โดนมัดมือชกเปลี่ยนคนดูแลสุสานไม่พอ ยังคิดแพงขึ้นเกินเท่าตัวแต่ไม่ดูแลให้แถมด่าไล่เราอีก เพราะเขาใช้ระบบ monopoly ผูกขาดการดูแลพื้นที่ จะจัดการยังไงดี
วันนี้เราไปเช้งเม้งไหว้อากงอาม่าเพื่อรำลึกถึงท่าน ไปให้ท่านได้เห็นหน้าลูกหลานพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเหตุการณ์บ้า ๆ กับลุงเห็นแก่เงิน หัวล้าน ไร้สมอง และไร้มารยาทสุด ๆ แบบนี้เลย
คือสุสานอากงอาม่าเราอยู่ที่มูลนิธิสุสานสันติธรรม (ไซฮึงเต๋าซัว) จ.สระบุรี ซึ่งก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี 2513 จนถึงเมื่อปี 54 บ้านเราจ้างคนทำความสะอาดสุสานเจ้าประจำติดต่อกันเป็นเวลาถึง 41 ปี จ่ายเงินทันทีทุกครั้งที่มาเช้งเม้ง ซึ่งเขาดูแลดีมาก สุสานของอากงอาม่าเราปูด้วยหินขัด มีร่องน้ำเล็ก ๆ โค้งตามแนวพื้นด้านหน้ามักจะมีน้ำเกือบเต็มทุกครั้งที่ไป พื้นสุสานก็สะอาดในระดับที่ฝุ่นจากถนนลูกรังจะเอื้ออำนวย และมีบริการกางผ้าบังแดด ค่าดูแลทั้งหมดนี่ลุงเขาคิดหลังละ 700 บาท/ปี
แต่อยู่ดี ๆ ปีที่แล้วพอเรามาถึงก็เห็นสุสานเขรอะจนหาสีพื้นไม่เจอ น้ำในร่องน้ำก็เน่าเหม็น ต้องกวักมือเรียกคนงานแถวนั้นมาปัดกวาดเศษหญ้าคร่าว ๆ แล้วกางผ้าใบกันแดด หญ้าก็ไม่ได้ตัดให้เรียบร้อยแต่จะให้ตัดตอนนั้นคงไม่ไหวเพราะต้องใช้เวลา พอทำเสร็จคนงานก็รอเก็บเงินซึ่งแพงมาก ซักสองพันบาทมั้ง ราคานี้แค่กวาดใบไม้น่ะนะ!! บ้านเราก็เลยยังไม่จ่ายให้เขารอก่อนด้วยความสงสัยว่าทำไมคนเก่าไม่มาดูแล พอซักครู่คนดูแลคนเก่าเห็นครอบครัวเราก็รีบเดินเข้ามาอธิบายว่าทางมูลนิธิสุสานมีการจัดสรรแบ่งที่ดูแลใหม่เป็นโซน เขาไม่มีสิทธิดูแลที่ตรงอาม่าอากงเราแล้ว ราคาค่าดูแลก็ต้องแล้วแต่คนดูแลคนใหม่ ครอบครัวเราก็งง ๆ แต่ก็จ่ายไปแล้วบอกว่าคนงานปีหน้าทำให้สะอาดแล้วกัน แต่ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะคิดว่าการจัดแบ่งที่ก็เพื่อความเรียบร้อยในการบริหารงาน
แต่พอปีนี้ มันก็ยังเขรอะฝุ่นดินหนาเตอะหาสีพื้นไม่เจอเหมือนเดิม ร่องน้ำก็มีดินอัดเต็มและไม่มีน้ำซักหยด มีแค่ผ้าใบกางทิ้งไว้ แม่กับน้า ๆ เราก็หงุดหงิด ได้แต่หาหนังสือพิมพ์ในรถมาปูแฃ้วก็จัดของไหว้กันไป แล้วคนดูแลที่เคยดูแลสมัยก่อนก็เดินเข้ามาหาเพื่อเก็บเงิน เพราะเขายังดูแลสุสานอีกหลังของบรรพบุรุษท่านอื่นให้ ก็เลยได้คุยกันประมาณนี้
