เผาบ้านเผา
วงค์ ตาวัน
เห็นมุขเสียดสีในคอลัมน์ "ต้องถอน" ที่สร้างความฮาให้ผู้อ่านข่าวสดอยู่เป็นประจำในหน้า 6 แล้ว ต้องขอยืมมาใช้เป็นชื่อเรื่องประจำวันนี้ อันเนื่องจากกรณีมุข "เผาบ้านเผาเมือง" ที่พยายามปลุกขึ้นมาในโค้งสุดท้ายเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.
คือหน้ามืดตามัวกันจนไม่รู้ว่าจะสกัดคะแนนนิยมของผู้สมัครพรรคเพื่อไทยได้อย่างไร
ต้องงัดเรื่องเก่า "เผาบ้านเผาเมือง" ซึ่งเป็นวาทกรรมกลบเกลื่อนเหตุการณ์ "ฆ่าประชาชน 99 ศพ"
หวังจะโจมตีเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ
แต่ผลก็คือ เอแบคโพลล์สำรวจพบว่ากลายเป็นเหตุฉุดคะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ให้ถดถอยห่างจากพล.ต.อ.พงศพัศขึ้นไปอีก
ด้วยเพราะผู้คนเบื่อหน่ายกับการใช้เรื่องนอกประเด็น มาใส่ร้ายป้ายสี
มุข "เผาบ้านเผาเมือง" จึงได้รับการขนานนามใหม่จากคอลัมน์ต้องถอนว่า "เผาบ้านเผา
"
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ลงเอยเป็นการเผาคะแนนของพรรคพวกกันเอง
มีข้อวิเคราะห์ว่า ก่อนหน้านี้มีการใช้วิธีชกใต้เข็มขัดใส่ พล.ต.อ.พงศพัศ มาตลอด ซึ่งขัดกับรสนิยมของม.ร.ว.สุขุมพันธุ์อย่างมาก
ขณะที่อดีตผู้ว่าฯ กทม. ได้ใช้วิธีต่อสู้กับคู่แข่ง ด้วยการคิดค้นนโยบายขึ้นมาประชันให้ประชาชนได้พิจารณา
อันเป็นวิถีแห่งสุภาพบุรุษ
แต่คนในขบวนหาเสียงของประชาธิปัตย์บางคนกลับเล่นไปอีกทาง!?
นี่กระมังที่อาจเป็นแรงกดดันจนนำมาสู่การระเบิดถ้อยคำบนเวทีปราศรัยว่า "อย่ามาดูถูกกู"
อันน่าจะเป็นอาการคับข้องใจภายในกันเอง
อย่ามาดูถูกกู ด้วยการใช้วิธีโจมตีคู่แข่งอย่างไม่ให้เกียรติไม่ให้ความเชื่อมั่นในผู้สมัครพรรคตัวเอง
เพราะกลเม็ดปลุกผีเผาบ้านเผาเมือง ในที่สุดก็กลายเป็นเผาบ้านเผา
กันเอง
จะว่าไปแล้ววาทกรรมเผาบ้านเผาเมืองนั้น นับวันจะได้รับการพิสูจน์จากการคลี่คลายคดี 99 ศพ
ลำดับความจริงตามพยานหลักฐานที่เชื่อถือได้
เหตุการณ์เผาอาคารศูนย์การค้า เกิดขึ้นหลังจาก การ "ฆ่า"
ดังนั้น การโหมเรื่องเผาว่าเป็นเหตุให้ต้องฆ่า จึงขัดแย้งกับความจริงอย่างสิ้นเชิง
วิกฤตการฆ่า 99 ศพ เป็นข้อเท็จจริง ขณะที่เผาบ้านเผาเมืองเป็นแค่ถ้อยคำที่ประดิษฐ์ขึ้นมา
เลยกลายป็นเผาบ้านเผา
ไปในที่สุด!
credit --
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMk1UUTJNall5TWc9PQ==§ionid=
เผาบ้านเผา:)
วงค์ ตาวัน
เห็นมุขเสียดสีในคอลัมน์ "ต้องถอน" ที่สร้างความฮาให้ผู้อ่านข่าวสดอยู่เป็นประจำในหน้า 6 แล้ว ต้องขอยืมมาใช้เป็นชื่อเรื่องประจำวันนี้ อันเนื่องจากกรณีมุข "เผาบ้านเผาเมือง" ที่พยายามปลุกขึ้นมาในโค้งสุดท้ายเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.
