Credit :
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=55137
ขอบคุณ คุณ Thai VI Article และ ดร.นิเวศน์ครับ
_____________________________________________
โลกในมุมมองของ Value Investor 16 กุมภาพันธ์ 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ถนนทุกสาย..มุ่งสู่ตลาดหุ้น
ตั้งแต่ต้นปี 2556 ถึงวันนี้เป็นเวลาแค่เดือนครึ่ง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับตัวขึ้นมาแล้วเกือบ 10% และนี่เกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดเมื่อปีที่แล้วปรับตัวขึ้นมาถึง 36% มูลค่าตลาดของหุ้นไทยในขณะนี้ประมาณ 13 ล้าน ล้านบาท สูงกว่ามูลค่าผลผลิตรวมต่อปีหรือ GDP ของประเทศไปแล้ว ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นนั้น “มหาศาล” อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ถ้านับจากสิ้นปี 2551 หรือเพียงประมาณ 4 ปีเศษ ๆ ที่ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 450 จุดนั้น มูลค่าตลาดของหุ้นได้เพิ่มขึ้นมาแล้วน่าจะประมาณ 9 ล้าน ล้านบาท และถ้าคิดว่าคนไทยเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นประมาณ 70% ในบริษัทจดทะเบียน ความมั่งคั่งของคนไทยก็เพิ่มขึ้นประมาณ 6.3 ล้าน ล้านบาท และถ้าคิดต่อไปอีกว่าในส่วนของคนไทยนั้น ผู้ถือหุ้นที่ไม่ใช่รัฐหรือก็คือนักลงทุนที่เป็น “ชาวบ้าน” ทั่ว ๆ ไปถือหุ้นประมาณ 70% ก็จะพบว่าคนไทยที่ถือหุ้นหรือเล่นหุ้นอยู่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี้มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นประมาณ 4.4 ล้าน ล้านบาท
ในเม็ดเงิน 4.4 ล้าน ล้านบาทที่เพิ่มขึ้นมาใน “กระเป๋า” ของคนไทยที่มีหุ้นหรือถือหุ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานั้น ผมไม่รู้ว่ามีคนไทยกี่คนที่ได้รับประโยชน์ในส่วนนี้ แต่ก็คงเป็นแค่หลักไม่เกิน 2-3 ล้านคน เฉลี่ยแล้วได้รับกันไปคนละประมาณ 2 ล้านบาทถ้าจะพูดอย่างหยาบ ๆ แต่คนจำนวนมากที่ถือหุ้นผ่านกองทุนรวมหุ้น โดยเฉพาะของกองทุนบำเหน็จบำนาญของราชการหรือ กบข. น่าจะได้เงินไปน้อยกว่านี้มาก คนกลุ่มต่อมาที่จะได้ประโยชน์จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นพอสมควรก็คือ คนที่ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF และกองทุนเพื่อการเกษียณหรือ RMF ที่ลงทุนในหุ้นมาตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว กลุ่มต่อมาที่น่าจะได้รับเม็ดเงินไปค่อนข้างมากก็คือ คน “เล่นหุ้น” ที่อยู่ในตลาดในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งผลตอบแทนน่าจะได้ไม่ต่ำกว่า 200% เช่นลงทุนไป 1 ล้านบาทก็น่าจะได้เงินเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ล้านบาทกลายเป็น 3 ล้านบาท ในช่วง 4 ปีเศษที่ผ่านมา
