"" ""
ผมออกตามหาขุมสมบัติรายนี้มาเกือบสิบปีแล้ว หลังจากได้รับหลักฐานชิ้นสำคัญจากเพื่อนที่เป็นพ่อค้าของเก่าชาวอินเดียว่ามีขุนโจร
ชาวพม่าคนหนึ่งนามว่า “ มินอลองคยา ” ได้ลักลอบขโมยทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลออกมาจากพระบรมมหาราชวังของอดีตกษัตริย์พม่าใน
ช่วงเวลาที่ประเทศพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ก่อนถึงการล่มสลายของระบอบกษัตริย์เพียงไม่กี่ปี โดยขุนโจรมินอลองคยาได้แอบลักลอบ
นำมันเข้ามาหลบซ่อนไว้ในประเทศสยามในช่วงนั้น
ช่วงสามปีแรกผมออกเดินทางไปทั่วทั้งประเทศพม่าและอินเดียบางส่วนทำตัวเป็นพ่อค้าของเก่า ร่วมทางไปกับเพื่อนชาวอินเดีย ราจีฟ
ชางการ์ เพื่อพิสูจน์และรวบรวมหาหลักฐานต่างๆจากหลักฐานชิ้นสำคัญ คือวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งที่เขาค้นพบในประเทศอินเดียว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง
กันจริงหรือไม่กับหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในกรุงเทพฯ และค้นหาประวัติของขุนโจรมินอลองคยา ว่ามีตัวตนจริงหรือ
ไม่และความเป็นไปได้ทุกทางที่เขาจะสามารถแอบเข้าไปขโมยทรัพย์สมบัติถึงในพระราชวัง แล้วยังแอบลักลอบนำมันเข้ามาในสยามประเทศ
จริงหรือไม่
หลังจากเดินทางรวบรวมหลักฐานอยู่สามปีกว่า ผมพบเหตุผลที่น่าเชื่อถือได้แน่นอนว่า ขุนโจรมินอลองคยามีตัวตนอยู่จริงในช่วงเวลาที่
ประเทศพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ และเขาก็เป็นขุนโจรที่เก่งฉกาจอย่างมากในช่วงนั้น ก่อนที่ประเทศพม่าจะต้องสูญสิ้นระบอบกษัตริย์
เป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองตกอยู่ในความระส่ำระสายสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก พระเจ้าสีป่อและพระมเหสี ต่างต้องลี้ภัยไปยังอินเดีย ทำให้
พระราชวังไร้เวรยามง่ายต่อการเข้าไปโจรกรรมทรัพย์สมบัติได้อย่างไม่อยากเย็นนัก และผมยังพบภาพถ่ายเก่าๆบันทึกเรื่องราวต่างๆและได้พูด
คุยกับบรรดาเหล่าลูกหลานหลายคนของผู้ที่เคยแอบเข้าไปขโมยทรัพย์สมบัติในพระราชวังร่วมกับขุนโจรมินอลองคยา พวกเขาต่างเล่าให้ฟังใน
ทำนองเดียวกันว่า ขุนโจรมินอลองคยา ได้ลักลอบขโมยทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลออกมาจากพระราชวังจริง และมีทางเป็นไปได้ว่าเขาได้นำ
มันแอบเข้ามาหลบซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งในประเทศสยามในช่วงนั้นจริงๆ
..................................................................................
