คนเราจะเติบโตทางร่างกายได้ต้องพึ่งพาอาหาร แต่ถ้าจะเติบโตทางจิตใจต้องใช้ประสบการณ์และบทเรียน บทเรียนที่ว่า หาใช่บทเรียนในห้องเรียนหรือในตำราไม่ หากแต่เป็นบทเรียนชีวิต แต่จะเรียนรู้มากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับการเปิดใจยอมรับของแต่ละคน
ด้วยวิถีและมุมมองชีวิตที่แตกต่างกัน ทำให้แต่ละคนได้รับบทเรียนที่ต่างกันไปด้วย และในบรรดาบทเรียนชีวิตทั้งหลายแหล่ที่คนเราได้เรียนรู้กันนั้น บางบทเรียนก็เรียบง่าย ไม่ยากต่อการทำความเข้าใจ แต่บางบทเรียน สำหรับบางคน กว่าจะเรียนรู้ได้นั้น ต้องผ่านทั้งความยากลำบาก ภยันอันตราย และการสูญเสีย จนบทเรียนที่น่าจะเรียบง่าย กลับกลายเป็น
บทเรียนราคาแพง...
High School Horror Story: คดีพิศวง โรงเรียนเฮี้ยน
คืนหนึ่ง กลางฤดูร้อนที่แสนอบอ้าว เสียงทะเลาะกันระหว่างแม่กับลูกชายวัยรุ่นเล็ดลอดออกมาจากบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังหนึ่งย่านชานเมืองอย่างที่ไม่กลัวว่าจะมีใครได้ยิน ไม่นาน ฝ่ายลูกชายก็เดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากบ้าน ปิดประตูตามหลังเสียงดังปัง! ก่อนจะคว้ารถจักรยานยนต์คู่ใจมาขี่ แล้วบึ่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว และด้วยความอารมณ์ร้อนตามประสาวัยรุ่นบวกกับความโมโหจากการมีปากเสียงกับแม่เมื่อก่อนหน้านี้ทำให้เขาพุ่งรถออกจากปากซอยสู่ถนนใหญ่โดยไม่ทันระวังมองรถยนต์ที่กำลังแล่นมาด้วยความเร็ว…
แรงปะทะที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ทำให้เด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายกระเด็นไปกระแทกกับทางเท้าที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง...
. . . . . . . . . . . . . . .
กิจวัตรประจำวันของเด็กหนุ่มม.ปลายธรรมดาคนหนึ่ง คือ ตื่นเช้า ไปโรงเรียน เจอเพื่อน ลอกการบ้าน ส่งการบ้าน มองสาว สาวเมิน เพื่อนล้อ นั่งเรียน เผลอหลับ ครูทำโทษ เลิกเรียน เตะบอล กลับบ้าน แม่บ่น กินข้าว อาบน้ำ เล่นเกม แม่บ่นอีกรอบ เข้านอน... ช่างเป็นกิจวัตรซ้ำซากที่แลดูปกติธรรมดาเสียนี่กะไร แต่ท่ามกลางความธรรมดาในชีวิตของเด็กหนุ่มคนนี้ บางอย่าง ”ไม่ปกติ” กำลังจะเกิดขึ้นกับเขา
เด็กหนุ่มปั่นจักรยานกลับบ้านไปตามริมฝั่งคลองน้ำที่ผู้คนไม่ค่อยสัญจรเหมือนเช่นทุกวัน เพราะเป็นทางลัดที่ทำให้เขากลับถึงบ้านเร็วขึ้น คลองน้ำธรรมดาที่น่าเบื่อหน่าย ในวันธรรมดาที่น่าเบื่อหน่ายยิ่งกว่า ทั้งที่พึ่งจะเปิดเทอมได้ไม่กี่วัน เขากลับอยากให้ปิดเทอมมาถึงเร็วๆ เสียแล้ว
แต่วันนี้ ขณะนี้ ได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่อยู่นอกเหนือจากกิจวัตรข้างต้นขึ้น เมื่อเขาเห็นหญิงสาวในชุดนักศึกษาคนหนึ่งกำลังนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ริมคลองอย่างน่าสงสาร เธอเป็นหญิงสาวที่หน้าตาสะสวยไม่น้อย และเสน่ห์บางอย่างในตัวเธอ ได้ดึงดูดเด็กหนุ่มให้หยุดปั่นจักรยาน และเดินเข้าไปปลอบเธอ โดยหารู้ไม่ว่า หญิงสาวคนนี้ ไม่ใช่ “คน” อีกต่อไปแล้ว…
ตอนที่ 1 ผีสาวริมคลอง
เย็นวันหนึ่ง เด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาดี ท่าทางมีฐานะคนหนึ่ง เดินเข้าไปยังอพาร์ทเมนต์ที่มีห้องรายวันให้เช่าแห่งหนึ่งย่านชานเมือง กระเป๋าใบใหญ่ที่เขาสะพายแกว่งไปมาเล็กน้อยอยู่ด้านหลังขณะที่เขาเดินเข้าไปยังสำนักงาน
“ขอพักห้องธรรมดา เตียงเดี่ยว ห้องนึงครับ” เด็กหนุ่มพูดกับผู้ดูแลหญิงวัยทำงานที่นั่งอยู่ในห้อง ขณะจัดผมรองทรงสูงโมฮ็อคพุ่มเตี้ยของตนเองให้เข้าที่เข้าทางไปด้วย
ผู้ดูแลรับบัตรเดบิตจากเด็กหนุ่มไปรูด ก่อนจะยื่นบัตรคืนให้พร้อมกับกุญแจห้อง เขารับกุญแจมา ยิ้มให้ผู้ดูแลเล็กน้อย ก่อนทำท่าจะเดินไปที่ห้องพัก แต่ก็ต้องหยุดกึกเสียก่อนเพราะนึกอะไรขึ้นมาได้ และหันไปถามผู้ดูแลคนนั้นว่า “ที่นี่ไม่มีผีนะครับ?”
ผู้ดูแลหญิงวัยทำงานมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างมีความหมาย ก่อนจะตอบเขาพร้อมกับรอยยิ้มว่า “ไม่มีหรอกค่ะ”
ชิน เด็กหนุ่มมาดผู้ดี ทายาทเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด ทิ้งสัมภาระลงข้างเตียง ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงที่ปูผ้าไว้อย่างเรียบตึง แสงแดงยามเย็นลอดผ่านม่านเข้ามาทางระเบียงเล็กหลังห้อง พัดลมขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนเพดานหมุนไปมาตั้งแต่ตอนที่เขาเข้ามาในห้อง สงสัยแม่บ้านจะลืมปิด... เด็กหนุ่มคิด เขาค่อยๆ หลับตาลง ถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะนึกถึงเรื่องบางอย่างที่ทำให้เขาตัดสินใจหนีออกจากบ้านมาเมื่อคืน...
...ท่ามกลางความมืดสลัวของยามค่ำคืน ณ บ้านร้างห่างไกลผู้คนหลังหนึ่ง ชายท่าทางน่ายำเกรงคนหนึ่งกำลังสอนให้เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งก็คือลูกชายของเขาเอง ทำอะไรบางอย่างที่ไม่อาจให้คนนอกล่วงรู้ได้ นั่นก็คือ “การปราบผี”
“ตั้งสมาธิให้มั่น! อย่าให้ล้มเหลวเหมือนคราวที่ผ่านๆ มาอีก!” พ่อของชินบอกเขาเสียงแข็ง “บริเวณนี้มีดวงวิญญาณสามดวง ไหนลองจับให้ได้ซักดวงซิ!”
ชินตัวสั่นเทา ไม่ใช่เพราะกลัวผี หากแต่เพราะกลัวพ่อ พยายามกลั้นใจตั้งสมาธิตามที่พ่อของเขาบอก แต่ก็ไม่เป็นผล และต่อให้ตั้งสมาธิขนาดไหนเขาก็คิดว่าตนไม่มีทางสะกดดวงวิญญาณเหล่านั้นได้ เพราะเขาไม่มีสิ่งที่พ่อ ปู่ หรือนักปราบผีรุ่นก่อนหน้าทั้งหลายมี และเขาเองก็ไม่เคยบอกพ่อ เพราะกลัวพ่อจะผิดหวัง ว่า...
เขาไม่มีสัมผัสวิญญาณหรือสัมผัสที่หกแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไป แต่ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้เห็น พ่อของชินก็เริ่มที่จะหมดความอดทน “ทำตัวให้มันสมกับเป็นลูกฉันหน่อยสิวะ!” แม้เขาจะพูดอย่างข่มอารมณ์แต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยความเกรี้ยวกราดอย่างที่ชินสามารถสัมผัสได้ “ฉันปราบผีเป็นตั้งแต่อายุสิบสาม แต่แกอายุจะสิบเจ็ดแล้วยังไม่ได้เรื่อง มันน่าอายนัก!”
หลังจากที่อดทนมาเนิ่นนาน สุดท้ายชินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาหยุดตั้งสมาธิ หันไปหาผู้เป็นพ่อ ก่อนจะตะโกนใส่ฝ่ายหลังอย่างเหลืออด “ก็บอกแล้วไงว่าผมทำไม่ได้!” พูดเสร็จเขาก็วิ่งออกจากบ้านร้างไปโดยไม่หันหลังกลับไปมองพ่อของตนอีกเลย...
เป็นนักปราบผี แต่มองไม่เห็นผี แล้วเขาจะปราบผีได้อย่างไร?
ชินถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียงหลังห้องเพื่อมองดูทิวทัศน์รอบๆ ตึกรามบ้านช่องเรียงรายอยู่ทั่วไป แสงสีส้มของอาทิตย์ยามเย็นที่อาบไล้ทิวทัศน์ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้าอยู่ช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย แล้วเขาก็ไปสะดุดตาเข้ากับใครบางคนที่นั่งอยู่บนตลิ่งริมคลองน้ำข้างสะพานที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล…
...เด็กหนุ่มร่างโย่งหน้าคุ้นๆ คนหนึ่งในชุดนักเรียนกางเกงดำ น่าจะโรงเรียนเดียวกันกับเขา กำลังนั่งพูดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว แล้วเขาก็นึกออกว่าใคร
“นั่นมันแพนี่หว่า” ชินรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล ใช่แล้ว ถึงแม้จะไม่มีสัมผัสวิญญาณเช่นพ่อ แต่เขาก็ได้ลางสังหรณ์ที่ค่อนข้างแรงและแม่นยำมาแทน ชินตัดสินใจออกจากห้องพัก กะจะลงไปหาเพื่อน แต่เมื่อเขามาถึงสะพานกลับไม่เห็นใครสักคน เขาเหลียวซ้ายแลขวา สาดส่องสายตาไปรอบๆ ก่อนจะเห็นเพื่อนคนนั้นปั่นจักรยานห่างออกไปไกลเกินกว่าจะตามทันแล้ว
เด็กหนุ่มมาดดีละสายตากลับมาที่บริเวณริมตลิ่งข้างสะพาน หลับตาลง พยายามเพ่งจิตตั้งสมาธิ ก่อนจะลืมตาขึ้น ป่วยการ ทำอย่างไรเขาก็จะไม่มีทางมองเห็นวิญญาณได้อย่างนั้นหรือ?
. . . . . . . . . . . . . . . .
“นับจากนี้ ชีวิตของนายจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป...”
โอม เด็กหนุ่มหัวเกรียน มาดกวน รูปร่างสันทัด เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง หวนนึกถึงคำพูดที่ใครบางคนเคยให้เอาไว้ ขณะนั่งรออาจารย์เข้าคาบโฮมรูมในห้อง โดยไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าเพื่อนคนหนึ่งกำลังเรียกเขาอยู่
“โพลดี้! ได้ยินป่าววะ?” แพ เพื่อนสนิทร่างโย่งคิ้วหนาของโอมที่พึ่งจะมาถึงห้องเรียน ตบหลังเขาเสียดังป้าบ! หลังจากที่เรียกแบบปกติหลายครั้งแล้วก็ไม่ตอบกลับเสียที เป็นเสียงตบที่ดังจนคนครึ่งห้องหันมามอง
โพลดี้ คือชื่อเล่นที่แพตั้งให้กับโอม หลังจากไปเยี่ยมเพื่อนซี้ที่โรงพยาบาลเมื่อตอนปิดเทอมฤดูร้อนที่ผ่านมา แล้วเห็นแผลเป็นบนหน้าโอมที่ลากเป็นเส้นจากปีกจมูกขวายาวลงมาจรดริมฝีปากบน เป็นแผลเป็นที่เหมือนกับแผลเป็นของ ลูคัส “โพลดี้” โพลดอลสกี้ นักฟุตบอลทีมชาติเยอรมันไม่มีผิด จนคนอื่นๆ ในโรงเรียน (ไม่เว้นแม้แต่คณาจารย์บางท่าน) ต่างเรียกตามกันไปหมด และโอมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเขาเองก็ชอบชื่อเล่นนี้ไม่น้อยเหมือนกัน
“เจ็บนะเว้ย อะไรของวะ?” โอมโอดครวญกับแพอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันไปสบตาแบบไม่ได้ตั้งใจกับ มะลิ เพื่อนร่วมห้องผู้หญิงที่หันมาตามเสียงป้าบ! เหมือนกับคนอื่นๆ
มะลิ เด็กสาวแว่นหนา ท่าทางเก็บตัว ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร และชอบรวบผมหางม้า เธอคือเพื่อนร่วมห้องเพียงคนเดียวของโอมที่โอมแทบจะไม่เคยคุยด้วย ถ้าไม่นับว่าการเคยยืมปากกาครั้งสองครั้งเป็นการคุย น่ะนะ
มะลิมองโอมด้วยสีหน้าเรียบเฉยแบบที่เธอมองคนอื่นๆ ตามปกติ แม้ว่าจะมีเรื่องเศร้าซึ้ง เฮฮา หรือน่าตื่นเต้นอะไรเกิดขึ้นก็ตาม นั่นคือสีหน้าเดียวที่ทุกๆ คนจะได้เห็นจากเธอ โอมยิ้มแหะๆ ให้เธออย่างไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรตอบ มะลิส่ายหน้าน้อยๆ อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันกลับไป
“กูเรียกตั้งหลายครั้ง ไม่ได้ยินเหรอวะ?” แพถามโอมอย่างสงสัย
