คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
กลับเข้ามาตอบอีกครั้งนะคะ เราเดาถูกว่าคุณหมอกำลังเรียนต่ออยู่ และเป็นสาขาที่งานยุ่งที่สุด
จบมาแล้วจะมีเวลามากขึ้นแน่นอนค่ะ ชีวิตของหมออายุรกรรม ทำงานตามเวลาราชการค่ะ มีบ้างที่ต้องอยู่เกินเวลาแต่จะไม่ถึงขนาดสามสี่ทุ่มก็ยังไม่เจอหน้ากัน เรื่องเวรนอกเวลาก็อย่างที่บอกไปแล้วค่ะ ถ้าจบมาอยู่ใน รพ.ใหญ่หน่อยมีหมอสาขาเดียวกันเยอะ เวรก็ไม่มากค่ะ แต่ถ้าอยู่ รพ.ที่หมอสาขาเดียวกันสองหรือสามคน เวรก็มากหน่อย
ช่วงเวลาเรียนต่อคือช่วงเวลาที่ยุ่งที่สุดในชีวิตแล้วค่ะ ไม่ใช่ช่วงที่งานเยอะที่สุดหรือว่าความรับผิดชอบเยอะที่สุด แต่ว่ายุ่งที่สุด เหตุผลก็คือเพราะคุณหมอกลับเข้าไปอยู่ในระบบการศึกษาอีกครั้งค่ะ จึงไม่สามารถจะจัดการเวลาได้ด้วยตัวเองคนเดียว ถ้าหมอรุ่นพี่ดูคนไข้ไม่จบ รุ่นน้องก็ไปก่อนไม่ได้ค่ะ แล้วไหนจะกิจกรรมวิชาการต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้เวลากับมันน่าดูเลยค่ะ ทำคอนเฟอเร้นออกมาไม่ดีก็มีปัญหาอีก
แต่ถ้าจบแล้ว งานเยอะก็จริง ความรับผิดชอบเยอะก็จริง แต่ว่าเวลาขึ้นกับเราเป็นส่วนใหญ่ค่ะ ดูคนไข้สิบคนเท่ากันและได้ผลออกมาเหมือนกัน ตอนเรียนใช้เวลาเยอะกว่ามาก เพราะเป็นการเรียนไงคะ
ช่วงเวลาเรียนต่อเป็นช่วงที่เหนื่อยค่ะ เหนื่อยกายและเหนื่อยใจ เราเข้าใจว่าคุณน้อยใจและอยากให้คนที่คุณรักมาคอยดูแลบ้าง แต่ช่วงเรียนต่อก็เหมือนช่วงซื้ออนาคตนั่นแหละค่ะ ลำบากตอนนี้เพื่ออนาคตของคุณทั้งสองคน ให้กำลังใจตัวเองและใ้ห้กำลังใจคนที่คุณรักมาก ๆ นะคะ เพราะเขาเองก็เหนื่อยไม่แพ้กับคุณเลยเหมือนกัน หลายคู่เลิกกันในช่วงเรียนต่อเพราะเรื่องของเวลาค่ะ แต่เรากล้าบอกได้เลยว่าถ้าคุณผ่านช่วงนี้ไปได้ หลังจากนี้มันจะไม่แย่แบบนี้แน่นอนค่ะ
จบมาแล้วจะมีเวลามากขึ้นแน่นอนค่ะ ชีวิตของหมออายุรกรรม ทำงานตามเวลาราชการค่ะ มีบ้างที่ต้องอยู่เกินเวลาแต่จะไม่ถึงขนาดสามสี่ทุ่มก็ยังไม่เจอหน้ากัน เรื่องเวรนอกเวลาก็อย่างที่บอกไปแล้วค่ะ ถ้าจบมาอยู่ใน รพ.ใหญ่หน่อยมีหมอสาขาเดียวกันเยอะ เวรก็ไม่มากค่ะ แต่ถ้าอยู่ รพ.ที่หมอสาขาเดียวกันสองหรือสามคน เวรก็มากหน่อย
ช่วงเวลาเรียนต่อคือช่วงเวลาที่ยุ่งที่สุดในชีวิตแล้วค่ะ ไม่ใช่ช่วงที่งานเยอะที่สุดหรือว่าความรับผิดชอบเยอะที่สุด แต่ว่ายุ่งที่สุด เหตุผลก็คือเพราะคุณหมอกลับเข้าไปอยู่ในระบบการศึกษาอีกครั้งค่ะ จึงไม่สามารถจะจัดการเวลาได้ด้วยตัวเองคนเดียว ถ้าหมอรุ่นพี่ดูคนไข้ไม่จบ รุ่นน้องก็ไปก่อนไม่ได้ค่ะ แล้วไหนจะกิจกรรมวิชาการต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้เวลากับมันน่าดูเลยค่ะ ทำคอนเฟอเร้นออกมาไม่ดีก็มีปัญหาอีก