ปีที่สี่ห้าและหก ผมเดินทางกลับมายังเมืองไทย ยังคงทำตัวเป็นพ่อค้าของเก่าเดินทางไปทั่วประเทศ เพื่อค้นหาเส้นทางการลักลอบนำ
สมบัติจำนวนมหาศาลเข้ามายังประเทศสยามในช่วงนั้นของขุนโจรมินอลองคยา ผมใช้เวลาสืบเสาะค้นหาอยู่อีกสามปีกว่า จึงค้นพบเส้นทาง
และวิธีการที่เขาลักลอบนำสมบัติเข้ามาซ่อนไว้ และยังสืบพบอีกว่าเขาได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวสยามคนหนึ่งและใช้ชีวิตร่วมกันกับเธอจนเขา
สิ้นชีวิต โดยทิ้งเธอและลูกชายคนหนึ่งไว้พร้อมกับทรัพย์สินอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งในบรรดาเหล่าทรัพย์สินเหล่านั้น รวมถึงกำไลข้อมือเนื้อ
สำริดโบราณชิ้นหนึ่งที่ตอนนี้ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในกรุงเทพฯ ซึ่งมีลักษณะคู่เคียงกันกับกำไลข้อมือเนื้อสำริดโบราณอีก
ชิ้นหนึ่งที่ผมได้มาแต่แรกจาก ราจิฟ ชางการ์ เพื่อนพ่อค้าของเก่าชาวอินเดีย
กำไลข้อมือสำริดชิ้นนี้มีลักษณะแปลกประหลาดอยู่จริงๆ หลังจากที่เคยเพียงแต่มองผ่านๆว่ามันเป็นแค่หลักฐานชิ้นหนึ่งของการมีอยู่ของ
ขุมสมบัติเหล่านั้น แต่เมื่อผ่านเวลามาเกือบเจ็ดปีผ่านการเดินทางค้นหามายาวนานหลากหลายเรื่องราว ผมหยิบมันขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งอย่าง
ตั้งใจลองเลื่อนมันหมุนไปมาตามรอบวงหาข้อต่อ ลองบิดมันไปมาในทิศทางต่างๆ อยู่นานหลายครั้ง ก็ประสบความสำเร็จ เมื่อบิดมันหักครึ่งเข้า
หาตัวเองเพียงแค่เบาๆแล้วรอเวลาช่วงหนึ่งก่อนบิดมันกลับที่เดิมจึงเห็นรอยต่อจางๆเมื่อค่อยๆดึงมันออกจากกัน ปรากฏว่าภายในห่วงของกำไล
ข้อมือสามารถซ่อนเอกสารที่ถูกม้วนจนเล็กสอดเอาไว้ได้ฉบับหนึ่ง
ผมดึงม้วนเอกสารเก่าๆที่ซ่อนอยู่ในกำไลข้อมือสำริดโบราณออกมาคลี่ออกดู กลับปรากฏตัวอักษรโบราณแปลกๆที่อ่านไม่เข้าใจ สั้นๆชุด
หนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำคัญเพราะผมไม่ได้ต้องการรู้ความหมายของข้อความที่ซ่อนอยู่เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ผมแค่ต้องการรู้เพียงว่ากำไล
สำริดชิ้นนี้สามารถซ่อนม้วนกระดาษเล็กๆไว้ได้เท่านั้นเอง เพราะเมื่อกำไลชิ้นนี้สามารถซ่อนเอกสารอะไรไว้ได้ก็ตาม แสดงว่ากำไลอีกชิ้นหนึ่ง
ซึ่งมีลักษณะคู่เคียงกันย่อมสามารถซ่อนเอกสารไว้ได้เช่นเดียวกัน และแม้กระทั่งผมยังสามารถค้นหาที่ซ่อนเอกสารในกำไลได้โดยใช้เวลาเพียง
ไม่นาน นับประสาอะไรกับขุนโจรผู้ยิ่งใหญ่หรือเขาจะไม่สามารถค้นพบที่ซ่อนเอกสารในกำไลข้อมือชิ้นนี้ได้เช่นกัน นั่นแสดงว่าในกำไลข้อมือ
อีกชิ้นหนึ่งที่ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อาจมีเอกสารสำคัญของขุนโจรมินอลองคยาซ่อนไว้ก็เป็นได้ ซึ่งนั่นอาจหมายถึง