โอมเกาแผลเป็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาที่จางลงพอสมควรแล้ว พลางละสายตากลับมาที่แพและตอบว่า “ถ้าได้ยิน กูก็หันมาหามึ-” เขาพูดไม่จบ เพราะสะดุดตาเข้ากับรังสีขมุกขมัวที่แผ่อยู่รอบๆ ตัวของเพื่อนซี้อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่มีใครในห้องมองเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้นอกจากเขาคนเดียว เขาคนนี้ที่รอดตายอย่างปาฏิหาริย์จากอุบัติเหตุทางถนนเมื่อตอนปิดเทอมฤดูร้อนที่ผ่านมา ซึ่งนับจากวินาทีนั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้กลายเป็น…
เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสวิญญาณ
“เป็นอะไรไป จู่ๆ ก็ท่าทางแปลกๆ” แพถามเพื่อนอย่างสงสัย หลังจากที่เพื่อนซี้พูดไม่จบประโยค และมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร” โอมรีบปฏิเสธ เขายังไม่ได้บอกใครเรื่องความสามารถพิเศษที่เขาไม่ได้ต้องการนี้ ไม่แม้แต่กับแม่ของเขาเอง เพราะไม่แน่ใจกับผลที่จะตามมาว่าจะออกมาเป็นเช่นไร “เฮ้ย ‘จารย์มาแล้วว่ะ ไปนั่งที่ก่อนเหอะ” เขารีบตัดบทเพื่อน เมื่อเห็นอาจารย์ประจำชั้นเดินเข้าห้องมา เหมือนไอ้แพมันกำลังถูกอะไรบางอย่างคุกคาม เราต้องทำอะไรซักอย่าง... เด็กหนุ่มหัวเกรียนคิดอย่างไม่สบายใจ
ว่าแต่ เราจะทำอะไรได้ไหมล่ะ?...
. . . . . . . . . . . . . . . .
“ตั้งสติให้มั่น ร่ายอาคมสะกดใส่ยันต์ แล้วตะปบใส่วิญญาณที่กำลังตรงเข้ามาหาแกซะ!”
“ท่านพ่อครับ ผมกลัว...”
“ห้ามพูดคำว่ากลัวนะ! แกเป็นลูกของฉัน ต้องทำให้ได้สิ!”
“ผมทำไม่ได้...”
“ระวัง!!!”
ฉั๊วะ!
ชินสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนกลางห้องพักของเขา ใจเต้นรัวแรง เหงื่อแตกซิบ เขาลูบแผลเป็นรอยเล็บข่วนที่ต้นแขนซ้ายซึ่งได้รับมาจากวิญญาณแค้นดวงหนึ่งตอนฝึกกับพ่อเมื่อสามปีที่แล้ว เป็นแผลเป็นที่แปลกประหลาดอย่างน่าขนลุก เพราะมันไม่ยอมจางลงไปตามกาลเวลาเลยแม้แต่น้อย
ชินตัดสินใจพักอยู่ที่อพาร์ทเมนต์แห่งนี้ต่อ จึงลงจากห้องไปที่สำนักงาน แต่ทว่า…
“บัตรถูกระงับแล้วจ้ะ” ผู้ดูแลหญิงคนเดิมบอก ก่อนจะยื่นบัตรคืนให้เขา
เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาตรวจดูเงิน ก็พบว่าเหลือไม่พอจ่ายค่าห้องเพิ่ม รู้อย่างนี้ถอนออกมาไว้เยอะๆ ตั้งแต่ทีแรกซะก็ดี... เขาว่าในใจ ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ ให้ผู้ดูแลคนนั้น “ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวผมลงมาเช็คเอ้าท์ครับ”
หลังออกจากที่พัก ชินก็มาหามื้อเที่ยงทานที่ร้านอาหารตามสั่งซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกล เหลือเงินอยู่ไม่กี่ร้อย จะทำยังไงดีเนี่ย... เด็กหนุ่มคิดหนัก ขณะนั่งรออาหารมาเสิร์ฟ แผนการที่คิดจะหนีไปอยู่กับน้าที่ต่างจังหวัดก็เป็นอันต้องระงับไป แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นสะพานที่เขาเห็นเพื่อนคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เมื่อเย็นวาน เขาจึงได้ลองสอบถามพนักงานเสิร์ฟในร้านดู และพบว่า เมื่อวันก่อนมีนักศึกษาสาวคนหนึ่งมากระโดดน้ำฆ่าตัวตายอยู่ที่ข้างสะพานนี้ เพราะผิดหวังจากความรัก
จากข้อมูลที่ได้มา น่าจะชัดเจนแล้วว่า เพื่อนคนนี้ของเขาน่าจะกำลังถูกวิญญาณนักศึกษาสาวคนนั้นคุกคามอยู่ เขาจึงตัดสินใจจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ แม้จะยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร และที่สำคัญ…
จะทำได้หรือไม่
. . . . . . . . . . . . . . .