คือหน้ามืดตามัวกันจนไม่รู้ว่าจะสกัดคะแนนนิยมของผู้สมัครพรรคเพื่อไทยได้อย่างไร
ต้องงัดเรื่องเก่า "เผาบ้านเผาเมือง" ซึ่งเป็นวาทกรรมกลบเกลื่อนเหตุการณ์ "ฆ่าประชาชน 99 ศพ"
หวังจะโจมตีเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ
แต่ผลก็คือ เอแบคโพลล์สำรวจพบว่ากลายเป็นเหตุฉุดคะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ให้ถดถอยห่างจากพล.ต.อ.พงศพัศขึ้นไปอีก
ด้วยเพราะผู้คนเบื่อหน่ายกับการใช้เรื่องนอกประเด็น มาใส่ร้ายป้ายสี
มุข "เผาบ้านเผาเมือง" จึงได้รับการขนานนามใหม่จากคอลัมน์ต้องถอนว่า "เผาบ้านเผา"
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ลงเอยเป็นการเผาคะแนนของพรรคพวกกันเอง
มีข้อวิเคราะห์ว่า ก่อนหน้านี้มีการใช้วิธีชกใต้เข็มขัดใส่ พล.ต.อ.พงศพัศ มาตลอด ซึ่งขัดกับรสนิยมของม.ร.ว.สุขุมพันธุ์อย่างมาก
ขณะที่อดีตผู้ว่าฯ กทม. ได้ใช้วิธีต่อสู้กับคู่แข่ง ด้วยการคิดค้นนโยบายขึ้นมาประชันให้ประชาชนได้พิจารณา
อันเป็นวิถีแห่งสุภาพบุรุษ
แต่คนในขบวนหาเสียงของประชาธิปัตย์บางคนกลับเล่นไปอีกทาง!?
นี่กระมังที่อาจเป็นแรงกดดันจนนำมาสู่การระเบิดถ้อยคำบนเวทีปราศรัยว่า "อย่ามาดูถูกกู"
อันน่าจะเป็นอาการคับข้องใจภายในกันเอง
อย่ามาดูถูกกู ด้วยการใช้วิธีโจมตีคู่แข่งอย่างไม่ให้เกียรติไม่ให้ความเชื่อมั่นในผู้สมัครพรรคตัวเอง
เพราะกลเม็ดปลุกผีเผาบ้านเผาเมือง ในที่สุดก็กลายเป็นเผาบ้านเผากันเอง
จะว่าไปแล้ววาทกรรมเผาบ้านเผาเมืองนั้น นับวันจะได้รับการพิสูจน์จากการคลี่คลายคดี 99 ศพ
ลำดับความจริงตามพยานหลักฐานที่เชื่อถือได้
เหตุการณ์เผาอาคารศูนย์การค้า เกิดขึ้นหลังจาก การ "ฆ่า"
ดังนั้น การโหมเรื่องเผาว่าเป็นเหตุให้ต้องฆ่า จึงขัดแย้งกับความจริงอย่างสิ้นเชิง
วิกฤตการฆ่า 99 ศพ เป็นข้อเท็จจริง ขณะที่เผาบ้านเผาเมืองเป็นแค่ถ้อยคำที่ประดิษฐ์ขึ้นมา
เลยกลายป็นเผาบ้านเผาไปในที่สุด!
credit -- http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMk1UUTJNall5TWc9PQ==§ionid=