ลายแทงขุมสมบัติที่เขาขโมยมาก็เป็นได้ ผมยิ้มให้ตัวเองในที่สุดหลังจากใช้เวลาหลายปีผมก็เข้าใกล้ขุมสมบัติรายนี้เข้าไปทุกทีแล้ว
แต่น่าเสียดายเหลือเกิน ทั้งๆที่ผมวางแผนการจะขโมยกำไลข้อมือชิ้นนั้นจากพิพิธภัณฑ์ไว้แล้วเป็นอย่างดี แต่ก่อนการลงมือเพียงไม่กี่วัน
ผมกลับต้องแพ้ภัยตัวเองเมื่อถูกกำลังตำรวจบุกเข้าจับกุมโดยไม่ทันตั้งตัว วัตถุโบราณหลายชิ้นที่ผมรับซื้อมากลับกลายเป็นของที่ถูกโจรกรรม
มา และมันทำให้ผมถูกตัดสินโทษจำคุกหลายสิบปี และไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสได้ออกไปตามหาขุมสมบัติรายนี้อีกต่อไปหรือไม่ เพราะตอนนี้โรค
ภัยไข้เจ็บต่างๆก็ยังรุมเข้ามาทำร้ายผมอีก ทำไมฟ้าถึงกลั่นแกล้งผมได้ถึงเพียงนี้
“ ท้ายที่สุดนี้ หากคุณพบสมุดบันทึกเล่มนี้แสดงว่า ผมได้จากโลกนี้ไปแล้วและถ้าหากเป็นไปได้ผมอยากให้คุณช่วยตามหาขุมสมบัติราย
นี้ให้เจอ เพื่อที่จะได้ช่วยผมเขียนเรื่องราวให้จบและนอนตายตาหลับได้สักที ”
“ ด้วยความหวัง ”
.....................................
เหล่านี้คือเรื่องราวคร่าวๆทั้งหมดโดยสรุปที่ถูกเขียนไว้ในสมุดบันทึกเล่มเก่าๆซึ่งบางหน้าบางตอนก็ขาดหายไปที่ ศรัณย์ ค้นเจอโดย
บังเอิญในห้องสมุดรกร้างของเรือนจำที่มีการควบคุมแน่นหนาที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ มันถูกซ่อนไว้รวมกับกองหนังสือเก่าๆที่ไม่มีใครสนใจ
.........................................................................................................
มีต่อ ...
โปลิศจับขโมย .... ( ตอน ๕ ... ข้อความบนข้างฝา )
ผมออกตามหาขุมสมบัติรายนี้มาเกือบสิบปีแล้ว หลังจากได้รับหลักฐานชิ้นสำคัญจากเพื่อนที่เป็นพ่อค้าของเก่าชาวอินเดียว่ามีขุนโจร
ชาวพม่าคนหนึ่งนามว่า “ มินอลองคยา ” ได้ลักลอบขโมยทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลออกมาจากพระบรมมหาราชวังของอดีตกษัตริย์พม่าใน
ช่วงเวลาที่ประเทศพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ก่อนถึงการล่มสลายของระบอบกษัตริย์เพียงไม่กี่ปี โดยขุนโจรมินอลองคยาได้แอบลักลอบ
นำมันเข้ามาหลบซ่อนไว้ในประเทศสยามในช่วงนั้น
ช่วงสามปีแรกผมออกเดินทางไปทั่วทั้งประเทศพม่าและอินเดียบางส่วนทำตัวเป็นพ่อค้าของเก่า ร่วมทางไปกับเพื่อนชาวอินเดีย ราจีฟ
ชางการ์ เพื่อพิสูจน์และรวบรวมหาหลักฐานต่างๆจากหลักฐานชิ้นสำคัญ คือวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งที่เขาค้นพบในประเทศอินเดียว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง
กันจริงหรือไม่กับหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในกรุงเทพฯ และค้นหาประวัติของขุนโจรมินอลองคยา ว่ามีตัวตนจริงหรือ
ไม่และความเป็นไปได้ทุกทางที่เขาจะสามารถแอบเข้าไปขโมยทรัพย์สมบัติถึงในพระราชวัง แล้วยังแอบลักลอบนำมันเข้ามาในสยามประเทศ