/มีต่อ
[Bromance] High School Horror Story: คดีพิศวง โรงเรียนเฮี้ยน S01E01
ด้วยวิถีและมุมมองชีวิตที่แตกต่างกัน ทำให้แต่ละคนได้รับบทเรียนที่ต่างกันไปด้วย และในบรรดาบทเรียนชีวิตทั้งหลายแหล่ที่คนเราได้เรียนรู้กันนั้น บางบทเรียนก็เรียบง่าย ไม่ยากต่อการทำความเข้าใจ แต่บางบทเรียน สำหรับบางคน กว่าจะเรียนรู้ได้นั้น ต้องผ่านทั้งความยากลำบาก ภยันอันตราย และการสูญเสีย จนบทเรียนที่น่าจะเรียบง่าย กลับกลายเป็น
บทเรียนราคาแพง...
High School Horror Story: คดีพิศวง โรงเรียนเฮี้ยน
คืนหนึ่ง กลางฤดูร้อนที่แสนอบอ้าว เสียงทะเลาะกันระหว่างแม่กับลูกชายวัยรุ่นเล็ดลอดออกมาจากบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังหนึ่งย่านชานเมืองอย่างที่ไม่กลัวว่าจะมีใครได้ยิน ไม่นาน ฝ่ายลูกชายก็เดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากบ้าน ปิดประตูตามหลังเสียงดังปัง! ก่อนจะคว้ารถจักรยานยนต์คู่ใจมาขี่ แล้วบึ่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว และด้วยความอารมณ์ร้อนตามประสาวัยรุ่นบวกกับความโมโหจากการมีปากเสียงกับแม่เมื่อก่อนหน้านี้ทำให้เขาพุ่งรถออกจากปากซอยสู่ถนนใหญ่โดยไม่ทันระวังมองรถยนต์ที่กำลังแล่นมาด้วยความเร็ว…
แรงปะทะที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ทำให้เด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายกระเด็นไปกระแทกกับทางเท้าที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง...
. . . . . . . . . . . . . . .
กิจวัตรประจำวันของเด็กหนุ่มม.ปลายธรรมดาคนหนึ่ง คือ ตื่นเช้า ไปโรงเรียน เจอเพื่อน ลอกการบ้าน ส่งการบ้าน มองสาว สาวเมิน เพื่อนล้อ นั่งเรียน เผลอหลับ ครูทำโทษ เลิกเรียน เตะบอล กลับบ้าน แม่บ่น กินข้าว อาบน้ำ เล่นเกม แม่บ่นอีกรอบ เข้านอน... ช่างเป็นกิจวัตรซ้ำซากที่แลดูปกติธรรมดาเสียนี่กะไร แต่ท่ามกลางความธรรมดาในชีวิตของเด็กหนุ่มคนนี้ บางอย่าง ”ไม่ปกติ” กำลังจะเกิดขึ้นกับเขา
เด็กหนุ่มปั่นจักรยานกลับบ้านไปตามริมฝั่งคลองน้ำที่ผู้คนไม่ค่อยสัญจรเหมือนเช่นทุกวัน เพราะเป็นทางลัดที่ทำให้เขากลับถึงบ้านเร็วขึ้น คลองน้ำธรรมดาที่น่าเบื่อหน่าย ในวันธรรมดาที่น่าเบื่อหน่ายยิ่งกว่า ทั้งที่พึ่งจะเปิดเทอมได้ไม่กี่วัน เขากลับอยากให้ปิดเทอมมาถึงเร็วๆ เสียแล้ว
แต่วันนี้ ขณะนี้ ได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่อยู่นอกเหนือจากกิจวัตรข้างต้นขึ้น เมื่อเขาเห็นหญิงสาวในชุดนักศึกษาคนหนึ่งกำลังนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ริมคลองอย่างน่าสงสาร เธอเป็นหญิงสาวที่หน้าตาสะสวยไม่น้อย และเสน่ห์บางอย่างในตัวเธอ ได้ดึงดูดเด็กหนุ่มให้หยุดปั่นจักรยาน และเดินเข้าไปปลอบเธอ โดยหารู้ไม่ว่า หญิงสาวคนนี้ ไม่ใช่ “คน” อีกต่อไปแล้ว…
ตอนที่ 1 ผีสาวริมคลอง
เย็นวันหนึ่ง เด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาดี ท่าทางมีฐานะคนหนึ่ง เดินเข้าไปยังอพาร์ทเมนต์ที่มีห้องรายวันให้เช่าแห่งหนึ่งย่านชานเมือง กระเป๋าใบใหญ่ที่เขาสะพายแกว่งไปมาเล็กน้อยอยู่ด้านหลังขณะที่เขาเดินเข้าไปยังสำนักงาน
“ขอพักห้องธรรมดา เตียงเดี่ยว ห้องนึงครับ” เด็กหนุ่มพูดกับผู้ดูแลหญิงวัยทำงานที่นั่งอยู่ในห้อง ขณะจัดผมรองทรงสูงโมฮ็อคพุ่มเตี้ยของตนเองให้เข้าที่เข้าทางไปด้วย
ผู้ดูแลรับบัตรเดบิตจากเด็กหนุ่มไปรูด ก่อนจะยื่นบัตรคืนให้พร้อมกับกุญแจห้อง เขารับกุญแจมา ยิ้มให้ผู้ดูแลเล็กน้อย ก่อนทำท่าจะเดินไปที่ห้องพัก แต่ก็ต้องหยุดกึกเสียก่อนเพราะนึกอะไรขึ้นมาได้ และหันไปถามผู้ดูแลคนนั้นว่า “ที่นี่ไม่มีผีนะครับ?”
ผู้ดูแลหญิงวัยทำงานมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างมีความหมาย ก่อนจะตอบเขาพร้อมกับรอยยิ้มว่า “ไม่มีหรอกค่ะ”
ชิน เด็กหนุ่มมาดผู้ดี ทายาทเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด ทิ้งสัมภาระลงข้างเตียง ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงที่ปูผ้าไว้อย่างเรียบตึง แสงแดงยามเย็นลอดผ่านม่านเข้ามาทางระเบียงเล็กหลังห้อง พัดลมขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนเพดานหมุนไปมาตั้งแต่ตอนที่เขาเข้ามาในห้อง สงสัยแม่บ้านจะลืมปิด... เด็กหนุ่มคิด เขาค่อยๆ หลับตาลง ถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะนึกถึงเรื่องบางอย่างที่ทำให้เขาตัดสินใจหนีออกจากบ้านมาเมื่อคืน...
...ท่ามกลางความมืดสลัวของยามค่ำคืน ณ บ้านร้างห่างไกลผู้คนหลังหนึ่ง ชายท่าทางน่ายำเกรงคนหนึ่งกำลังสอนให้เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งก็คือลูกชายของเขาเอง ทำอะไรบางอย่างที่ไม่อาจให้คนนอกล่วงรู้ได้ นั่นก็คือ “การปราบผี”
“ตั้งสมาธิให้มั่น! อย่าให้ล้มเหลวเหมือนคราวที่ผ่านๆ มาอีก!” พ่อของชินบอกเขาเสียงแข็ง “บริเวณนี้มีดวงวิญญาณสามดวง ไหนลองจับให้ได้ซักดวงซิ!”
ชินตัวสั่นเทา ไม่ใช่เพราะกลัวผี หากแต่เพราะกลัวพ่อ พยายามกลั้นใจตั้งสมาธิตามที่พ่อของเขาบอก แต่ก็ไม่เป็นผล และต่อให้ตั้งสมาธิขนาดไหนเขาก็คิดว่าตนไม่มีทางสะกดดวงวิญญาณเหล่านั้นได้ เพราะเขาไม่มีสิ่งที่พ่อ ปู่ หรือนักปราบผีรุ่นก่อนหน้าทั้งหลายมี และเขาเองก็ไม่เคยบอกพ่อ เพราะกลัวพ่อจะผิดหวัง ว่า...
เขาไม่มีสัมผัสวิญญาณหรือสัมผัสที่หกแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไป แต่ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้เห็น พ่อของชินก็เริ่มที่จะหมดความอดทน “ทำตัวให้มันสมกับเป็นลูกฉันหน่อยสิวะ!” แม้เขาจะพูดอย่างข่มอารมณ์แต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยความเกรี้ยวกราดอย่างที่ชินสามารถสัมผัสได้ “ฉันปราบผีเป็นตั้งแต่อายุสิบสาม แต่แกอายุจะสิบเจ็ดแล้วยังไม่ได้เรื่อง มันน่าอายนัก!”
หลังจากที่อดทนมาเนิ่นนาน สุดท้ายชินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาหยุดตั้งสมาธิ หันไปหาผู้เป็นพ่อ ก่อนจะตะโกนใส่ฝ่ายหลังอย่างเหลืออด “ก็บอกแล้วไงว่าผมทำไม่ได้!” พูดเสร็จเขาก็วิ่งออกจากบ้านร้างไปโดยไม่หันหลังกลับไปมองพ่อของตนอีกเลย...
เป็นนักปราบผี แต่มองไม่เห็นผี แล้วเขาจะปราบผีได้อย่างไร?
ชินถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียงหลังห้องเพื่อมองดูทิวทัศน์รอบๆ ตึกรามบ้านช่องเรียงรายอยู่ทั่วไป แสงสีส้มของอาทิตย์ยามเย็นที่อาบไล้ทิวทัศน์ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้าอยู่ช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย แล้วเขาก็ไปสะดุดตาเข้ากับใครบางคนที่นั่งอยู่บนตลิ่งริมคลองน้ำข้างสะพานที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล…
...เด็กหนุ่มร่างโย่งหน้าคุ้นๆ คนหนึ่งในชุดนักเรียนกางเกงดำ น่าจะโรงเรียนเดียวกันกับเขา กำลังนั่งพูดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว แล้วเขาก็นึกออกว่าใคร
“นั่นมันแพนี่หว่า” ชินรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล ใช่แล้ว ถึงแม้จะไม่มีสัมผัสวิญญาณเช่นพ่อ แต่เขาก็ได้ลางสังหรณ์ที่ค่อนข้างแรงและแม่นยำมาแทน ชินตัดสินใจออกจากห้องพัก กะจะลงไปหาเพื่อน แต่เมื่อเขามาถึงสะพานกลับไม่เห็นใครสักคน เขาเหลียวซ้ายแลขวา สาดส่องสายตาไปรอบๆ ก่อนจะเห็นเพื่อนคนนั้นปั่นจักรยานห่างออกไปไกลเกินกว่าจะตามทันแล้ว
เด็กหนุ่มมาดดีละสายตากลับมาที่บริเวณริมตลิ่งข้างสะพาน หลับตาลง พยายามเพ่งจิตตั้งสมาธิ ก่อนจะลืมตาขึ้น ป่วยการ ทำอย่างไรเขาก็จะไม่มีทางมองเห็นวิญญาณได้อย่างนั้นหรือ?
. . . . . . . . . . . . . . . .
“นับจากนี้ ชีวิตของนายจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป...”
โอม เด็กหนุ่มหัวเกรียน มาดกวน รูปร่างสันทัด เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง หวนนึกถึงคำพูดที่ใครบางคนเคยให้เอาไว้ ขณะนั่งรออาจารย์เข้าคาบโฮมรูมในห้อง โดยไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าเพื่อนคนหนึ่งกำลังเรียกเขาอยู่
“โพลดี้! ได้ยินป่าววะ?” แพ เพื่อนสนิทร่างโย่งคิ้วหนาของโอมที่พึ่งจะมาถึงห้องเรียน ตบหลังเขาเสียดังป้าบ! หลังจากที่เรียกแบบปกติหลายครั้งแล้วก็ไม่ตอบกลับเสียที เป็นเสียงตบที่ดังจนคนครึ่งห้องหันมามอง
โพลดี้ คือชื่อเล่นที่แพตั้งให้กับโอม หลังจากไปเยี่ยมเพื่อนซี้ที่โรงพยาบาลเมื่อตอนปิดเทอมฤดูร้อนที่ผ่านมา แล้วเห็นแผลเป็นบนหน้าโอมที่ลากเป็นเส้นจากปีกจมูกขวายาวลงมาจรดริมฝีปากบน เป็นแผลเป็นที่เหมือนกับแผลเป็นของ ลูคัส “โพลดี้” โพลดอลสกี้ นักฟุตบอลทีมชาติเยอรมันไม่มีผิด จนคนอื่นๆ ในโรงเรียน (ไม่เว้นแม้แต่คณาจารย์บางท่าน) ต่างเรียกตามกันไปหมด และโอมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเขาเองก็ชอบชื่อเล่นนี้ไม่น้อยเหมือนกัน
“เจ็บนะเว้ย อะไรของวะ?” โอมโอดครวญกับแพอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันไปสบตาแบบไม่ได้ตั้งใจกับ มะลิ เพื่อนร่วมห้องผู้หญิงที่หันมาตามเสียงป้าบ! เหมือนกับคนอื่นๆ
มะลิ เด็กสาวแว่นหนา ท่าทางเก็บตัว ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร และชอบรวบผมหางม้า เธอคือเพื่อนร่วมห้องเพียงคนเดียวของโอมที่โอมแทบจะไม่เคยคุยด้วย ถ้าไม่นับว่าการเคยยืมปากกาครั้งสองครั้งเป็นการคุย น่ะนะ
มะลิมองโอมด้วยสีหน้าเรียบเฉยแบบที่เธอมองคนอื่นๆ ตามปกติ แม้ว่าจะมีเรื่องเศร้าซึ้ง เฮฮา หรือน่าตื่นเต้นอะไรเกิดขึ้นก็ตาม นั่นคือสีหน้าเดียวที่ทุกๆ คนจะได้เห็นจากเธอ โอมยิ้มแหะๆ ให้เธออย่างไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรตอบ มะลิส่ายหน้าน้อยๆ อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันกลับไป
“กูเรียกตั้งหลายครั้ง ไม่ได้ยินเหรอวะ?” แพถามโอมอย่างสงสัย
