สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่า ราคาหุ้นที่ซื้อขายทุกวันนี้ มันประกอบด้วยอะไรบ้าง
อย่างแรก ราคาพาร์ คือราคาที่เจ้าของบริษัท กำหนดก่อนเอาหุ้นเข้าตลาด เช่นพาร์ = 1 บาท เท่ากับเจ้าของกำหนดมาว่า 1 หุ้นของบริษัทเค้ามีค่า 1 บาท (แต่ขอไม่พูดถึง ราคาพาร์ เพราะมันเป็นแค่การกำหนดขึ้นมา ไม่มีผลกับราคาหรือราคาที่เหมาะสม)
อย่างที่สอง ราคา มูลค่าตามบัญชี (Book Value) = สินทรัพย์ – หนี้สิน
ราคาอย่างที่สองนี้ ค่อนข้างเหมาะสมที่สุดที่จะมาเทียบราคาจริงๆของหุ้น 1 หุ้น เช่น หากบริษัทมีทรัพสินทั้งหมด 200 บาท และบริษัทนี้ มี 100 หุ้น นั่นก็จะแปลว่า ถ้านำจำนวนหุ้นไปเทียบกับมูลค่าบริษัท ก็แปลว่า 1 หุ้น มีค่า 2 บาท
และเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทประกอบธุรกิจ มีกำไรมีทรัพย์สินเพิ่ม เมื่อนำมาหารจำนวนหุ้นที่มีเท่าเดิม มูลค่ามันก็จะเพิ่มขึ้น เช่นผ่านไปสองปี บริษัทมี ทรัพย์สินเพิ่มเป็น 300 บาท แต่หุ้นมีเท่าเดิมคือ 100 หุ้น ดังนั้น เมื่อ นำจำนวนหุ้นไปเทียบกับมูลค่าบริษัท ก็จะได้ใหม่ว่า 1 หุ้น มีค่า 3 บาท
และถ้าวัดกันแบบตรงๆและถูกต้องแบบข้างบนนั้น ท่านคิดว่าปีๆนึงหุ้นควรราคาเพิ่มปีละเท่าไหร่ เคยสังเกตุไหมครับ ที่ผู้บริหารบริษัทต่างๆออกมาตั้งเป้าหมายแต่ละปี ว่าปีนี้เราน่าจะเติบโต 10% 15% 20% ส่วนใหญ่อยู่เรตประมาณนี้ก็ถือว่าสูงแล้ว ในเมื่อบริษัทโตเพียงปีละ 10-20% ดังนั้นราคาที่ถูกต้องมันก็ควรโตปีละ 10-20% ด้วย ลองดูจากภาพ
เห็นเส้นสีแดงเส้นล่างคือราคาของหุ้นที่คิดตามวิธีข้างบน จะเห็นว่าราคาหุ้นเมื่อเทียบกับทรัพย์สินที่โตของบริษัท จะเพิ่มขึ้นแค่ปีละ 10-20% ตามกำไรของบริษัทที่ทำได้ในแต่ละปี (ราคาที่ขีดเส้นอาจจะเพิ่มน้อยกว่า 10-20% ต่อปีเพราะบริษัทนำทรัพย์สินที่ได้จ่ายปันผลออกมาด้วย)
ดังนั้นพูดกันซื่อๆราคาหุ้นถ้าเทียบกับตัวบริษัทมันก็ควรมีราคาตามเส้นสีแดงข้างล่าง และราคาโตปีละ 10-20% เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงในตลาดราคาที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่คิดตรงๆแบบข้างบน จะเห็นว่าบางปีราคาหุ้น โตเป็น 100% ต่อปีในขณะที่บริษัททำกำไรได้ปีละไม่ถึง 20% ดังนั้นราคาที่ซื้อขายในตลาด มันเป็น (มูลค่าตามบัญชี + ความคาดหวัง) ความคาดหวังว่า บ.จะมีกำไร จะโตไปเรื่อยๆ บ.มีอนาคตมีการลงทุนใหม่ๆ อนาคตจะต้องเติบโตได้ดี ความคาดหวังเหล่านี้ ทำให้คนสนใจอยากได้อยากมีหุ้นของ บ. ก็มีการเสนอซื้อในราคาที่สูงขึ้น เมื่อคนเก่าพอใจขาย หุ้นก็เปลี่ยนมือไป ต่อมามีคนมาใหม่ ก็ต้องให้ราคาสูงกว่าเดิม เพิ่มให้คนที่มีหุ้นที่ซื้อมาขายให้ และก็เกิดการซื้อขายต่อๆกัน ทำให้มูลค่าหุ้นในตลาดสูงกว่ามูลค่าที่วัดจากทรัพย์สินไปมาก
และราคาจะยังคงไปต่อได้เรื่อยๆ หากความคาดหวังยังคงมี แต่หากวันใดที่ความคาดหวังในตัวหุ้นนั้นหมดไป จะด้วย ธุรกิจเริ่มขาดทุน ไม่ได้กำไรอย่างเดิมก็ดี หรือ เกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดความกลัว ก็ดี อย่างที่บอกครับในปัจจุบันราคาหุ้นคือ (มูลค่าตามบัญชี + ความคาดหวัง) แต่เมื่อเกิดความกลัวความไม่แน่ใจกันขึ้นมา ความคาดหวังก็จะหายไป ราคาหุ้นจึงตกลงสู่ (มูลค่าตามบัญชี + 0) นั่นเอง