กลุ่มคนที่ได้เงินไปเต็ม ๆ คือน่าจะ “ร่ำรวย” จากการที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในรอบนี้ก็คือ นักลงทุนที่ “มุ่งมั่น” ซึ่งบางคนก็เป็น “นักลงทุนอาชีพ” นั่นก็คือ ไม่ได้ทำงานประจำอื่น แต่ลงทุนเป็นหลักในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา คนเหล่านี้มักจะลงทุนเงินเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ และหลายคนนั้น กู้เงินและ/หรือใช้มาร์จินในการลงทุนเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัวหรือมากกว่านั้นเข้ามาซื้อหุ้นขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ คนที่ได้เงินมากจริง ๆ ในหมู่คนกลุ่มนี้ก็คือคนที่เรียกตัวเองว่า “Value Investor” นั่นก็คือ พวกเขาซื้อขายหุ้นโดยเน้นการเลือกหุ้นโดยอิงกับพื้นฐานของกิจการเป็นหลักแม้ว่าจังหวะการซื้อขายอาจจะแตกต่างกันออกไป พวกเขาอาจจะมีจำนวนน้อยกว่าคน “เล่นหุ้น” ที่ซื้อขายรายวัน แต่เม็ดเงินของพวกเขานั้นมากกว่ามาก อาจจะเรียกได้ว่ารายใหญ่หรือ “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้นในช่วงเวลานี้คือ VI ผลตอบแทนของพวกเขาในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี้สูงมาก การได้ผลตอบแทนเป็น 10 เท่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับ VI ที่มุ่งมั่น และผมเชื่อว่ามีบางคนโดยเฉพาะที่เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย สามารถได้เป็นร้อยเท่า คือลงทุน 1 ล้านบาทภายใน 4 ปี กลายเป็น 100 ล้านบาท
ความร่ำรวยของ VI ผู้มุ่งมั่น ซึ่งนาทีนี้อาจจะมีเป็นพัน ๆ คนเข้าไปแล้วและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผมคิดว่าเริ่มจะมีผลกระทบกับการใช้จ่ายซื้อสินค้าที่มีราคาแพงเช่น บ้านและรถยนต์ VI กลายเป็นกลุ่มที่เข้าไปซื้อคอนโดหรูในบางโครงการอย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกัน รถยนต์หรูราคาแพงมากผมก็คิดว่ามาจากเงินในตลาดหุ้นของนักลงทุนผู้มุ่งมั่นเหล่านี้ไม่น้อย โดยในกรณีของคอนโดนั้น ผมคิดว่า VI ที่ซื้อหลายคนก็มองเป็นเรื่องของการลงทุนไปด้วย ส่วนในกรณีของรถหรูนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะเป็น “รางวัลชีวิต” สำหรับ VI ที่ประสบความสำเร็จสูง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ VI หลายคนได้เงินมามากเสียจนราคาของรถนั้น เป็นรายจ่ายเพียง “เล็กน้อย” ที่เขาอยากจะหาความสุขบ้าง
กลุ่มคนที่รวยจากตลาดหุ้นมากที่สุดก็คือ เจ้าของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปมาก ไม่ใช่เฉพาะกิจการที่มีผลประกอบการที่ดีเท่านั้นที่มีราคาหุ้นขึ้นไป หุ้นเกือบทุกตัวปรับตัวขึ้นไปสูงมาก บางบริษัทมี Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นเพิ่มขึ้นไปเป็น 10 เท่าตัวในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา บางบริษัทหุ้นขึ้นไปร้อยเท่าก็น่าจะมี เจ้าของบริษัทหลาย ๆ แห่งน่าจะมีเงินเพิ่มขึ้นในช่วง 4 ปีนี้เป็นพัน ๆ ล้านบาท หลายบริษัทเป็นหมื่นล้านบาท และบางบริษัทเป็นแสนล้านบาท แม้แต่บริษัทที่ไม่ได้มีกำไรเพิ่มขึ้นเลยบางทีก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปเท่าตัวมีเงินเพิ่มขึ้นอีกหลายพันล้านบาท ที่โดดเด่นยิ่งกว่านั้นก็คือบริษัทที่เพิ่งเข้ามาจดทะเบียนในตลาดเป็นครั้งแรกหรือหุ้น IPO ซึ่งทำให้เจ้าของได้เงินเพิ่มขึ้นมาก บางคน “มโหฬาร” จากบริษัทเดิมที่ทำกำไร “กระท่อนกระแท่น” และถ้าคิดจากเงินลงทุนที่ลงไปก็อาจจะหลักหลายสิบหรือร้อยล้านบาท เมื่อเข้าตลาดหุ้น มูลค่าก็กลายเป็นพันล้านบาท บางบริษัทเป็นหมื่นล้านบาทในชั่วเวลาข้ามคืน จากเจ้าของธุรกิจที่ “พออยู่ได้” เช่นเดียวกับเพื่อนนักธุรกิจระดับเล็กด้วยกัน พวกเขากลายเศรษฐีหรือมหาเศรษฐีเมื่อหุ้นเข้าตลาดและราคาวิ่งขึ้นไปสิบเท่าหรือร้อยเท่าจากเม็ดเงินที่เขาลงไป
นักลงทุนกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ นักลงทุนต่างชาติ พวกเขามีจำนวนไม่มากแต่ได้เม็ดเงินมหาศาล ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเขาได้เงินไป 2.7 ล้าน ล้านบาท แน่นอน กองทุนที่เป็นสถาบันขนาดใหญ่คือคนที่ได้เงินส่วนใหญ่ไป แต่ถ้าคิดเป็นผลตอบแทนแล้ว กองทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงมากก็คือพวกเฮดจ์ฟันด์หรือ Private Fund ที่รับเงินจากคนที่มีเงินมาก ๆ เข้ามาลงทุนในประเทศไทยและในเอเซียที่เป็นตลาดเกิดใหม่ ซึ่งผลตอบแทนที่ได้ในช่วง 4 ปี ที่ผ่านมานั้น กำไรต่อปีที่พวกเขาได้รับจากตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะต่ำกว่า 30% ในช่วง 4 ปี นั้นเงิน 1เหรียญน่าจะได้ผลกำไรมากกว่า 2 เหรียญหรือ 200% ซึ่งเป็นอัตราที่นักลงทุนต่างชาติแทบจะหาที่ไหนในโลกไม่ได้
และทั้งหมดนั้นก็ทำให้ผู้คนจำนวนมากในประเทศไทยที่มีเงินสดเหลืออยู่ในธนาคารจำนวนมาก รวมถึงคนที่ยังไม่ค่อยมีเงินแต่หวังที่จะ “รวย” หรือสะสมเงิน “เพื่ออนาคต” ต่างก็ “มุ่งหน้าสู่ตลาดหุ้น” พวกเขาส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้เพียงพอที่จะลงทุนหรือเลือกหุ้นที่ถูกต้อง พวกเขารู้เพียงแต่ว่าตลาดหุ้นนั้นกำลังปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ แม้ว่าบางวันมันจะตกลงมาบ้าง แต่ชั่วไม่กี่วันมันก็ดีดกลับมาและสูงกว่าเดิม การซื้อและขายหุ้นก็ดูไม่ยากอะไรนัก บางคนอาจจะคิดว่าก็ใช้วิธีถามจากเพื่อนที่ “มีความสามารถ” หรือเล่นอยู่และได้กำไรมามาก ผลกำไรนั้นอยู่ที่ “ปลายนิ้ว” พวกเขาไม่คิดถึงเรื่องขาดทุนเท่าไร เพราะอาจจะยังไม่เห็นใครเล่นแล้วขาดทุนเลยในช่วงหลาย ๆ ปี มีแต่รวยขึ้นเรื่อย ๆ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เขาก็ไม่ได้ลงทุนมากมายอะไรเทียบกับความมั่งคั่งที่มีอยู่ การที่จะแบ่งเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยน้อยนิดมาลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่มีทางผิดพลาด เขาลองมาแล้วเพียงแค่ 2 เดือน ตอนนี้ได้ไปแล้ว 10 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับการฝากเงิน 5 ปี ดังนั้น ขณะนี้เขาอยากลงทุนเพิ่ม เขาได้รับคำบอกเล่าจากผู้เชี่ยวชาญในตลาดผ่านสื่อมากมาย ทุกคนบอกว่าตลาดหุ้นยังไม่แพงและดัชนีจะไปถึง 1700 จุดในสิ้นปีนี้ เขาไม่เข้าใจหรอกว่ามันคือขึ้นไปแค่ไหน เขาคิดเพียงแต่ว่า ตลาดหุ้นคือที่ที่จะทำเงินได้เร็วมาก ดังนั้น เขาจึงเข้ามา ถนนทุกสาย..กำลังมุ่งสู่ตลาดหุ้น
ถนนทุกสาย..มุ่งสู่ตลาดหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ขอบคุณ คุณ Thai VI Article และ ดร.นิเวศน์ครับ
_____________________________________________
โลกในมุมมองของ Value Investor 16 กุมภาพันธ์ 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ถนนทุกสาย..มุ่งสู่ตลาดหุ้น