บ้านเรา: “ทำไมคนใหม่ไม่ดูแลให้เลย เลอะมาก น้ำในร่องก็ไม่มี ลุงกลับมาทำให้เราเถอะ”
ลุง: “ไม่ได้ครับ เขาไม่ให้ทำ ถ้ามาทำก็จะโดนเรียกตัวไปคุย มีคนโดนมาแล้ว”
บ้านเรา: “งั้นเดี๋ยวไปคุยกับทางนั้น บอกเขาว่ายกเลิกเพราะจะลุงกลับมาทำต่อได้ไหม”
ลุง: (เขารีบโบกมือใหญ่เลย) “อย่านะ อย่าพูดถึงลุงนะขอร้อง จะไปคุยกับเขาก็ได้ไปที่โรงเจ จ่ายเงินก็ที่นั่นแหละ แต่อย่าพูดถึงลุงเลย ลุงก็อยากทำให้แต่มันทำไม่ได้จริง ๆ ลูกค้าเก่าของลุงเขาก็บ่นกันแต่ลุงทำอะไรไม่ได้”
น้าชายเราก็มองแล้วก็เลยจ่ายเงินค่าดูแลสุสานหลังอื่นไป สงสัยจะโดนผู้มีอทธิพลล่ะมั้ง แล้วพอเก็บของเสร็จแม่กับน้าเราก็ลงไปที่โรงเจไปคุยกับคนดูแลคนใหม่ เป็นลุงแก่หัวล้านใส่แว่น
แม่: “จ่ายเงินค่าดูแลสุสานที่ไหนคะ”
ลุงหัวล้าน: “ที่นี่”
แม่: “เท่าไหร่”
ลุงหัวล้าน: “หลังไหนล่ะ หลังที่เท่าไหร่”
แม่: “หลัง xxx”
ลุงหัวล้าน: “1500”
แม่: “ลดหน่อยไม่ได้เหรอ” >> โห คนเก่าคิด 600 ปีนี้ขึ้นราคาแต่ก็แค่ 700 บาท
ลุงหัวล้าน: “ลดอะไร ก็เขาตกลงกันราคานี้” >> เฮ้ย ตกลงกับใคร ไปตกลงมั่วซั่วกันเองแล้วมาเหมารวมเป็นราคากลางเฉยไม่เคยแจ้งเลย
น้าชายเราที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แม่เรา: “ทำไม่สะอาดเลย ดินเต็มไปหมด”
ลุงหัวล้าน: “ผมไม่พูดกับคุณ ผมพูดกับเขาอยู่” (เขาคือแม่เรา) ซึ่งตาลุงพูดด้วยเสียงตะคอกแต่ไม่ดัง
น้าชาย: “ก็รายเดียวกันนี่ล่ะ”
ลุงหัวล้าน: “ผมบอกว่าไม่พูดกับคุณ ผมพูดกับรายนี้อยู่”
แม่: “รายเดียวกันนี่แหละค่ะ ทำไม่สะอาดจริง ๆ ร่องน้ำแห้งสนิท มีแต่ดิน”
ลุงหัวล้าน: “แล้วก่อนมา โทรแจ้งรึเปล่าฮะ” ตาลุงพูดทำหน้ากวน ๆ
แม่: “อ้าว คนเก่าก็ไม่เคยต้องแจ้งเขาก็ดูแลให้เรียบร้อย จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วคุณก็ไม่เคยให้เบอร์เราด้วยซ้ำ”
ลุงหัวล้าน: “งั้นก็ไปหาคนเก่าสิ ถ้าเขายอมทำให้ก็ให้เขาทำเลย ผมไม่คุยแล้วไป ๆๆ” ในน้ำเสียงนี้ เรารู้ว่าเขามั่นใจว่าคนอื่นไม่กล้ามารับทำแน่นอน เพราะถ้ารับก็จะมีปัญหาทันที
แม่: “ฉันยังไม่ได้พูดอะไรไม่ดีนะ คุณมาทำน้ำเสียงแบบนี้ได้ไง” แม่เราเสียงแข็งละ