แต่ถ้าจบแล้ว งานเยอะก็จริง ความรับผิดชอบเยอะก็จริง แต่ว่าเวลาขึ้นกับเราเป็นส่วนใหญ่ค่ะ ดูคนไข้สิบคนเท่ากันและได้ผลออกมาเหมือนกัน ตอนเรียนใช้เวลาเยอะกว่ามาก เพราะเป็นการเรียนไงคะ
ช่วงเวลาเรียนต่อเป็นช่วงที่เหนื่อยค่ะ เหนื่อยกายและเหนื่อยใจ เราเข้าใจว่าคุณน้อยใจและอยากให้คนที่คุณรักมาคอยดูแลบ้าง แต่ช่วงเรียนต่อก็เหมือนช่วงซื้ออนาคตนั่นแหละค่ะ ลำบากตอนนี้เพื่ออนาคตของคุณทั้งสองคน ให้กำลังใจตัวเองและใ้ห้กำลังใจคนที่คุณรักมาก ๆ นะคะ เพราะเขาเองก็เหนื่อยไม่แพ้กับคุณเลยเหมือนกัน หลายคู่เลิกกันในช่วงเรียนต่อเพราะเรื่องของเวลาค่ะ แต่เรากล้าบอกได้เลยว่าถ้าคุณผ่านช่วงนี้ไปได้ หลังจากนี้มันจะไม่แย่แบบนี้แน่นอนค่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 16
เราเป็นหมอค่ะ
หมอผ่าตัด
ตั้งแต่เข้าเรียนหมอ จนถึงตอนนี้
แม้แต่พ่อ กับแม่ เรายังไม่ค่อยได้กลับไปดูแลเลยค่ะ
แม้แต่ตัวเราเองก็เถอะ แม้จะป่วย ตราบที่ยังเดินไหว ก็จะไปทำงานค่ะ ไปแบบป่วยๆ นั่นแหละ
ต้องเลิกกับแฟนไปก็เพราะเรื่องเวลา เค้าไม่ใช่หมอ ถึงเค้าจะเข้าใจ แต่เรารู้สึกว่าเราเอาเปรียบเค้า เราเลยขอเลิก
คนที่ไม่ใช่หมอ .....แต่เข้าใจและยอมรับได้กับชีวิตของหมอจริงๆ เราว่ามีแต่พ่อกับแม่เท่านั้นแหละค่ะ
ขอบคุณ และรักท่านเสมอ ที่เข้าใจ และยอมรับในสิ่งที่เราทำ
หวังว่าอีกไม่นาน จะได้มีโอกาสย้ายกลับไปอยู่ใกล้ๆ เพื่อดูแลพวกท่านซักที่
หมอผ่าตัด
ตั้งแต่เข้าเรียนหมอ จนถึงตอนนี้
แม้แต่พ่อ กับแม่ เรายังไม่ค่อยได้กลับไปดูแลเลยค่ะ
แม้แต่ตัวเราเองก็เถอะ แม้จะป่วย ตราบที่ยังเดินไหว ก็จะไปทำงานค่ะ ไปแบบป่วยๆ นั่นแหละ
ต้องเลิกกับแฟนไปก็เพราะเรื่องเวลา เค้าไม่ใช่หมอ ถึงเค้าจะเข้าใจ แต่เรารู้สึกว่าเราเอาเปรียบเค้า เราเลยขอเลิก
คนที่ไม่ใช่หมอ .....แต่เข้าใจและยอมรับได้กับชีวิตของหมอจริงๆ เราว่ามีแต่พ่อกับแม่เท่านั้นแหละค่ะ
ขอบคุณ และรักท่านเสมอ ที่เข้าใจ และยอมรับในสิ่งที่เราทำ
หวังว่าอีกไม่นาน จะได้มีโอกาสย้ายกลับไปอยู่ใกล้ๆ เพื่อดูแลพวกท่านซักที่
ความคิดเห็นที่ 27
เราเคยเดทกับหมอ 3 คน ปัจจุบันแต่งงานกันหมอโรคมะเร็ง เราว่าหมอแต่ละคนก็มีคาเเรคเตอร์ต่างกัน เพราะช่วงเวลาตอนเรียน,ใช้ทุน,ทำงาน มันไม่เหมือนกัน ยิ่งพื้นฐานนิสัยไม่เหมือนกันก็เอามาเทียบกันไม่ได้ แต่ทุกคนที่คบมามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ "ไม่มีเวลา"
-หมอคนแรกคบกันตอนเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่ต่างจังหวัดใกล้กทม. ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศนานเกิน 3 วัน เพราะ รพ.มีหมออยู่ 2 คน ลางานนานไม่ได้ วันธรรมดาพอมีเวลาว่างบ้างเย็นๆได้ทานข้าวกันบ้าง แต่พอมาเรียนต่อเฉพาะทางแล้วอยู่แต่ในรพ.ตลอด ไม่มีเวลาจริงๆเลยได้เลิกกัน คืออยากเจอกันต้องไปหาในรพ.หรือแถวสยาม, CTW เพราะรพ.อยู่แถวนั้น แถมมีเรื่องผู้หญิงอื่นเข้ามาเกี่ยวอีก คบกันมา 3 ปี มาใช้ทุนได้ไม่ถึง 6 เดือนเลิกกันเลยค่ะ
-หมอคนที่2 เป็นอาจารย์หมอผ่าตัด อายุมากกว่าเราประมาณ 10 ปี ใจดีมากค่ะ แต่พอมีชื่อเสียงก็มีคนไข้ตามเยอะมาก เคยขับรถไปทานข้าวที่พัทยา ไปถึงร้านยังไม่ได้สั่งอะไร โดนตามจากรพ. ต้องขับรถกลับมาดูเลยค่ะ คือก็เข้าใจนะคะว่าเคสด่วน แต่อาจารย์ขับประมาณ 180 เรากลัวจะโดนผ่าเสียเองเรย พวกหมอนี่ขับรถเร็วนะคะ แต่คนนี้ขับเร็วที่สุดแล้วอ่ะค่ะ
-หมอคนที่ 3 คือสามี เจอกันตอนที่สามียังเรียนเฉพาะทาง เป็นหมอที่ใจดีมาก เอาใจใส่คนไข้ โดยเฉพาะเป็นคนไข้โรคมะเร็งต้องดูแลใกล้ชิดและมีเวลาคุยด้วย ตอนเรียนว่าไม่มีเวลาต้องดูคนไข้และอ่านหนังสือสอบบอร์ด เจอตอนทำงานเข้าไปคุณจะนึกไม่ถึงเลยทีเดียวว่าไม่มีเวลาเนี่ยมันเป็นแบบไหน บังเอิญอยู่รพ.รัฐด้วยเลยต้องทำเอกชนคู่ไปด้วยเพราะไม่พอใช้ สรุปทำงาน 6 วันครึ่ง คือว่างแค่บ่ายวันอาทิตย์ วันธรรมดา 2 ทุ่มถึงได้ออกจากรพ. บางทีคนไข้เยอะก็ 4 ทุ่ม เป็นอย่างนี้ตลอดชีวิตที่แต่งงานกันมา 2 ปีแล้ว และคงยังเป็นแบบนี้ต่อแน่นอน
แต่ ถ้าคุณเจอคนไข้ของแฟน ที่มายกมือไหว้ขอบคุณถึงแม้จะรักษาไม่หาย (บางทีต้องไปงานศพคนไข้ด้วย) คนไข้เอาอาหาร, ขนม, ผลไม้ปลูกเอง, ต้นไม้ดอกไม้ เอามาให้เพราะรักหมอ เห็นเหมือนเป็นลูกหลาน คนไข้ 2-3 คนมางานแต่งงานของเราด้วย คุณจะมีความสุข ความอิ่มเอมใจ จะไม่เหนื่อยไม่หงุดหงิดไม่หิวไม่งอนเรื่องไม่มีเวลาให้อีกเลยค่ะ เพราะคุณได้สามีที่เป็นคนดี รักครอบครัว รักในวิชาชีพ และคุณจะภูมิใจในตัวเขาค่ะ
-หมอคนแรกคบกันตอนเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่ต่างจังหวัดใกล้กทม. ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศนานเกิน 3 วัน เพราะ รพ.มีหมออยู่ 2 คน ลางานนานไม่ได้ วันธรรมดาพอมีเวลาว่างบ้างเย็นๆได้ทานข้าวกันบ้าง แต่พอมาเรียนต่อเฉพาะทางแล้วอยู่แต่ในรพ.ตลอด ไม่มีเวลาจริงๆเลยได้เลิกกัน คืออยากเจอกันต้องไปหาในรพ.หรือแถวสยาม, CTW เพราะรพ.อยู่แถวนั้น แถมมีเรื่องผู้หญิงอื่นเข้ามาเกี่ยวอีก คบกันมา 3 ปี มาใช้ทุนได้ไม่ถึง 6 เดือนเลิกกันเลยค่ะ
