ยังจำได้ไหม? ย้อนรอย คดี"หมูแฮม" ปมจิตบกพร่อง จากโทษคุก 10ปี เหลือ 2ปี1เดือน

จากมติชนออนไลน์

เป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของสังคมมาตลอดหลายปี กรณี "หมูแฮม" นายกัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ บุตรชาย นายกัณฑ์เอนก ปัจฉิมสวัสดิ์ นักธุรกิจชื่อดัง กับ "สาวิณี ปะการะนัง" อดีตนางสาวไทยปี 2527

หมูแฮม ตกเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่า พยายามฆ่า และทำร้ายร่างกาย หลังขับรถเบนซ์หรูไล่ทับคนบริเวณป้ายรถประจำทางริมถนนสุขุมวิท เมื่อปี 2550 มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บจำนวนมาก ก่อนนั่ง "มือหงิก" ในรถ

ฝ่ายทนายสู้คดีว่า จำเลยมีอาการผิดปกติทางจิต แต่ศาลชั้นต้นไม่เชื่อ จึงมีคำพิพากษาเมื่อปี 2552 จำเลยผิดจริงลงโทษจำคุก 10 ปี จำเลยยื่นอุทธรณ์และสู้คดีมาอีกกว่า 4 ปี

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าหมูแฮม มีอาการจิตบกพร่องจริง และน่าจะทำไปโดยไม่รู้ตัว จึงพิจารณาลดโทษจำคุกเหลือ 2 ปี และให้รอลงอาญาไว้ก่อน!??

กระทั่งล่าสุด ศาลฎีกาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำคุกหมูแฮม 2 ปี 1 เดือน หลังเห็นว่าเป็นพฤติกรรมร้ายแรง ขณะบุตรสาวผู้เสียชีวิตภูมิใจที่ได้ต่อสู้เพื่อแม่
         
กรณีหมูแฮม หรือ นายกัณฑ์พิทักษ์ นับเป็นคดีสะเทือนสังคมที่สุดในรอบปี 2550 ก็ว่าได้ เมื่อหมูแฮมขับรถเบนซ์พร้อมกับน้องสาว เฉี่ยวชนกับรถโดยสารปรับอากาศสาย 513 ที่มี นายสถาพร อรุณศิริ เป็นคนขับ บนถนนสุขุมวิท เมื่อค่ำวันที่ 4 กรกฎาคม 2550

หมูแฮม แสดงความไม่พอใจเพราะนายสถาพร อ้างว่าไม่รู้เรื่องและขับรถต่อไป ทำให้ลูกคนดังขับรถนำไปแจ้งตำรวจสกัดจับ

ระหว่างที่ 2 ฝ่ายลงมาเจรจา จนกลายเป็นทะเลาะต่อหน้าตำรวจ หมูแฮม ใช้ก้อนหินที่เตรียมไว้ทุบเข้าศีรษะคู่กรณีจนเลือดอาบ จากนั้นวิ่งกลับไปนั่งบนรถ

ตำรวจพยายามเรียกให้ออกมาก็ไม่สนใจ ขณะเดียวกันบรรดาผู้โดยสารที่ต้องลงมาเปลี่ยนรถบริเวณป้ายรถประจำทางยืนด่าทอ บ้างก็ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน

จังหวะนั้นเอง รถเบนซ์ก็พุ่งทะยานปีนฟุตปาธเข้าหาผู้โดยสารจำนวนมาก และทับ 3 คนติดอยู่ใต้ท้องรถ!!!

พยานจำนวนมากบอกให้นายกัณฑ์พิทักษ์ ถอยรถออกไปเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ แต่ไม่มีการตอบรับใดๆ ทำให้ฝูงชนเกิดความไม่พอใจรุมทุบรถจนพังเสียหาย

กระทั่งตำรวจและหน่วยกู้ภัยเดินทางมาถึงเข้าห้ามปรามภาพที่เห็นคือนายกัณฑ์พิทักษ์ นั่งตัวเกร็งมือหงิกอยู่หลังพวงมาลัยรถเบนซ์

เหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้ได้รับบาดเจ็บราวๆ 10 คน มี 3 คนที่ถูกทับบาดเจ็บสาหัส และหนึ่งในนั้นคือ นางสายชล หลวงแสง พนักงานการเงิน ขสมก. เสียชีวิตในเวลาต่อมา!!!