ลุงหัวล้าน: “จะจ่ายไม่จ่าย ไม่จ่ายก็ไปเลย เมื่อกี้บอกให้ลดราคา แล้วยังมาเรื่องมากอีก” พูดแล้วโบกมือไล่
แม่: “นี่คุณ ฉันยังไม่ได้พูดว่าไม่จ่ายนะ อะไรกัน คนของมูลนิธิเขาพูดกันแบบนี้เหรอ”
ลุงหัวล้าน: “ไป ๆๆ ไม่จ่ายก็ไม่ต้องจ่าย ปีหน้าค่อยมาทบเอา เชิญออกไปได้แล้ว” พูดกระแทกใสพร้อมกับโบกมือไล่
แบบนี้แม่เราก็ตวาดกลับสิ เราก็เหลืออดเหมือนกัน คันปากยิบ ๆ แต่เห็นว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าเลยไม่อยากถอนหงอกคนแก่ ที่ไม่ได้แก่แค่ร่างกายอย่างเดียวสมองยังด้อยพัฒนาลงทุกวัน ๆ มารยาทแย่กว่าคนกวาดถนนแถวบ้านเรา นั่งอยู่บนโต๊ะทำบุญแท้ ๆ แต่ทำตัวอย่างกับขอทานเหลืออด หิวเงิน ไร้การศึกษาสิ้นดี
แม่เรากับเขาก็ตวาดใส่กัน จากนั้นก็ต้องมีการห้ามทัพเล็กน้อย อาแป๊ะนั่งโต๊ะรับทำบุญใกล้ ๆ ก็พยายามกล่อมให้แม่กับน้าชายเราใจเย็น พูดจาดี คิดก่อนพูด สุดท้ายเราเลยได้แต่เลยทำบุญให้โรงเจไม่ได้จ่ายค่าดูแล ก่อนจะเดินออกมาสมทบกับญาติคนอื่น ซักพักตาลุงนั่นก็เดินออกมายืนมองอยู่ห่าง ๆ อยู่พักใหญ่ ซึ่งไม่รู้ว่ามองทำไม แต่เขาคงไม่กล้าเดินเข้ามาเพราะญาติเราอยู่กันแทบครบองค์ประชุม
นี่น่ะเหรอคือมารยาท สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เราสงสัยว่ามีผู้มีอิทธิพลหากินอย่างสกปรกอยู่บนความลำบากของคนดูแลสุสานคนอื่นรึเปล่า ทำไมสุสานที่บ้านเราเป็นเจ้าของจ่ายเงินซื้อแต่กลับเลือกคนดูแลไม่ได้ แล้วทำไมคนดูแลคนเก่าเขาถึงต้องกลัวลนลานขนาดนั้น
เงินค่าดูแล 1500 บาทไม่ได้เยอะจนเกินไป เรารับได้ถ้าเขาทำงานให้เรา
แค่พูดดี ๆ ว่า
‘ครั้งหน้าให้โทรมาแจ้งล่วงหน้าที่เบอร์ xxx ถึงจะทำความสะอาดให้‘ ก็พูดมาสิแค่ก็จบแล้ว สุสานที่อื่นที่เขาวางกฎไว้เรียบร้อยเราก็โทรแจ้งก่อนตามเบอร์ที่เขาให้ไว้ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่นี่เขากลับเลือกทำมารยาทท่าทาง ที่สำหรับเรามัน
‘ต่ำ’ มาก ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะเจอคนที่สักแต่จะเอาแต่เงินไม่เว้นแม้แต่เรื่องของคนตายแบบนี้
ไม่รู้ว่ามีทางไหนจะจัดการเรื่องนี้ได้บ้าง สงสัยปีหน้าเราคงต้องพกคราดพกกรรไกรตัดหญ้าไปเองล่ะมั้ง
สำหรับสิ่งที่เรารั้งไว้ที่ริมฝีปากไม่พูดออกไปตอนนั้นคือ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้“ถ้ายังทำนิสัยทราม ๆ หากินกันแบบนี้อีกหน่อยกรรมจะตามทัน ไม่มีโลง ไม่มีหลุมให้อยู่ เวลาลงโลงของคุณอีกไม่นานนักหรอกนะ”