โอมเกาแผลเป็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาที่จางลงพอสมควรแล้ว พลางละสายตากลับมาที่แพและตอบว่า “ถ้าได้ยิน กูก็หันมาหามึ-” เขาพูดไม่จบ เพราะสะดุดตาเข้ากับรังสีขมุกขมัวที่แผ่อยู่รอบๆ ตัวของเพื่อนซี้อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่มีใครในห้องมองเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้นอกจากเขาคนเดียว เขาคนนี้ที่รอดตายอย่างปาฏิหาริย์จากอุบัติเหตุทางถนนเมื่อตอนปิดเทอมฤดูร้อนที่ผ่านมา ซึ่งนับจากวินาทีนั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้กลายเป็น…
เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสวิญญาณ
“เป็นอะไรไป จู่ๆ ก็ท่าทางแปลกๆ” แพถามเพื่อนอย่างสงสัย หลังจากที่เพื่อนซี้พูดไม่จบประโยค และมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร” โอมรีบปฏิเสธ เขายังไม่ได้บอกใครเรื่องความสามารถพิเศษที่เขาไม่ได้ต้องการนี้ ไม่แม้แต่กับแม่ของเขาเอง เพราะไม่แน่ใจกับผลที่จะตามมาว่าจะออกมาเป็นเช่นไร “เฮ้ย ‘จารย์มาแล้วว่ะ ไปนั่งที่ก่อนเหอะ” เขารีบตัดบทเพื่อน เมื่อเห็นอาจารย์ประจำชั้นเดินเข้าห้องมา เหมือนไอ้แพมันกำลังถูกอะไรบางอย่างคุกคาม เราต้องทำอะไรซักอย่าง... เด็กหนุ่มหัวเกรียนคิดอย่างไม่สบายใจ
ว่าแต่ เราจะทำอะไรได้ไหมล่ะ?...
. . . . . . . . . . . . . . . .
“ตั้งสติให้มั่น ร่ายอาคมสะกดใส่ยันต์ แล้วตะปบใส่วิญญาณที่กำลังตรงเข้ามาหาแกซะ!”
“ท่านพ่อครับ ผมกลัว...”
“ห้ามพูดคำว่ากลัวนะ! แกเป็นลูกของฉัน ต้องทำให้ได้สิ!”
“ผมทำไม่ได้...”
“ระวัง!!!”
ฉั๊วะ!
ชินสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนกลางห้องพักของเขา ใจเต้นรัวแรง เหงื่อแตกซิบ เขาลูบแผลเป็นรอยเล็บข่วนที่ต้นแขนซ้ายซึ่งได้รับมาจากวิญญาณแค้นดวงหนึ่งตอนฝึกกับพ่อเมื่อสามปีที่แล้ว เป็นแผลเป็นที่แปลกประหลาดอย่างน่าขนลุก เพราะมันไม่ยอมจางลงไปตามกาลเวลาเลยแม้แต่น้อย
ชินตัดสินใจพักอยู่ที่อพาร์ทเมนต์แห่งนี้ต่อ จึงลงจากห้องไปที่สำนักงาน แต่ทว่า…
“บัตรถูกระงับแล้วจ้ะ” ผู้ดูแลหญิงคนเดิมบอก ก่อนจะยื่นบัตรคืนให้เขา
เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาตรวจดูเงิน ก็พบว่าเหลือไม่พอจ่ายค่าห้องเพิ่ม รู้อย่างนี้ถอนออกมาไว้เยอะๆ ตั้งแต่ทีแรกซะก็ดี... เขาว่าในใจ ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ ให้ผู้ดูแลคนนั้น “ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวผมลงมาเช็คเอ้าท์ครับ”
หลังออกจากที่พัก ชินก็มาหามื้อเที่ยงทานที่ร้านอาหารตามสั่งซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกล เหลือเงินอยู่ไม่กี่ร้อย จะทำยังไงดีเนี่ย... เด็กหนุ่มคิดหนัก ขณะนั่งรออาหารมาเสิร์ฟ แผนการที่คิดจะหนีไปอยู่กับน้าที่ต่างจังหวัดก็เป็นอันต้องระงับไป แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นสะพานที่เขาเห็นเพื่อนคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เมื่อเย็นวาน เขาจึงได้ลองสอบถามพนักงานเสิร์ฟในร้านดู และพบว่า เมื่อวันก่อนมีนักศึกษาสาวคนหนึ่งมากระโดดน้ำฆ่าตัวตายอยู่ที่ข้างสะพานนี้ เพราะผิดหวังจากความรัก
จากข้อมูลที่ได้มา น่าจะชัดเจนแล้วว่า เพื่อนคนนี้ของเขาน่าจะกำลังถูกวิญญาณนักศึกษาสาวคนนั้นคุกคามอยู่ เขาจึงตัดสินใจจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ แม้จะยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร และที่สำคัญ…
จะทำได้หรือไม่
. . . . . . . . . . . . . . .
/มีต่อ