คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่12 (มติชนรายวัน 19 ม.ค.2556)
การเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ชู
"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นนายกรัฐมนตรี
ส่วนพรรคเพื่อไทยชู "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรี
ในการหาเสียงเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์จะพยายามเสนอให้
"ยิ่งลักษณ์" ดีเบตกับ "อภิสิทธิ์"
เพราะรู้ว่าถ้าขึ้นเวที "ดีเบต" เมื่อไร
"อภิสิทธิ์" จะได้เปรียบ "ยิ่งลักษณ์"
พรรคเพื่อไทยก็รู้ดีว่า "ยิ่งลักษณ์" มี "จุดอ่อน" ตรงไหน
ไม่แปลกที่พรรคเพื่อไทยจะหลบเลี่ยง
ไม่ส่ง "ยิ่งลักษณ์" ขึ้นเวทีดีเบต
แต่ในสนามเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
สถานการณ์กลับพลิกกลับ
เมื่อพรรคเพื่อไทยส่ง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ลงสมัคร ในขณะที่
พรรคประชาธิปัตย์ส่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตผู้ว่าฯกทม.ลงแข่ง
ในสนามการใช้วาทศิลป์ "พงศพัศ" เหนือกว่า "สุขุมพันธุ์"
แม้ระยะห่างจะไม่ถึงขั้น "อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์"
แต่ก็เหนือกว่ามากทีเดียว
ไม่แปลกที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะปฏิเสธการดีเบต ด้วยเหตุผลว่า
เป็นคนทำงาน ไม่ใช่คนพูดเก่ง
เป็นเหตุผลเดียวกับที่พรรคเพื่อไทยเคยใช้เมื่อ
ครั้งการเลือกตั้งในสนามใหญ่
ในขณะที่ "พงศพัศ" จะแสดงความพร้อมอย่างยิ่งหากต้องขึ้นเวที
ประชันวิสัยทัศน์กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์
เพราะรู้ว่าขึ้นเวทีคู่กันเมื่อไร "พงศพัศ" ได้เปรียบ "สุขุมพันธุ์"
ในทางการเมือง ทุกพรรคจะเลือกมุมที่ตนเองได้เปรียบคู่แข่ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดีเบตหรือการหาเสียงเลือกตั้ง
ครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์เลือกขายเรื่องประสบการณ์
ที่เคยบริหารงาน กทม.มาก่อน
เพราะเป็นประเด็นที่ได้เปรียบ
ส่วนพรรคเพื่อไทยก็จะชูแคมเปญ "ไร้รอยต่อ" เพื่อใช้
"จุดแข็ง" ความเป็นรัฐบาล เสนอนโยบายที่ใหญ่กว่าเกิน
อำนาจของ กทม. เช่น ขึ้นรถเมล์ร้อนฟรี เป็นต้น
ทุกพรรคเลือกขาย "จุดแข็ง" ของตนเองในช่วงต้น
ของการหาเสียงเลือกตั้ง
ส่วนการโจมตี "จุดอ่อน" ของคู่แข่งนั้น เนื่องจากภาพลักษณ์ของ
"สุขุมพันธุ์-พงศพัศ" ไม่ใช่ "นักการเมืองอาชีพ"
การโจมตี "จุดอ่อน" คู่แข่งจึงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ
"มือที่มองไม่เห็น"
โดยเฉพาะในสังคมโซเชียลมีเดียที่แพร่กระจายอย่าง
รวดเร็วแบบไร้ที่มา
แต่เชื่อว่าในช่วงโค้งสุดท้าย หากพรรคใดคะแนนเป็นรอง
พรรคนั้นจะเลือกเล่นเกมสาดโคลนอย่างแน่นอน
หลักคิดเรื่องชิงความได้เปรียบทางการเมืองนั้น นอกจาก
"คู่แข่ง" แล้ว ทุกพรรคยังนำมาใช้ภายในพรรคด้วย
เห็นได้จากการที่แต่ละพรรคยังไม่ประกาศตัวรองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร
เพราะถ้าประกาศชื่อรองผู้ว่าฯของพรรคออกมาในตอนนี้
คนที่มีความหวังแต่ไม่มีชื่อก็อาจจะวางมือไม่ช่วยหาเสียง
แต่ถ้ายังปล่อยให้มี "ความหวัง"
ทุกคนก็จะปล่อยพลังอย่างเต็มที่
นี่คือ กลยุทธ์ชิงความได้เปรียบทางการเมือง
เลือกจุดที่ตนเองได้เปรียบก่อน แล้วหาคำอธิบายตามมา
ในโลกแห่งความเป็นจริง คำว่า "เหตุผล" หมายความว่าเกิด
"เหตุ" ขึ้นก่อนแล้วจึงเกิด "ผล"
แต่ในโลกของการเมือง "ผล" จะมาก่อน "เหตุ"
อย่างเช่น การ "ดีเบต" หรือ "ไม่ดีเบต"
ทุกทางเลือก นักการเมืองมีคำอธิบาย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1358571444&grpid=&catid=02&subcatid=0207
เออ...อ่านแล้ว ...แซวมาร์ค...แน่ๆ
หน้าม้า .... เลยเอามานำเสนอค่ะ ....