มารยาทแย่เกินจะรับ ของหัวคิวเก็บค่าดูแลสุสาน (ฮวงซุ้ย)
วันนี้เราไปเช้งเม้งไหว้อากงอาม่าเพื่อรำลึกถึงท่าน ไปให้ท่านได้เห็นหน้าลูกหลานพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเหตุการณ์บ้า ๆ กับลุงเห็นแก่เงิน หัวล้าน ไร้สมอง และไร้มารยาทสุด ๆ แบบนี้เลย
คือสุสานอากงอาม่าเราอยู่ที่มูลนิธิสุสานสันติธรรม (ไซฮึงเต๋าซัว) จ.สระบุรี ซึ่งก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี 2513 จนถึงเมื่อปี 54 บ้านเราจ้างคนทำความสะอาดสุสานเจ้าประจำติดต่อกันเป็นเวลาถึง 41 ปี จ่ายเงินทันทีทุกครั้งที่มาเช้งเม้ง ซึ่งเขาดูแลดีมาก สุสานของอากงอาม่าเราปูด้วยหินขัด มีร่องน้ำเล็ก ๆ โค้งตามแนวพื้นด้านหน้ามักจะมีน้ำเกือบเต็มทุกครั้งที่ไป พื้นสุสานก็สะอาดในระดับที่ฝุ่นจากถนนลูกรังจะเอื้ออำนวย และมีบริการกางผ้าบังแดด ค่าดูแลทั้งหมดนี่ลุงเขาคิดหลังละ 700 บาท/ปี
แต่อยู่ดี ๆ ปีที่แล้วพอเรามาถึงก็เห็นสุสานเขรอะจนหาสีพื้นไม่เจอ น้ำในร่องน้ำก็เน่าเหม็น ต้องกวักมือเรียกคนงานแถวนั้นมาปัดกวาดเศษหญ้าคร่าว ๆ แล้วกางผ้าใบกันแดด หญ้าก็ไม่ได้ตัดให้เรียบร้อยแต่จะให้ตัดตอนนั้นคงไม่ไหวเพราะต้องใช้เวลา พอทำเสร็จคนงานก็รอเก็บเงินซึ่งแพงมาก ซักสองพันบาทมั้ง ราคานี้แค่กวาดใบไม้น่ะนะ!! บ้านเราก็เลยยังไม่จ่ายให้เขารอก่อนด้วยความสงสัยว่าทำไมคนเก่าไม่มาดูแล พอซักครู่คนดูแลคนเก่าเห็นครอบครัวเราก็รีบเดินเข้ามาอธิบายว่าทางมูลนิธิสุสานมีการจัดสรรแบ่งที่ดูแลใหม่เป็นโซน เขาไม่มีสิทธิดูแลที่ตรงอาม่าอากงเราแล้ว ราคาค่าดูแลก็ต้องแล้วแต่คนดูแลคนใหม่ ครอบครัวเราก็งง ๆ แต่ก็จ่ายไปแล้วบอกว่าคนงานปีหน้าทำให้สะอาดแล้วกัน แต่ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะคิดว่าการจัดแบ่งที่ก็เพื่อความเรียบร้อยในการบริหารงาน
แต่พอปีนี้ มันก็ยังเขรอะฝุ่นดินหนาเตอะหาสีพื้นไม่เจอเหมือนเดิม ร่องน้ำก็มีดินอัดเต็มและไม่มีน้ำซักหยด มีแค่ผ้าใบกางทิ้งไว้ แม่กับน้า ๆ เราก็หงุดหงิด ได้แต่หาหนังสือพิมพ์ในรถมาปูแฃ้วก็จัดของไหว้กันไป แล้วคนดูแลที่เคยดูแลสมัยก่อนก็เดินเข้ามาหาเพื่อเก็บเงิน เพราะเขายังดูแลสุสานอีกหลังของบรรพบุรุษท่านอื่นให้ ก็เลยได้คุยกันประมาณนี้