บางคนเห็นหุ้นลงมากๆ บอกว่าบริษัทจะเจ๊งแล้วหรือไง จริงๆแล้วราคาหุ้นไม่มีผลต่อบริษัทจะเจ๊งหรือไม่เลยครับ ในช่วงแรกที่หุ้นตกมันคือราคาความคาดหวังในตัวหุ้นนั้นหายไปเท่านั้นเอง บริษัทยังคงดำเนินธรุกิจต่อได้ ตามปกติทุกประการ และหากบริษัทกำกำไรต่อได้ ความคาดหวังก็จะกลับมาและราคาก็จะกลับมาเอง นอกเสียจากว่า ความคาดหวังหายไปเพราะบริษัทขาดทุน อย่างแรกราคาจะลงจาก ขาดความคาดหวัง และหากบริษัทยังขาดทุนต่อเนื่อง จนทำให้ทรัพย์สินลดลง ทีนี้ถึงจะทำให้มูลค่าตามบัญชีลดลงจริงๆ และสุดท้ายก็อาจจะติดลบ จนถึงขั้นเจ้งไปเลยจริงๆ
ตอนนี้หุ้นหลายตัวก็ตกเพราะความคาดหวังที่ว่าหุ้นจะไปอย่างนู้น บริษัทจะดีอย่างนี้ ที่เคยดันๆราคามันเริ่มหายไป มันเป็นหน้าที่คุณที่ต้องมองให้ออกว่า บริษัทไหน ลงเพราะแค่ความคาดหวังหาย หรือบริษัทไหนลงเพราะบริษัทเริ่มไม่ดีจริงๆ หากคุณมองออกว่าหุ้นแต่ละตัวเคยมีราคา + ความคาดหวังแค่ไหนและประมาณได้ว่า ราคาระดับนี้มีความคาดหวังเหลือไม่มาก แต่บริษัทก็ดำเนินงานตามปกติ นั่นคือเวลาที่คุณควรเข้าซื้อหุุ้น เพราะเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่อีกครั้ง คุณจะขึ้นมาพร้อมทำกำไรกับหุ้นที่มีความคาดหวังอีกครั้ง ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยและเสี่ยงน้อยที่สุด
อย่างแรก ราคาพาร์ คือราคาที่เจ้าของบริษัท กำหนดก่อนเอาหุ้นเข้าตลาด เช่นพาร์ = 1 บาท เท่ากับเจ้าของกำหนดมาว่า 1 หุ้นของบริษัทเค้ามีค่า 1 บาท (แต่ขอไม่พูดถึง ราคาพาร์ เพราะมันเป็นแค่การกำหนดขึ้นมา ไม่มีผลกับราคาหรือราคาที่เหมาะสม)
อย่างที่สอง ราคา มูลค่าตามบัญชี (Book Value) = สินทรัพย์ – หนี้สิน
ราคาอย่างที่สองนี้ ค่อนข้างเหมาะสมที่สุดที่จะมาเทียบราคาจริงๆของหุ้น 1 หุ้น เช่น หากบริษัทมีทรัพสินทั้งหมด 200 บาท และบริษัทนี้ มี 100 หุ้น นั่นก็จะแปลว่า ถ้านำจำนวนหุ้นไปเทียบกับมูลค่าบริษัท ก็แปลว่า 1 หุ้น มีค่า 2 บาท
และเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทประกอบธุรกิจ มีกำไรมีทรัพย์สินเพิ่ม เมื่อนำมาหารจำนวนหุ้นที่มีเท่าเดิม มูลค่ามันก็จะเพิ่มขึ้น เช่นผ่านไปสองปี บริษัทมี ทรัพย์สินเพิ่มเป็น 300 บาท แต่หุ้นมีเท่าเดิมคือ 100 หุ้น ดังนั้น เมื่อ นำจำนวนหุ้นไปเทียบกับมูลค่าบริษัท ก็จะได้ใหม่ว่า 1 หุ้น มีค่า 3 บาท
และถ้าวัดกันแบบตรงๆและถูกต้องแบบข้างบนนั้น ท่านคิดว่าปีๆนึงหุ้นควรราคาเพิ่มปีละเท่าไหร่ เคยสังเกตุไหมครับ ที่ผู้บริหารบริษัทต่างๆออกมาตั้งเป้าหมายแต่ละปี ว่าปีนี้เราน่าจะเติบโต 10% 15% 20% ส่วนใหญ่อยู่เรตประมาณนี้ก็ถือว่าสูงแล้ว ในเมื่อบริษัทโตเพียงปีละ 10-20% ดังนั้นราคาที่ถูกต้องมันก็ควรโตปีละ 10-20% ด้วย ลองดูจากภาพ
