เรื่องความจงรักภักดี ถ้าเอาออกมาชั่งเป็นน้ำหนักได้ ผมเชื่อว่าในห้องราชดำเนินนี้ น้ำหนักของผมไม่น้อยกว่าใครแน่นอน แม้แต่พวกสลิ่มในห้องนี้ที่ปากบอกจงรักภักดี ผมว่าหลายๆคนเอาออกมาชั่งแข่งกันแล้ว น้อยกว่าของผมเยอะแน่นอน
เพราะฉะนั้นโปรดทราบว่าผมเขียนด้วยความรู้สึกที่รัก เทิดทูน แบบสร้างสรรค์ ไม่ใช่รักแบบงมงาย พวกเราได้รับการฝังหัวมาผิดๆ จนเราแยกกันไม่ออก เราเอาคำว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มารวมกับในหลวง แล้วเราก็เอาทุกอย่างผลักภาระไปที่พระองค์ พยายามทำทุกอย่างให้พระองค์จากมนุษย์ให้กลายเป็นเทพ
กลุ่มคนทั่วไปจึงรักเทิดทูนอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
และกลุ่มคนอีกกลุ่มนึงเล็งเห็นประโยชน์ข้อนี้ จึงทำการโหน.. เพราะรู้ว่าอะไรที่เกี่ยวกับพระองค์ คนทั่วไปจะยอมรับ เราจึงมักเห็นอะไรแปลกๆแม้แต่ขับรถบนถนนหลวงก็เคยมีป้าย "ขับช้าๆ ถวายแด่ในหลวง" "ใส่หมวกเพื่อความปลอดภัย ถวายในหลวง" และในที่สุดก็เริ่มมีการพัฒนาการไปถึงขั้นโหนสถาบันเพื่อทำลายผู้อื่น เหมือนป้ายของภูมิใจไทยที่เขียน "รวมพลังปกป้องสถาบัน"
ดังนั้น โดยธรรมชาติมนุษย์ เมื่อมีฝ่ายหนึ่งก็ย่อมมีฝ่ายตรงข้าม จึงเกิดกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มคิดได้ว่า เราสมควรแตะเบรคการกระทำแบบเก่าๆ แล้วยอมรับความจริงมากขึ้น แทนที่เราจะมองกษัตริย์เป็นเทพ เราควรมองเป็นมนุษย์ธรรมดาที่เราเคารพรักอย่างยิ่งดีหรือไม่
ผมมองอากงด้วยความรู้สึกเจ็บปวดสะเทือนใจ คนแก่คนหนึ่งจะผิดหรือถูกผมไม่รู้ หลายคนอาจจะสะใจที่ได้เห็นอากงรับโทษ ได้ก่นด่าทับถมเมื่ออากงตาย แต่ผม..คนที่รักในหลวงรักสถาบันกลับมองด้วยความหดหู่ ใครจะเถียงกับผมว่ากรณีอากง ได้ทำให้มีคนจงรักภักดีเพิ่มขึ้น หรือว่าตรงกันข้าม
ก่อน.. ก่อนที่คนหลงเจ้าจะถูกใช้เป็นเครื่องมือ ก่อนที่คนโหนเจ้าจะทำลายสถาบันเสียเอง ก่อนที่คนรักเจ้าจะกลายเป็นคนล้มเจ้า
ไม่มีใครอึดอัดที่จะอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภาร แต่คนเหล่านั้นอึดอัดที่ต้องทนดูพวกโหนเจ้าทำลายผู้อื่น ด้วยกฏหมายที่ล้าหลัง
กระทู้นี้คงอยู่ได้ไม่นาน อาจจะด้วยเนื้อหากระทู้เอง หรือด้วยความคิดเห็นที่จะมีตามมา แต่สำหรับผู้ที่ได้อ่าน อยากให้คิดสักนิด
คนสามกลุ่มที่ว่านั้น ตัวคุณอยู่กลุ่มไหน?
*****ก่อนที่จะไปกันใหญ่ เที่ยวไล่คนออกนอกประเทศ อยากให้เปิดใจยอมรับความจริงกันทั้งสองฝ่าย*****
เพราะฉะนั้นโปรดทราบว่าผมเขียนด้วยความรู้สึกที่รัก เทิดทูน แบบสร้างสรรค์ ไม่ใช่รักแบบงมงาย พวกเราได้รับการฝังหัวมาผิดๆ จนเราแยกกันไม่ออก เราเอาคำว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มารวมกับในหลวง แล้วเราก็เอาทุกอย่างผลักภาระไปที่พระองค์ พยายามทำทุกอย่างให้พระองค์จากมนุษย์ให้กลายเป็นเทพ
กลุ่มคนทั่วไปจึงรักเทิดทูนอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
และกลุ่มคนอีกกลุ่มนึงเล็งเห็นประโยชน์ข้อนี้ จึงทำการโหน.. เพราะรู้ว่าอะไรที่เกี่ยวกับพระองค์ คนทั่วไปจะยอมรับ เราจึงมักเห็นอะไรแปลกๆแม้แต่ขับรถบนถนนหลวงก็เคยมีป้าย "ขับช้าๆ ถวายแด่ในหลวง" "ใส่หมวกเพื่อความปลอดภัย ถวายในหลวง" และในที่สุดก็เริ่มมีการพัฒนาการไปถึงขั้นโหนสถาบันเพื่อทำลายผู้อื่น เหมือนป้ายของภูมิใจไทยที่เขียน "รวมพลังปกป้องสถาบัน"
ดังนั้น โดยธรรมชาติมนุษย์ เมื่อมีฝ่ายหนึ่งก็ย่อมมีฝ่ายตรงข้าม จึงเกิดกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มคิดได้ว่า เราสมควรแตะเบรคการกระทำแบบเก่าๆ แล้วยอมรับความจริงมากขึ้น แทนที่เราจะมองกษัตริย์เป็นเทพ เราควรมองเป็นมนุษย์ธรรมดาที่เราเคารพรักอย่างยิ่งดีหรือไม่
ผมมองอากงด้วยความรู้สึกเจ็บปวดสะเทือนใจ คนแก่คนหนึ่งจะผิดหรือถูกผมไม่รู้ หลายคนอาจจะสะใจที่ได้เห็นอากงรับโทษ ได้ก่นด่าทับถมเมื่ออากงตาย แต่ผม..คนที่รักในหลวงรักสถาบันกลับมองด้วยความหดหู่ ใครจะเถียงกับผมว่ากรณีอากง ได้ทำให้มีคนจงรักภักดีเพิ่มขึ้น หรือว่าตรงกันข้าม
ก่อน.. ก่อนที่คนหลงเจ้าจะถูกใช้เป็นเครื่องมือ ก่อนที่คนโหนเจ้าจะทำลายสถาบันเสียเอง ก่อนที่คนรักเจ้าจะกลายเป็นคนล้มเจ้า
ไม่มีใครอึดอัดที่จะอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภาร แต่คนเหล่านั้นอึดอัดที่ต้องทนดูพวกโหนเจ้าทำลายผู้อื่น ด้วยกฏหมายที่ล้าหลัง
กระทู้นี้คงอยู่ได้ไม่นาน อาจจะด้วยเนื้อหากระทู้เอง หรือด้วยความคิดเห็นที่จะมีตามมา แต่สำหรับผู้ที่ได้อ่าน อยากให้คิดสักนิด
คนสามกลุ่มที่ว่านั้น ตัวคุณอยู่กลุ่มไหน?