บ้านเรา: “ทำไมคนใหม่ไม่ดูแลให้เลย เลอะมาก น้ำในร่องก็ไม่มี ลุงกลับมาทำให้เราเถอะ”
ลุง: “ไม่ได้ครับ เขาไม่ให้ทำ ถ้ามาทำก็จะโดนเรียกตัวไปคุย มีคนโดนมาแล้ว”
บ้านเรา: “งั้นเดี๋ยวไปคุยกับทางนั้น บอกเขาว่ายกเลิกเพราะจะลุงกลับมาทำต่อได้ไหม”
ลุง: (เขารีบโบกมือใหญ่เลย) “อย่านะ อย่าพูดถึงลุงนะขอร้อง จะไปคุยกับเขาก็ได้ไปที่โรงเจ จ่ายเงินก็ที่นั่นแหละ แต่อย่าพูดถึงลุงเลย ลุงก็อยากทำให้แต่มันทำไม่ได้จริง ๆ ลูกค้าเก่าของลุงเขาก็บ่นกันแต่ลุงทำอะไรไม่ได้”
น้าชายเราก็มองแล้วก็เลยจ่ายเงินค่าดูแลสุสานหลังอื่นไป สงสัยจะโดนผู้มีอทธิพลล่ะมั้ง แล้วพอเก็บของเสร็จแม่กับน้าเราก็ลงไปที่โรงเจไปคุยกับคนดูแลคนใหม่ เป็นลุงแก่หัวล้านใส่แว่น
แม่: “จ่ายเงินค่าดูแลสุสานที่ไหนคะ”
ลุงหัวล้าน: “ที่นี่”
แม่: “เท่าไหร่”
ลุงหัวล้าน: “หลังไหนล่ะ หลังที่เท่าไหร่”
แม่: “หลัง xxx”
ลุงหัวล้าน: “1500”
แม่: “ลดหน่อยไม่ได้เหรอ” >> โห คนเก่าคิด 600 ปีนี้ขึ้นราคาแต่ก็แค่ 700 บาท
ลุงหัวล้าน: “ลดอะไร ก็เขาตกลงกันราคานี้” >> เฮ้ย ตกลงกับใคร ไปตกลงมั่วซั่วกันเองแล้วมาเหมารวมเป็นราคากลางเฉยไม่เคยแจ้งเลย
น้าชายเราที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แม่เรา: “ทำไม่สะอาดเลย ดินเต็มไปหมด”
ลุงหัวล้าน: “ผมไม่พูดกับคุณ ผมพูดกับเขาอยู่” (เขาคือแม่เรา) ซึ่งตาลุงพูดด้วยเสียงตะคอกแต่ไม่ดัง
น้าชาย: “ก็รายเดียวกันนี่ล่ะ”
ลุงหัวล้าน: “ผมบอกว่าไม่พูดกับคุณ ผมพูดกับรายนี้อยู่”
แม่: “รายเดียวกันนี่แหละค่ะ ทำไม่สะอาดจริง ๆ ร่องน้ำแห้งสนิท มีแต่ดิน”
ลุงหัวล้าน: “แล้วก่อนมา โทรแจ้งรึเปล่าฮะ” ตาลุงพูดทำหน้ากวน ๆ
แม่: “อ้าว คนเก่าก็ไม่เคยต้องแจ้งเขาก็ดูแลให้เรียบร้อย จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วคุณก็ไม่เคยให้เบอร์เราด้วยซ้ำ”
ลุงหัวล้าน: “งั้นก็ไปหาคนเก่าสิ ถ้าเขายอมทำให้ก็ให้เขาทำเลย ผมไม่คุยแล้วไป ๆๆ” ในน้ำเสียงนี้ เรารู้ว่าเขามั่นใจว่าคนอื่นไม่กล้ามารับทำแน่นอน เพราะถ้ารับก็จะมีปัญหาทันที
แม่: “ฉันยังไม่ได้พูดอะไรไม่ดีนะ คุณมาทำน้ำเสียงแบบนี้ได้ไง” แม่เราเสียงแข็งละ
