ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา ลดโทษ “หมูแฮม” ที่ขับรถชนคนตายแล้วชักหงิก เหลือจำคุก 3 ปี และ ให้รอลงอาญาเอาไว้ก่อน

กระทู้ข่าว
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ลดโทษให้  “หมูแฮม”  จากการที่เอาก้อนหินทุบหน้าคนขับรถ และขับรถชนพนักงานหญิงของขสมก. บนฟุตบาทจนเสียชีวิต แล้วมีอาการชักหงิก เหลือเป็น จำคุก 3 ปี และ ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี พร้อมควบคุมความประพฤติและให้รักษาอาการทางจิตอย่างต่อเนื่อง ด้านผู้เสียหายชี้คนตายไม่อาจฟื้นคืนได้ การช่วยเยียวยาทางเงินไม่ได้ช่วยเยียวยาทางจิตใจแต่อย่างใด รอปรึกษาผู้เสียหายร่วมอื่นๆว่าจะยื่นฎีกาเอาผิดต่อหรือไม่ เพราะเชื่อว่าคนผิดควรจะได้รับกรรมที่ก่อเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
      
       ที่ศาลจังหวัดพระโขนง วันนี้  (5 มี.ค.)  ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่อัยการฝ่ายคดีศาลจังหวัดพระโขนง เป็นโจทก์ นายมาโนจน์ หรือ ธนชรพล โตจวง, น.ส.สังวาล สีหะวงษ์ , น.ส.สุชีรา อินทร์สุวรรณ์ และนางทองดำ หลวงแสง เป็นโจทก์ร่วมที่ 1-4 ร่วมกันฟ้องนายกัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ หรือหมูแฮม อายุ 25 ปี บุตรชายนายกัณฑ์เอนก ปัจฉิมสวัสดิ์ กับนางสาวิณี ปะการะนัง อดีตนางสาวไทยปี 2527 เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พยายามฆ่าผู้อื่น และทำร้ายร่างกายผู้อื่นทำให้ได้อันตรายแก่กาย
      
       โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2550 เวลา 22.50 น. จำเลยใช้ก้อนหินทุบใบหน้านายสถาพร อรุณศิริ พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 513 ทะเบียน 12-0939 กรุงเทพมหานคร และขับรถเบนซ์ ทะเบียน ศศ 6699 กรุงเทพมหานคร พุ่งชนผู้โดยสารที่ยืนบนทางเท้า และนางสายชล หลวงแสง พนักงานการเงิน ขสมก.เสียชีวิต หลังเกิดเหตุรถเมล์ขับปาดหน้ารถของนายกัณฑ์พิทักษ์ให้หยุดบริเวณหน้าป้อมตำรวจจราจรที่ปากซอยสุขุมวิท 26 แยกอารีย์ แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม.
      
       คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2552 ว่า การกระทำของจำเลยไม่น่าเชื่อว่าจำเลยมีสติฟั่นเฟือน ที่อ้างว่ามีอาการเกร็งในขณะเกิดเหตุและตัวเองต้องได้รับการรักษาอาการป่วยจากแพทย์นั้น ศาลเห็นว่าที่จำเลยมีอาการเกร็งเกิดจากความเครียดจากการก่อเหตุเท่านั้น และที่จำเลยอ้างว่าบังคับตัวเองไม่ได้เพราะมีสภาพจิตแปรปรวน จำเลยไม่มีพยานหลักฐานยืนยันทางการแพทย์ชัดเจน ซึ่งการกระทำของจำเลยเกิดจากนายกัณฑ์เอนก ปัจฉิมสวัสดิ์ บิดาของจำเลยเลี้ยงดูตามใจ จึงก่อเหตุดังกล่าวจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษาลงโทษฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจำคุก 1 เดือน และริบรถยนต์ของกลาง และให้ชำระค่าเสียหายแก่ นางสมจิตร แกล้วกล้า กระเป๋ารถเมล์ ผู้เสียหายที่ 7 จำนวน 1 แสนบาท น.ส.สังวาล โจทก์ร่วมที่ 2 จำนวน 8 แสนบาท น.ส.สุชีรา โจทก์ร่วมที่ 3 จำนวน 79,412 บาท และนางทองดำ หลวงแสง โจทก์ร่วมที่ 4 มารดาของนางสายชล หลวงแสง ผู้เสียชีวิต จำนวน 2,158,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับตั้งแต่วันทำละเมิด วันที่ 4 ก.ค.2550 จนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนผู้เสียหายอื่นรวม 7 ราย จำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายจนเป็นเป็นที่พอใจแล้ว
      
       ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนและประชุมหารือกันแล้วเห็นว่า จากพฤติการณ์และสิ่งแวดล้อมในทางนำสืบ เชื่อว่าขณะเกิดเหตุจำเลยกระทำผิด ขับรถขึ้นไปบนทางเท้าชนผู้ตาย และผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ ในขณะที่จำเลยยังไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โดยก่อนเกิดเหตุและขณะเกิดเหตุจำเลยยังสามารถรู้สึกผิดชอบ และสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญซึ่งตรวจรักษาได้ประชุมร่วมกับจิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ พยาบาลจิตเวช นักจิตวิทยาคลินิก และลงความเห็นว่าขณะเกิดเหตุจำเลยป่วยเป็นโรคอารมณ์แปรปวน มีลักษณะหุนหันพันแล่น ที่มีผลต่อการควบคุมพฤติกรรมที่ไม่สามารถบังคับตนเองได้ เนื่องจากมีสติฟั่นเฟือน โดยจำเลยมีอาการชักตั้งแต่เด็ก การกระทำของจำเลยจึงเป็นการไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถบังคับตัวเองได้จนเกิดเหตุร้ายดังกล่าวจึงมีความผิดฐานขับรถชนคนตายและบาดเจ็บ ที่กระทำไปโดยไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กำหนดไว้สำหรับความผิดเพียงใดก็ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรค 2 ที่ศาลชั้นต้นลงโทษว่าจำเลยมีความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยฟังขึ้นบางส่วน ศาลอุทธรณ์จึงเห็นควรลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี
      
       ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นในขณะไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 228 ประกอบมาตรา 65 วรรค 2 เห็นควรให้จำคุกจำเลย 3 ปี และเมื่อจำเลยได้บรรเทาผลร้าย โดยชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียชีวิต 1 ราย และผู้บาดเจ็บ 3 ราย จนเป็นที่พอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่ง และคดีอาญากับจำเลยต่อไป จึงเห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยเป็นเวลา 2 ปี และเมื่อรวมโทษฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น อีก 1 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้นเป็นเวลา 2 ปี 1 เดือน เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลย รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง ภายในกำหนด 2 ปี เพื่อให้เจ้าพนักงานคุมประพฤติได้แนะนำและคอยตักเตือนจำเลยเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง และให้จำเลยไปรักษาความบกพร่องทางจิตเป็นประจำตามที่แพทย์กำหนด โดยให้รายงานผลการรักษาต่อพนักงานคุมประพฤติทุกครั้งตลอดระยะเวลาของการรอลงอาญา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
      

       ด้าน น.ส.สุชีรา อินทร์สุวรรณ์ อายุ 31 ปี ลูกสาวของนางสายชล หลวงแสง ผู้เสียชีวิต กล่าวว่า การสูญเสียแม่ไม่มีอะไรสามารถมาชดเชยได้ ส่วนตัวแล้วเห็นว่าการตัดสินน่าจะมีบรรทัดฐานว่าคนที่กระทำผิดควรได้รับโทษในสิ่งที่เขากระทำไม่ว่าเขาจะอายุน้อย เป็นผู้เยาว์ หรือมีความบกพร่องทางจิต ส่วนการชดเชยด้วยเงินเป็นการเยียวยาภายนอก ไม่สามารถชดเชยบาดแผลภายในจิตใจได้ ขณะนี้รอคัดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพื่อร่วมพิจารณากับผู้เสียหายรายอื่นและทางทนายว่าจะฎีกาหรือไม่




          เครดิตนะคะ    :    http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000027463
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่