational force (ซึ่งเป็นพลังจักรวาลหรือพลังของพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง!)"

และหลังจากนั้นเราสนใจศึกษา The Bible ของคริสต์ และคัมภีร์โบราณของฮินดู เพราะคำสอนเรื่องพลังของพระผู้เป็นเจ้าของคริสต์และคำสอนเรื่องพลังของ Shiva และ Shakti (และเทพองค์อื่นๆ) ในคัมภีร์โบราณของฮินดูนั้นคล้ายคำสอนเรื่องพลังจักรวาลที่เราเรียนรู้จากคัมภีร์เต๋า  คือเทพองค์ต่างๆของฮินดู ไม่ใช่เรื่องงมงายอย่างที่หลายๆคนเข้าใจผิดๆหลงคิดว่า "เชื่ออะไรงมงาย ไร้เหตุผล" หากองค์เทพเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ symbolic representations ของกระแสลมปราณในร่างมนุษย์ต่างหาก...!!???  คือเต๋าอธิบาย network ของกระแสลมปราณในร่างโดยใช้ภาษากวีเกี่ยวกับธรรมชาติ แต่ฮินดูใช้ characteristics ขององค์เทพเหล่านี้อธิบายกลไกการทำงานของกระแสลมปราณในร่างมนุษย์

2 ทำลายอาถรรพ์เนื้อวัว เมื่อก่อนเราเคยกินเจไม่ใช่เพราะสงสารสัตว์ แต่กินเจแบบ macrobiotic ของญี่ปุ่นเพราะไม่อยากินสารเร่งโตกับเคมีที่ใช้เลี้ยงสัตว์ ตอนแรกเราก็มีความสุขดี  แล้วเราโชคร้ายไปคบกับคนไทยเชื้อสายจีนที่นับถือเจ้าแม่กวนอิม คนๆนั้นให้หนังสือเกี่ยวกับชาวๆไต้หวันที่ยากจน แล้วนับถือเจ้าแม่กวนอิม แล้วรวย แล้วกินเนื้อวัวแล้วจนอีก กินเจใหม่แล้วรวยอีก กินเนื้อวัวใหม่แล้วจนอีก สลับกันไป และคนๆนั้นให้หนังสือเราอีกเล่มเป็นพวกกฎแห่งกรรมที่สัตว์ซึ่งโดนฆ่าตามมาร้องขอชีวิตจนคนฆ่ามันมีอันเป็นไปประสบเคราะห์กรรม  เราอ่านหนังสือแนวนี้แล้วกลายเป็นสะกดจิตตัวเองให้คิดในเชิงลบว่า

"กรรมมันจะตามมาสนอง"

ซึ่งนับได้ว่าเป็นการใช้ the law of attraction ทำลายตัวเราเองโดยไม่รู้ตัว!  พอเราออกเจ เรากินเนื้อวัวเราซวย เราอยากพิสูจน์เลยกินอีก ก็ซวยอีก มีตั้งแต่โดนคนเป็น 10ๆ คนดักรุมทำร้ายตอนดึกข้างทางเราบาดเจ็บแต่รอดตายมาได้  ขี่จักรยานแข่งคว่ำซี่โครงรวน โดนฟ้องศาลข้อหาอะไรต่อมิอะไร ไปได้แฟนป่วยเป็นโรคจิตกว่าจะจ้างให้เธอเลิกกับเราได้สำเร็จเราต้องถอนเงินในธนาคารให้เธอไปจนหมด หรือกินเนื้อวัวที่ไรก็ข้าวของพังเช่นอยู่ดีๆคอมพิวเตอร์พัง เป็นแบบนี้อยู่หลายสิบปี จนชีวิตเราแทบล่มสลาย   พอเราเรียนรู้เรื่อง the law of attraction เราเพ่งกระแสจิตคิดในเชิงบวกว่าฝรั่งรวยๆมันกินเนื้อวัวแล้วรวย เราจะกินเนื้อวัวให้รวยแบบเศรษฐีฝรั่งมั่ง เรา think positive (คิดในเชิงบวก) มันใจว่าเราใช้งาน the law of attraction ไม่พลาดแน่ๆ  เราจีงกล้าเย้ยฟ้าท้าดินโดยการกินเนื้อวัวตอนเทศกาลกินเจเพื่อพิสูจน์ว่า

"ที่เรากินเนื้อวัวแล้วซวยมาตลอด 30 ปี มันเป็นเพราะเรา think negative (คิดในเชิงลบ) เกี่ยวกับเนื้อวัว จนสะสมพลังจิตในตัวเราเองเพื่อใช้ทำลายตัวเราเอง ตามหลัก the law of attraction ไม่ใช่เพราะความบาปที่กินเนื้อวัว และไม่ใช่เป็นเพราะเง็กเซียนฮ่องเต้หรือเจ้าแม่กวนอิมลงโทษเราแต่อย่าใด!"
^
จนในที่สุดเราล้างอาถรรพ์เนื้อวัวได้สำเร็จ เรากินเนื้อวัวทีไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเทศกาลกินเจ เราจะได้เงินเยอะมากๆ จะมีงานดีๆหลั่งไหลเข้ามาหาเราและเราจะประสบโชคลาภอย่างอื่นอีกตั้งมากมาย...!!!???

ยังมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นอีกหลายเหตุการณ์ แต่ตอนนี้ไปทำงานต่อก่อน เอาไว้ว่างๆจะมาเล่าต่อ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่