ลุงหัวล้าน: “จะจ่ายไม่จ่าย ไม่จ่ายก็ไปเลย เมื่อกี้บอกให้ลดราคา แล้วยังมาเรื่องมากอีก” พูดแล้วโบกมือไล่
แม่: “นี่คุณ ฉันยังไม่ได้พูดว่าไม่จ่ายนะ อะไรกัน คนของมูลนิธิเขาพูดกันแบบนี้เหรอ”
ลุงหัวล้าน: “ไป ๆๆ ไม่จ่ายก็ไม่ต้องจ่าย ปีหน้าค่อยมาทบเอา เชิญออกไปได้แล้ว” พูดกระแทกใสพร้อมกับโบกมือไล่
แบบนี้แม่เราก็ตวาดกลับสิ เราก็เหลืออดเหมือนกัน คันปากยิบ ๆ แต่เห็นว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าเลยไม่อยากถอนหงอกคนแก่ ที่ไม่ได้แก่แค่ร่างกายอย่างเดียวสมองยังด้อยพัฒนาลงทุกวัน ๆ มารยาทแย่กว่าคนกวาดถนนแถวบ้านเรา นั่งอยู่บนโต๊ะทำบุญแท้ ๆ แต่ทำตัวอย่างกับขอทานเหลืออด หิวเงิน ไร้การศึกษาสิ้นดี
แม่เรากับเขาก็ตวาดใส่กัน จากนั้นก็ต้องมีการห้ามทัพเล็กน้อย อาแป๊ะนั่งโต๊ะรับทำบุญใกล้ ๆ ก็พยายามกล่อมให้แม่กับน้าชายเราใจเย็น พูดจาดี คิดก่อนพูด สุดท้ายเราเลยได้แต่เลยทำบุญให้โรงเจไม่ได้จ่ายค่าดูแล ก่อนจะเดินออกมาสมทบกับญาติคนอื่น ซักพักตาลุงนั่นก็เดินออกมายืนมองอยู่ห่าง ๆ อยู่พักใหญ่ ซึ่งไม่รู้ว่ามองทำไม แต่เขาคงไม่กล้าเดินเข้ามาเพราะญาติเราอยู่กันแทบครบองค์ประชุม
นี่น่ะเหรอคือมารยาท สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เราสงสัยว่ามีผู้มีอิทธิพลหากินอย่างสกปรกอยู่บนความลำบากของคนดูแลสุสานคนอื่นรึเปล่า ทำไมสุสานที่บ้านเราเป็นเจ้าของจ่ายเงินซื้อแต่กลับเลือกคนดูแลไม่ได้ แล้วทำไมคนดูแลคนเก่าเขาถึงต้องกลัวลนลานขนาดนั้น
เงินค่าดูแล 1500 บาทไม่ได้เยอะจนเกินไป เรารับได้ถ้าเขาทำงานให้เรา
แค่พูดดี ๆ ว่า ‘ครั้งหน้าให้โทรมาแจ้งล่วงหน้าที่เบอร์ xxx ถึงจะทำความสะอาดให้‘ ก็พูดมาสิแค่ก็จบแล้ว สุสานที่อื่นที่เขาวางกฎไว้เรียบร้อยเราก็โทรแจ้งก่อนตามเบอร์ที่เขาให้ไว้ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่นี่เขากลับเลือกทำมารยาทท่าทาง ที่สำหรับเรามัน ‘ต่ำ’ มาก ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะเจอคนที่สักแต่จะเอาแต่เงินไม่เว้นแม้แต่เรื่องของคนตายแบบนี้
ไม่รู้ว่ามีทางไหนจะจัดการเรื่องนี้ได้บ้าง สงสัยปีหน้าเราคงต้องพกคราดพกกรรไกรตัดหญ้าไปเองล่ะมั้ง
สำหรับสิ่งที่เรารั้งไว้ที่ริมฝีปากไม่พูดออกไปตอนนั้นคือ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้