ตำรวจ สน.ทองหล่อ แจ้ง 3 ข้อหากับนายกัณฑ์พิทักษ์ ประกอบด้วย ทำร้ายร่างกาย ฆ่าคนตาย และพยายามฆ่า

นายกัณฑ์พิทักษ์ สารภาพเพียงข้อหาทำร้ายร่างกาย แต่อีก 2 คดีปฏิเสธ

ฝ่ายครอบครัวจำเลยอ้างว่า นายกัณฑ์พิทักษ์ มีอาการป่วยทางจิต ถึงขั้นเข้ารักษาตัวใน รพ. มาแล้ว บางครั้งไม่สามารถควบคุมตัวเองได้!??

แต่แพทย์ออกมาชี้แจงว่า นายกัณฑ์พิทักษ์ เป็นเพียงผู้ป่วยนอก และไม่เข้าข่ายมีปัญหาทางจิต แต่เป็นปัญหาทางอารมณ์เพราะโกรธง่ายและบางครั้งจะควบคุมตัวเองไม่ได้

ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานจนแน่ชัดส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาเมื่อวันที่28 พฤศจิกายน 2550

ขณะที่ฝ่ายหมูแฮม สู้คดีว่ามีอาการทางจิต และบางครั้งคุมตัวเองไม่ได้ แต่ระหว่างที่อัยการกำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่ หมูแฮม ยังขับรถไปไหนมาไหนตามปกติ กระทั่งประสบอุบัติเหตุชนกับรถ ปอ. อีกคัน เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2551 แต่คราวนี้ไม่มีเหตุรุนแรง เพราะคนทางบ้านรีบมาจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายให้คู่กรณี!??

อัยการใช้เวลาพิจารณาพักใหญ่ก็ส่งฟ้องจำเลยทั้ง 3ข้อหา โดยเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2551 เป็นการขึ้นศาลนัดแรก เกิดเหตุชุลมุนขึ้น เมื่อจู่ๆ นายกัณฑ์พิทักษ์ ยืนตัวเกร็งและมีอาการชักกระตุก จนศาลต้องพักการพิจารณาชั่วคราว!??

ด้านทนายจำเลย มุ่งปมสู้คดีทางเดียวว่าจำเลยมีสภาพจิตไม่ปกติ ควบคุมตัวเองไม่ได้

กระทั่งวันที่ 30 มกราคม 2552 ศาลอาญามีคำพิพากษาในคดีนี้ว่า ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยไม่น่าเชื่อว่าจำเลยมีสติฟั่นเฟือน ที่จำเลยอ้างว่า ต้องได้รับการรักษาอาการป่วย และมีอาการเกร็งขณะเกิดเหตุ ศาลเห็นว่าที่จำเลยมีอาการเกร็งเกิดจากจำเลยมีความเครียดจากการก่อเหตุเท่านั้น

ที่จำเลยอ้างว่าบังคับตัวเองไม่ได้เพราะมีสภาพจิตแปรปรวนนั้นจำเลยไม่มีพยานหลักฐานยืนยันทางการแพทย์ชัดเจน การกระทำของจำเลยเกิดจากการถูกเลี้ยงดูตามใจ จึงก่อเหตุดังกล่าว เห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง!!!

ตัดสินจำคุกความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นเป็นเวลา 15 ปี และฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น 2 เดือน แต่จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ประกอบกับจำเลยได้บรรเทาผลร้ายให้แก่ผู้เสียหาย เป็นเงินจำนวนพอสมควร จึงมีเหตุบรรเทาโทษ

ลดโทษจำคุกความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 10 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 1 เดือน คงลงโทษจำคุกจำเลยไว้ 10 ปี 1 เดือน
        
แน่นอนว่าเมื่อคำพิพากษาออกมาในรูปคดี ครอบครัวหมูแฮม จึงยื่นสู้ในชั้นอุทธรณ์ในประเด็นเดิม คือ มีอาการป่วยทางจิต ขอให้ศาลบรรเทาโทษ

ในชั้นอุทธรณ์สู้คดียืดเยื้อราวๆ 4 ปี จนวันที่ 5 มีนาคม ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดพระโขนง อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า จากพฤติการณ์และสิ่งแวดล้อมในทางนำสืบ เชื่อว่าขณะเกิดเหตุจำเลยกระทำผิดขับรถขึ้นไปบนทางเท้าชนผู้ตายและผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ ในขณะที่จำเลยยังไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โดยก่อนเกิดเหตุและขณะเกิดเหตุจำเลยยังสามารถรู้สึกผิดชอบและสามารถบังคับตนเองได้บ้าง

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญซึ่งตรวจรักษาได้ประชุมร่วมกับจิตแพทย์นักสังคมสงเคราะห์ พยาบาลจิตเวช นักจิตวิทยาคลินิก และลงความเห็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยป่วยเป็นโรคอารมณ์แปรปวน มีลักษณะหุนหันพลันแล่น ที่มีผลต่อการควบคุมพฤติกรรมที่ไม่สามารถบังคับตนเองได้ เนื่องจากมีสติฟั่นเฟือน โดยจำเลยมีอาการชักตั้งแต่เด็ก การกระทำของจำเลยจึงเป็นการไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ จนเกิดเหตุร้ายดังกล่าว

จึงมีความผิดฐานขับรถชนคนตายและบาดเจ็บ ที่กระทำไปโดยไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีจิตบกพร่อง ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กำหนดไว้สำหรับความผิดเพียงใดก็ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรค 2

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ระบุอีกว่า ที่ศาลชั้นต้นลงโทษว่า จำเลยมีความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยฟังขึ้นบางส่วน ศาลอุทธรณ์จึงเห็นควรลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี

พิพากษาแก้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นในขณะไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 228 ประกอบมาตรา 65 วรรค 2 เห็นควรให้จำคุกจำเลย 3 ปี และเมื่อจำเลยได้บรรเทาผลร้าย โดยชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียชีวิต 1 ราย และผู้บาดเจ็บ 3 ราย จนเป็นที่พอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญากับจำเลยต่อไป จึงเห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยเป็นเวลา 2 ปี และเมื่อรวมโทษฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นอีก 1 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้นเป็นเวลา 2 ปี 1 เดือน

เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง ภายในกำหนด 2 ปี เพื่อให้เจ้าพนักงานคุมประพฤติได้แนะนำและคอยตักเตือนจำเลยเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง และให้จำเลยไปรักษาความบกพร่องทางจิตเป็นประจำตามที่แพทย์กำหนด

ฝ่ายโจทก์ไม่ยอม ยังสู้กันถึงศาลฎีกา

ล่าสุด ศาลฎีกาพิพากษา โดยศาลพิเคราะห์จากสภาพแวดล้อมเห็นว่าก่อนเกิดเหตุโจทก์ยังมีการเสพยาตามรายงานประวัติของแพทย์โจทก์เสพยาเสพติดหลายชนิดตั้งแต่อายุ 17ปี ประกอบกับบิดายังให้โจทก์ขับรถ จึงถือเป็นพฤติกรรมร้ายแรง แก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำคุก 2 ปี 1 เดือน

ซึ่งคดีนี้ถือว่าถึงที่สุดแล้ว หลังจากนี้ก็ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล และขอให้ทั้ง 2 ฝ่าย อโหสิกรรมให้กัน และในฐานะทนายความ พอใจกับคำพิพากษาของศาลวันนี้

ด้านนางสาวสุชีรา อินทร์สุวรรณ์ กล่าวด้วยความรู้สึกภูมิใจที่ต่อสู้กับเรื่องนี้มานาน และทำได้เท่าที่ในฐานะที่ลูกคนนี้จะทำให้คนเป็นแม่ได้

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่