-หมอคนที่2 เป็นอาจารย์หมอผ่าตัด อายุมากกว่าเราประมาณ 10 ปี ใจดีมากค่ะ แต่พอมีชื่อเสียงก็มีคนไข้ตามเยอะมาก เคยขับรถไปทานข้าวที่พัทยา ไปถึงร้านยังไม่ได้สั่งอะไร โดนตามจากรพ. ต้องขับรถกลับมาดูเลยค่ะ คือก็เข้าใจนะคะว่าเคสด่วน แต่อาจารย์ขับประมาณ 180 เรากลัวจะโดนผ่าเสียเองเรย พวกหมอนี่ขับรถเร็วนะคะ แต่คนนี้ขับเร็วที่สุดแล้วอ่ะค่ะ
-หมอคนที่ 3 คือสามี เจอกันตอนที่สามียังเรียนเฉพาะทาง เป็นหมอที่ใจดีมาก เอาใจใส่คนไข้ โดยเฉพาะเป็นคนไข้โรคมะเร็งต้องดูแลใกล้ชิดและมีเวลาคุยด้วย ตอนเรียนว่าไม่มีเวลาต้องดูคนไข้และอ่านหนังสือสอบบอร์ด เจอตอนทำงานเข้าไปคุณจะนึกไม่ถึงเลยทีเดียวว่าไม่มีเวลาเนี่ยมันเป็นแบบไหน บังเอิญอยู่รพ.รัฐด้วยเลยต้องทำเอกชนคู่ไปด้วยเพราะไม่พอใช้ สรุปทำงาน 6 วันครึ่ง คือว่างแค่บ่ายวันอาทิตย์ วันธรรมดา 2 ทุ่มถึงได้ออกจากรพ. บางทีคนไข้เยอะก็ 4 ทุ่ม เป็นอย่างนี้ตลอดชีวิตที่แต่งงานกันมา 2 ปีแล้ว และคงยังเป็นแบบนี้ต่อแน่นอน
แต่ ถ้าคุณเจอคนไข้ของแฟน ที่มายกมือไหว้ขอบคุณถึงแม้จะรักษาไม่หาย (บางทีต้องไปงานศพคนไข้ด้วย) คนไข้เอาอาหาร, ขนม, ผลไม้ปลูกเอง, ต้นไม้ดอกไม้ เอามาให้เพราะรักหมอ เห็นเหมือนเป็นลูกหลาน คนไข้ 2-3 คนมางานแต่งงานของเราด้วย คุณจะมีความสุข ความอิ่มเอมใจ จะไม่เหนื่อยไม่หงุดหงิดไม่หิวไม่งอนเรื่องไม่มีเวลาให้อีกเลยค่ะ เพราะคุณได้สามีที่เป็นคนดี รักครอบครัว รักในวิชาชีพ และคุณจะภูมิใจในตัวเขาค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ลังเลใจเรื่องการแต่งงานกับหมอ
หากคิดว่าไม่เกี่ยวข้อง ต้องขออภัยด้วยและจะทำการลบกระทู้ค่ะ
เรากับแฟนคบกันมาห้าปีแล้วค่ะ วางแผนจะแต่งงานกันในอีกสองสามปีข้างหน้า
ตั้งแต่แรกที่คบกันเค้าก็บอกเราแล้วว่า เค้าเป็นหมอนะ อาจจะไม่ค่อยมีเวลา ตอนนั้นเราตอบไปว่า เราโอเค เราอยู่ได้ มีอะไรให้ทำเยอะแยะ (เราไม่ได้ชอบนะคะ เพียงแต่คิดว่า มันคงไม่ได้แย่มาก และเราก็มีงานเยอะ มีกิจกรรมวุ่นวายอยู่สมควร ไม่ได้ต้องการอยู่กับแฟนตลอดเวลา)
ช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เราเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยว่า คำว่า"ไม่มีเวลา" ในความหมายของเค้าคืออะไร
เวลาเราไม่สบาย ไปทำงานไม่ไหว มีเรื่องไม่สบายใจ อยากให้เค้าอยู่ด้วย ... เค้าไม่สามารถทำได้ ต้องรีบไป บางทีไม่ได้กลับมา เพราะมีคนไข้ ต้องอยู่เวร ฯลฯ ช่วงแรกๆเราก็พยายามบอกตัวเองว่าต้องอดทน ต้องเข้าใจ แต่ลองนึกดูว่าต้องเจอเรื่องแบบนี้มาตลอดระยะเวลาที่คบกัน
(แต่เราก็ดูแลเค้าเท่าที่เราทำได้นะคะ เราทำเองหมด ทั้งงานบ้าน จัดการเรื่องในชีวิตประจำวันให้เค้าทุกอย่าง)