จริงหรือไม่
หลังจากเดินทางรวบรวมหลักฐานอยู่สามปีกว่า ผมพบเหตุผลที่น่าเชื่อถือได้แน่นอนว่า ขุนโจรมินอลองคยามีตัวตนอยู่จริงในช่วงเวลาที่
ประเทศพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ และเขาก็เป็นขุนโจรที่เก่งฉกาจอย่างมากในช่วงนั้น ก่อนที่ประเทศพม่าจะต้องสูญสิ้นระบอบกษัตริย์
เป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองตกอยู่ในความระส่ำระสายสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก พระเจ้าสีป่อและพระมเหสี ต่างต้องลี้ภัยไปยังอินเดีย ทำให้
พระราชวังไร้เวรยามง่ายต่อการเข้าไปโจรกรรมทรัพย์สมบัติได้อย่างไม่อยากเย็นนัก และผมยังพบภาพถ่ายเก่าๆบันทึกเรื่องราวต่างๆและได้พูด
คุยกับบรรดาเหล่าลูกหลานหลายคนของผู้ที่เคยแอบเข้าไปขโมยทรัพย์สมบัติในพระราชวังร่วมกับขุนโจรมินอลองคยา พวกเขาต่างเล่าให้ฟังใน
ทำนองเดียวกันว่า ขุนโจรมินอลองคยา ได้ลักลอบขโมยทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลออกมาจากพระราชวังจริง และมีทางเป็นไปได้ว่าเขาได้นำ
มันแอบเข้ามาหลบซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งในประเทศสยามในช่วงนั้นจริงๆ
..................................................................................
ปีที่สี่ห้าและหก ผมเดินทางกลับมายังเมืองไทย ยังคงทำตัวเป็นพ่อค้าของเก่าเดินทางไปทั่วประเทศ เพื่อค้นหาเส้นทางการลักลอบนำ
สมบัติจำนวนมหาศาลเข้ามายังประเทศสยามในช่วงนั้นของขุนโจรมินอลองคยา ผมใช้เวลาสืบเสาะค้นหาอยู่อีกสามปีกว่า จึงค้นพบเส้นทาง
และวิธีการที่เขาลักลอบนำสมบัติเข้ามาซ่อนไว้ และยังสืบพบอีกว่าเขาได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวสยามคนหนึ่งและใช้ชีวิตร่วมกันกับเธอจนเขา
สิ้นชีวิต โดยทิ้งเธอและลูกชายคนหนึ่งไว้พร้อมกับทรัพย์สินอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งในบรรดาเหล่าทรัพย์สินเหล่านั้น รวมถึงกำไลข้อมือเนื้อ
สำริดโบราณชิ้นหนึ่งที่ตอนนี้ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในกรุงเทพฯ ซึ่งมีลักษณะคู่เคียงกันกับกำไลข้อมือเนื้อสำริดโบราณอีก
ชิ้นหนึ่งที่ผมได้มาแต่แรกจาก ราจิฟ ชางการ์ เพื่อนพ่อค้าของเก่าชาวอินเดีย
กำไลข้อมือสำริดชิ้นนี้มีลักษณะแปลกประหลาดอยู่จริงๆ หลังจากที่เคยเพียงแต่มองผ่านๆว่ามันเป็นแค่หลักฐานชิ้นหนึ่งของการมีอยู่ของ
ขุมสมบัติเหล่านั้น แต่เมื่อผ่านเวลามาเกือบเจ็ดปีผ่านการเดินทางค้นหามายาวนานหลากหลายเรื่องราว ผมหยิบมันขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งอย่าง
ตั้งใจลองเลื่อนมันหมุนไปมาตามรอบวงหาข้อต่อ ลองบิดมันไปมาในทิศทางต่างๆ อยู่นานหลายครั้ง ก็ประสบความสำเร็จ เมื่อบิดมันหักครึ่งเข้า