เห็นเส้นสีแดงเส้นล่างคือราคาของหุ้นที่คิดตามวิธีข้างบน จะเห็นว่าราคาหุ้นเมื่อเทียบกับทรัพย์สินที่โตของบริษัท จะเพิ่มขึ้นแค่ปีละ 10-20% ตามกำไรของบริษัทที่ทำได้ในแต่ละปี (ราคาที่ขีดเส้นอาจจะเพิ่มน้อยกว่า 10-20% ต่อปีเพราะบริษัทนำทรัพย์สินที่ได้จ่ายปันผลออกมาด้วย)
ดังนั้นพูดกันซื่อๆราคาหุ้นถ้าเทียบกับตัวบริษัทมันก็ควรมีราคาตามเส้นสีแดงข้างล่าง และราคาโตปีละ 10-20% เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงในตลาดราคาที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่คิดตรงๆแบบข้างบน จะเห็นว่าบางปีราคาหุ้น โตเป็น 100% ต่อปีในขณะที่บริษัททำกำไรได้ปีละไม่ถึง 20% ดังนั้นราคาที่ซื้อขายในตลาด มันเป็น (มูลค่าตามบัญชี + ความคาดหวัง) ความคาดหวังว่า บ.จะมีกำไร จะโตไปเรื่อยๆ บ.มีอนาคตมีการลงทุนใหม่ๆ อนาคตจะต้องเติบโตได้ดี ความคาดหวังเหล่านี้ ทำให้คนสนใจอยากได้อยากมีหุ้นของ บ. ก็มีการเสนอซื้อในราคาที่สูงขึ้น เมื่อคนเก่าพอใจขาย หุ้นก็เปลี่ยนมือไป ต่อมามีคนมาใหม่ ก็ต้องให้ราคาสูงกว่าเดิม เพิ่มให้คนที่มีหุ้นที่ซื้อมาขายให้ และก็เกิดการซื้อขายต่อๆกัน ทำให้มูลค่าหุ้นในตลาดสูงกว่ามูลค่าที่วัดจากทรัพย์สินไปมาก
และราคาจะยังคงไปต่อได้เรื่อยๆ หากความคาดหวังยังคงมี แต่หากวันใดที่ความคาดหวังในตัวหุ้นนั้นหมดไป จะด้วย ธุรกิจเริ่มขาดทุน ไม่ได้กำไรอย่างเดิมก็ดี หรือ เกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดความกลัว ก็ดี อย่างที่บอกครับในปัจจุบันราคาหุ้นคือ (มูลค่าตามบัญชี + ความคาดหวัง) แต่เมื่อเกิดความกลัวความไม่แน่ใจกันขึ้นมา ความคาดหวังก็จะหายไป ราคาหุ้นจึงตกลงสู่ (มูลค่าตามบัญชี + 0) นั่นเอง
บางคนเห็นหุ้นลงมากๆ บอกว่าบริษัทจะเจ๊งแล้วหรือไง จริงๆแล้วราคาหุ้นไม่มีผลต่อบริษัทจะเจ๊งหรือไม่เลยครับ ในช่วงแรกที่หุ้นตกมันคือราคาความคาดหวังในตัวหุ้นนั้นหายไปเท่านั้นเอง บริษัทยังคงดำเนินธรุกิจต่อได้ ตามปกติทุกประการ และหากบริษัทกำกำไรต่อได้ ความคาดหวังก็จะกลับมาและราคาก็จะกลับมาเอง นอกเสียจากว่า ความคาดหวังหายไปเพราะบริษัทขาดทุน อย่างแรกราคาจะลงจาก ขาดความคาดหวัง และหากบริษัทยังขาดทุนต่อเนื่อง จนทำให้ทรัพย์สินลดลง ทีนี้ถึงจะทำให้มูลค่าตามบัญชีลดลงจริงๆ และสุดท้ายก็อาจจะติดลบ จนถึงขั้นเจ้งไปเลยจริงๆ
ตอนนี้หุ้นหลายตัวก็ตกเพราะความคาดหวังที่ว่าหุ้นจะไปอย่างนู้น บริษัทจะดีอย่างนี้ ที่เคยดันๆราคามันเริ่มหายไป มันเป็นหน้าที่คุณที่ต้องมองให้ออกว่า บริษัทไหน ลงเพราะแค่ความคาดหวังหาย หรือบริษัทไหนลงเพราะบริษัทเริ่มไม่ดีจริงๆ หากคุณมองออกว่าหุ้นแต่ละตัวเคยมีราคา + ความคาดหวังแค่ไหนและประมาณได้ว่า ราคาระดับนี้มีความคาดหวังเหลือไม่มาก แต่บริษัทก็ดำเนินงานตามปกติ นั่นคือเวลาที่คุณควรเข้าซื้อหุุ้น เพราะเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่อีกครั้ง คุณจะขึ้นมาพร้อมทำกำไรกับหุ้นที่มีความคาดหวังอีกครั้ง ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยและเสี่ยงน้อยที่สุด
แสดงความคิดเห็น
หุ้นลงมีสาเหตุใดเป็นสาเหตุหลัก