ทุกเรื่องของเรากลายเป็นสำคัญน้อยกว่า "ความเป็นหมอ" ของเค้า จนบางทีเราก็อดคิดไม่ได้ว่า "คงต้องรอเราใกล้ตาย เป็นคนไข้ซะเองล่ะมั้ง เค้าถึงจะเสียสละเวลามาดูแลเราได้บ้าง" เราเป็นฝ่ายรอเค้าตลอด บางทีต้องไปทำธุระด้วยกัน รอเค้าเลิกงานซึ่งช้ากว่าเราสี่ห้าชม. เราก็รอได้นะคะ แต่ไปๆมาๆ คนไข้เยอะ ออกมาไม่ได้ เราก็รอไปอีก สรุปว่าสุดท้ายไปไม่่ทัน เราต้องไปจัดการเองใหม่คนเดียวในวันหลัง เป็นแบบนี้บ่อยมาก
ย้ำอีกครั้ง เราไม่ได้ต้องการเวลาแบบกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง เดินช้อปปิ้งด้วยกันนะคะ เราไปเองได้ ทำเองได้หมด ไม่คิดมากค่ะ ที่เราเสียใจคือเวลาที่เรามีปัญหา ไม่สบาย ต้องการความช่วยเหลือ ต้องการการอยู่เคียงข้างกัน ช่วงเวลานั้นการมีคนรักอยู่ด้วยกัน มันสำคัญมากนะคะ
อีกเรื่อง คือเราไม่เข้าใจสังคมของเค้า เหมือนเราตามไม่ทันสิ่งต่างๆที่เค้าคุยกัน ทั้งที่เราก็มีการศึกษา มีความรู้ แต่เราอึดอัดทุกครั้งที่ต้องอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงที่ก็ล้วนเป็นหมอเหมือนเค้า จนตอนนี้เราเสียความมั่นใจ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก คุยกับใคร (เพื่อนๆของแฟน) ก็ไม่รู้เรื่อง เราไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ปกติเราไม่ใช่คนคุยเก่งก็จริง แต่เราเข้าสังคมได้ไม่เคยมีปัญหา เราเคยไปร่วมวงอยูสองครั้ง แล้วตัดสินใจไม่ไปอีกเลย เค้าก็ไม่ได้ว่าอะไรนะคะ แต่เคยมาพูดแซวเล่นๆประมาณว่า "แฟนคนอื่นไปกันหมดเลยนะ มีเราไม่ยอมไปอยู่คนเดียว" จุดนี้เราก็รู้สึกแย่นะคะที่เข้ากับสังคมของเค้าไม่ได้
สรุปว่าตอนนี้สถานการณ์แย่ลงด้วยเหตุผลสองอย่าง คือ เค้ายุ่งกว่าเดิม ไม่มีเวลามากขึ้น ส่วนเราก็เข้าใจคำว่าไม่มีเวลาของเค้าชัดเจนมากขึ้น ว่าไม่มีเวลานี่ไม่ใช่เฉพาะเวลาอยู่ด้วยกันทั่วๆไปตามประสาคนรัก (ข้อนี้สำหรับเราไม่ได้สำคัญมากค่ะ มีก็ดี ไม่มีก็ไม่เป็นไร) แต่มันรวมไปถึงเวลาสำคัญๆที่อีกฝ่ายอาจจะต้องการความช่วยเหลือ ต้องการกำลังใจ เราอยากให้เค้าทำได้บ้างเฉพาะแค่ตรงนี้ ส่วนเรื่องการเข้าสังคมก็ยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้อยู่เหมือนเดิม
ทุกเรื่องเค้าดีหมด รักเรามาก ซื่อสัตย์ มีความรับผิดชอบ เราเองก็รักเค้ามากเหมือนกัน เราก็อยากบอกเค้าว่าเราภูมิใจในสิ่งที่เค้าทำ
แต่เราก็ทำไม่ได้ เราไม่ชอบสิ่งที่เค้าเป็นอยู่เลยจริงๆ ให้เค้าเลิกเป็นหมอคงไม่ได้ ให้เราเลิกรักเค้า เราก็ทำไม่ได้ ... เราควรทำยังไงดีคะ
บอกตามตรงว่าตอนนี้เราไม่แน่ใจเรื่องการแต่งงานเลย
หลายๆคนอาจจะคิดว่าเราเห็นแก่ตัว ซึ่งเราก็ยอมรับค่ะ ไม่โต้แย้งอะไร แต่อยากให้ลองนึกว่าถ้าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นในชีวิตคุณ คุณจะทำใจยอมรับได้จริงๆมั้ย?