หาตัวเองเพียงแค่เบาๆแล้วรอเวลาช่วงหนึ่งก่อนบิดมันกลับที่เดิมจึงเห็นรอยต่อจางๆเมื่อค่อยๆดึงมันออกจากกัน ปรากฏว่าภายในห่วงของกำไล
ข้อมือสามารถซ่อนเอกสารที่ถูกม้วนจนเล็กสอดเอาไว้ได้ฉบับหนึ่ง
ผมดึงม้วนเอกสารเก่าๆที่ซ่อนอยู่ในกำไลข้อมือสำริดโบราณออกมาคลี่ออกดู กลับปรากฏตัวอักษรโบราณแปลกๆที่อ่านไม่เข้าใจ สั้นๆชุด
หนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำคัญเพราะผมไม่ได้ต้องการรู้ความหมายของข้อความที่ซ่อนอยู่เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ผมแค่ต้องการรู้เพียงว่ากำไล
สำริดชิ้นนี้สามารถซ่อนม้วนกระดาษเล็กๆไว้ได้เท่านั้นเอง เพราะเมื่อกำไลชิ้นนี้สามารถซ่อนเอกสารอะไรไว้ได้ก็ตาม แสดงว่ากำไลอีกชิ้นหนึ่ง
ซึ่งมีลักษณะคู่เคียงกันย่อมสามารถซ่อนเอกสารไว้ได้เช่นเดียวกัน และแม้กระทั่งผมยังสามารถค้นหาที่ซ่อนเอกสารในกำไลได้โดยใช้เวลาเพียง
ไม่นาน นับประสาอะไรกับขุนโจรผู้ยิ่งใหญ่หรือเขาจะไม่สามารถค้นพบที่ซ่อนเอกสารในกำไลข้อมือชิ้นนี้ได้เช่นกัน นั่นแสดงว่าในกำไลข้อมือ
อีกชิ้นหนึ่งที่ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อาจมีเอกสารสำคัญของขุนโจรมินอลองคยาซ่อนไว้ก็เป็นได้ ซึ่งนั่นอาจหมายถึง
ลายแทงขุมสมบัติที่เขาขโมยมาก็เป็นได้ ผมยิ้มให้ตัวเองในที่สุดหลังจากใช้เวลาหลายปีผมก็เข้าใกล้ขุมสมบัติรายนี้เข้าไปทุกทีแล้ว
แต่น่าเสียดายเหลือเกิน ทั้งๆที่ผมวางแผนการจะขโมยกำไลข้อมือชิ้นนั้นจากพิพิธภัณฑ์ไว้แล้วเป็นอย่างดี แต่ก่อนการลงมือเพียงไม่กี่วัน
ผมกลับต้องแพ้ภัยตัวเองเมื่อถูกกำลังตำรวจบุกเข้าจับกุมโดยไม่ทันตั้งตัว วัตถุโบราณหลายชิ้นที่ผมรับซื้อมากลับกลายเป็นของที่ถูกโจรกรรม
มา และมันทำให้ผมถูกตัดสินโทษจำคุกหลายสิบปี และไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสได้ออกไปตามหาขุมสมบัติรายนี้อีกต่อไปหรือไม่ เพราะตอนนี้โรค
ภัยไข้เจ็บต่างๆก็ยังรุมเข้ามาทำร้ายผมอีก ทำไมฟ้าถึงกลั่นแกล้งผมได้ถึงเพียงนี้
“ ท้ายที่สุดนี้ หากคุณพบสมุดบันทึกเล่มนี้แสดงว่า ผมได้จากโลกนี้ไปแล้วและถ้าหากเป็นไปได้ผมอยากให้คุณช่วยตามหาขุมสมบัติราย
นี้ให้เจอ เพื่อที่จะได้ช่วยผมเขียนเรื่องราวให้จบและนอนตายตาหลับได้สักที ”
“ ด้วยความหวัง ”
.....................................
เหล่านี้คือเรื่องราวคร่าวๆทั้งหมดโดยสรุปที่ถูกเขียนไว้ในสมุดบันทึกเล่มเก่าๆซึ่งบางหน้าบางตอนก็ขาดหายไปที่ ศรัณย์ ค้นเจอโดย
บังเอิญในห้องสมุดรกร้างของเรือนจำที่มีการควบคุมแน่นหนาที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ มันถูกซ่อนไว้รวมกับกองหนังสือเก่าๆที่ไม่มีใครสนใจ
.........................................................................................................
มีต่อ ...