ยังไง ก็เลือก "เพื่อไทย" มั่นคง ตรงไป ตรงมา แบบ อุดมการณ์
"แนวหน้า"
สรกล อดุลยานนท์ : ชิง"ความได้เปรียบ" ......มติชนออนไลน์
การเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ชู
"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นนายกรัฐมนตรี
ส่วนพรรคเพื่อไทยชู "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรี
ในการหาเสียงเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์จะพยายามเสนอให้
"ยิ่งลักษณ์" ดีเบตกับ "อภิสิทธิ์"
เพราะรู้ว่าถ้าขึ้นเวที "ดีเบต" เมื่อไร
"อภิสิทธิ์" จะได้เปรียบ "ยิ่งลักษณ์"
พรรคเพื่อไทยก็รู้ดีว่า "ยิ่งลักษณ์" มี "จุดอ่อน" ตรงไหน
ไม่แปลกที่พรรคเพื่อไทยจะหลบเลี่ยง
ไม่ส่ง "ยิ่งลักษณ์" ขึ้นเวทีดีเบต
แต่ในสนามเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
สถานการณ์กลับพลิกกลับ
เมื่อพรรคเพื่อไทยส่ง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ลงสมัคร ในขณะที่
พรรคประชาธิปัตย์ส่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตผู้ว่าฯกทม.ลงแข่ง
ในสนามการใช้วาทศิลป์ "พงศพัศ" เหนือกว่า "สุขุมพันธุ์"
แม้ระยะห่างจะไม่ถึงขั้น "อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์"
แต่ก็เหนือกว่ามากทีเดียว
ไม่แปลกที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะปฏิเสธการดีเบต ด้วยเหตุผลว่า
เป็นคนทำงาน ไม่ใช่คนพูดเก่ง
เป็นเหตุผลเดียวกับที่พรรคเพื่อไทยเคยใช้เมื่อ
ครั้งการเลือกตั้งในสนามใหญ่
ในขณะที่ "พงศพัศ" จะแสดงความพร้อมอย่างยิ่งหากต้องขึ้นเวที
ประชันวิสัยทัศน์กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์
เพราะรู้ว่าขึ้นเวทีคู่กันเมื่อไร "พงศพัศ" ได้เปรียบ "สุขุมพันธุ์"
ในทางการเมือง ทุกพรรคจะเลือกมุมที่ตนเองได้เปรียบคู่แข่ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดีเบตหรือการหาเสียงเลือกตั้ง
ครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์เลือกขายเรื่องประสบการณ์
ที่เคยบริหารงาน กทม.มาก่อน
เพราะเป็นประเด็นที่ได้เปรียบ
ส่วนพรรคเพื่อไทยก็จะชูแคมเปญ "ไร้รอยต่อ" เพื่อใช้
"จุดแข็ง" ความเป็นรัฐบาล เสนอนโยบายที่ใหญ่กว่าเกิน
อำนาจของ กทม. เช่น ขึ้นรถเมล์ร้อนฟรี เป็นต้น
ทุกพรรคเลือกขาย "จุดแข็ง" ของตนเองในช่วงต้น
ของการหาเสียงเลือกตั้ง
ส่วนการโจมตี "จุดอ่อน" ของคู่แข่งนั้น เนื่องจากภาพลักษณ์ของ
"สุขุมพันธุ์-พงศพัศ" ไม่ใช่ "นักการเมืองอาชีพ"
การโจมตี "จุดอ่อน" คู่แข่งจึงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ
"มือที่มองไม่เห็น"
โดยเฉพาะในสังคมโซเชียลมีเดียที่แพร่กระจายอย่าง
รวดเร็วแบบไร้ที่มา
แต่เชื่อว่าในช่วงโค้งสุดท้าย หากพรรคใดคะแนนเป็นรอง
พรรคนั้นจะเลือกเล่นเกมสาดโคลนอย่างแน่นอน
หลักคิดเรื่องชิงความได้เปรียบทางการเมืองนั้น นอกจาก
"คู่แข่ง" แล้ว ทุกพรรคยังนำมาใช้ภายในพรรคด้วย
เห็นได้จากการที่แต่ละพรรคยังไม่ประกาศตัวรองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร
เพราะถ้าประกาศชื่อรองผู้ว่าฯของพรรคออกมาในตอนนี้
คนที่มีความหวังแต่ไม่มีชื่อก็อาจจะวางมือไม่ช่วยหาเสียง
แต่ถ้ายังปล่อยให้มี "ความหวัง"
ทุกคนก็จะปล่อยพลังอย่างเต็มที่
นี่คือ กลยุทธ์ชิงความได้เปรียบทางการเมือง
เลือกจุดที่ตนเองได้เปรียบก่อน แล้วหาคำอธิบายตามมา
ในโลกแห่งความเป็นจริง คำว่า "เหตุผล" หมายความว่าเกิด
"เหตุ" ขึ้นก่อนแล้วจึงเกิด "ผล"
แต่ในโลกของการเมือง "ผล" จะมาก่อน "เหตุ"
อย่างเช่น การ "ดีเบต" หรือ "ไม่ดีเบต"
ทุกทางเลือก นักการเมืองมีคำอธิบาย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1358571444&grpid=&catid=02&subcatid=0207
เออ...อ่านแล้ว ...แซวมาร์ค...แน่ๆ หน้าม้า .... เลยเอามานำเสนอค่ะ ....
ยังไง ก็เลือก "เพื่อไทย" มั่นคง ตรงไป ตรงมา แบบ อุดมการณ์
"แนวหน้า"