เราเข้าใจนะคะ ว่าความรักต้องมีการเสียสละ เราเองก็เสียสละเรื่องอื่นๆเพื่อเค้าไปแล้วเช่นกัน (เราได้งานจากบริษัทต่างชาติที่รายได้ดี มีโอกาสก้าวหน้่า เป็นงานในด้านที่เราสนใจ เราตัดสินใจไม่ไป เพราะเค้าไม่อยากให้เราไปและเราก็เลือกเค้าแทนความฝัน ความก้าวหน้าของเรา ฯลฯ) แต่จุดที่รับได้ของแต่ละคนมันไม่เท่ากันนะคะ บางคนอาจมีอุดมการณ์ มีจุดที่รับได้มากกว่าเรา เราก็ชื่นชมค่ะ แต่เราคิดว่า การเสียสละและยอมรับได้ มันต้องมาจากใจ ไม่ใช่ถูกกดดันโดยสังคมว่า "คุณต้องเสียสละนะ" คนที่ทำแบบนั้น คุณกำลังกดดันให้คนๆนึงเป็นทุกข์ ยอมรับความทุกข์ โดยที่คุณไม่ได้มีส่วนมาแบกรับความทุกข์ของเค้าด้วยเลย ดังนั้นเราไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองเราว่ายังไงค่ะ เพียงแต่บางเวลาก็อดรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนรักที่ดีพอสำหรับเค้าไม่ได้
ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งที่เข้าใจและรับฟังนะคะ
***เพิ่มเติม (ยกมาจาก comment ที่ 60)***
ขอบคุณทุกความเห็นนะคะ มีคุณหมอเข้ามาตอบเยอะเลย
เรื่องชีวิตของเค้า เราเข้าใจนะคะ เข้าใจดี แต่คำว่าเข้าใจกับยอมรับได้มันต่างกัน ตอนนี้เรายังยอมรับไม่ได้อย่างเต็มใจและมีความสุขไปกับมัน
ถามว่าจะยอมรับได้มั้ย เราก็ยังไม่รู้ ถึงอาศัยความอดทนไปก่อน โดยหวังว่าเราจะทำใจได้ในซักวัน
เรื่องความรัก เรามีค่ะ แต่ให้นึกถึงภาพชีวิตคู่เรานึกไม่ออกเลย ชีวิตคู่ของเรา คือ คนสองคนดููแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน แบ่งเบาภาระ ความสุขความทุกข์ด้วยกัน
อาจจะไม่ใช่ 50:50 แต่ชีวิตคู่กับคุณหมอ เรานึกออกแค่ว่า เราก็ทำอะไรต่างๆไปคนเดียว ตัดสินใจเรื่อง 'ของเรา' ไปคนเดียว มีความสุขร่วมกัน แต่ตอนมีทุกข์ เราก็เผชิญมันไปฝ่ายเดียว เพราะอีกคนไม่ว่าง ไม่มีเวลา ...
เราอาจจะต้องเปลี่ยนตัวเองค่ะ เปลี่ยนทัศนคติ ความคาดหวัง... การเป็นผู้หญิงพิเศษของคนที่เสียสละเพื่อคนอื่นนี่มันไม่ง่ายเลยเนอะ