ตั้งแต่ต้นปี 2556 ถึงวันนี้เป็นเวลาแค่เดือนครึ่ง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับตัวขึ้นมาแล้วเกือบ 10% และนี่เกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดเมื่อปีที่แล้วปรับตัวขึ้นมาถึง 36% มูลค่าตลาดของหุ้นไทยในขณะนี้ประมาณ 13 ล้าน ล้านบาท สูงกว่ามูลค่าผลผลิตรวมต่อปีหรือ GDP ของประเทศไปแล้ว ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นนั้น “มหาศาล” อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ถ้านับจากสิ้นปี 2551 หรือเพียงประมาณ 4 ปีเศษ ๆ ที่ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 450 จุดนั้น มูลค่าตลาดของหุ้นได้เพิ่มขึ้นมาแล้วน่าจะประมาณ 9 ล้าน ล้านบาท และถ้าคิดว่าคนไทยเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นประมาณ 70% ในบริษัทจดทะเบียน ความมั่งคั่งของคนไทยก็เพิ่มขึ้นประมาณ 6.3 ล้าน ล้านบาท และถ้าคิดต่อไปอีกว่าในส่วนของคนไทยนั้น ผู้ถือหุ้นที่ไม่ใช่รัฐหรือก็คือนักลงทุนที่เป็น “ชาวบ้าน” ทั่ว ๆ ไปถือหุ้นประมาณ 70% ก็จะพบว่าคนไทยที่ถือหุ้นหรือเล่นหุ้นอยู่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี้มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นประมาณ 4.4 ล้าน ล้านบาท
ในเม็ดเงิน 4.4 ล้าน ล้านบาทที่เพิ่มขึ้นมาใน “กระเป๋า” ของคนไทยที่มีหุ้นหรือถือหุ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานั้น ผมไม่รู้ว่ามีคนไทยกี่คนที่ได้รับประโยชน์ในส่วนนี้ แต่ก็คงเป็นแค่หลักไม่เกิน 2-3 ล้านคน เฉลี่ยแล้วได้รับกันไปคนละประมาณ 2 ล้านบาทถ้าจะพูดอย่างหยาบ ๆ แต่คนจำนวนมากที่ถือหุ้นผ่านกองทุนรวมหุ้น โดยเฉพาะของกองทุนบำเหน็จบำนาญของราชการหรือ กบข. น่าจะได้เงินไปน้อยกว่านี้มาก คนกลุ่มต่อมาที่จะได้ประโยชน์จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นพอสมควรก็คือ คนที่ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF และกองทุนเพื่อการเกษียณหรือ RMF ที่ลงทุนในหุ้นมาตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว กลุ่มต่อมาที่น่าจะได้รับเม็ดเงินไปค่อนข้างมากก็คือ คน “เล่นหุ้น” ที่อยู่ในตลาดในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งผลตอบแทนน่าจะได้ไม่ต่ำกว่า 200% เช่นลงทุนไป 1 ล้านบาทก็น่าจะได้เงินเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ล้านบาทกลายเป็น 3 ล้านบาท ในช่วง 4 ปีเศษที่ผ่านมา
กลุ่มคนที่ได้เงินไปเต็ม ๆ คือน่าจะ “ร่ำรวย” จากการที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในรอบนี้ก็คือ นักลงทุนที่ “มุ่งมั่น” ซึ่งบางคนก็เป็น “นักลงทุนอาชีพ” นั่นก็คือ ไม่ได้ทำงานประจำอื่น แต่ลงทุนเป็นหลักในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา คนเหล่านี้มักจะลงทุนเงินเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ และหลายคนนั้น กู้เงินและ/หรือใช้มาร์จินในการลงทุนเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัวหรือมากกว่านั้นเข้ามาซื้อหุ้นขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ คนที่ได้เงินมากจริง ๆ ในหมู่คนกลุ่มนี้ก็คือคนที่เรียกตัวเองว่า “Value Investor” นั่นก็คือ พวกเขาซื้อขายหุ้นโดยเน้นการเลือกหุ้นโดยอิงกับพื้นฐานของกิจการเป็นหลักแม้ว่าจังหวะการซื้อขายอาจจะแตกต่างกันออกไป พวกเขาอาจจะมีจำนวนน้อยกว่าคน “เล่นหุ้น” ที่ซื้อขายรายวัน แต่เม็ดเงินของพวกเขานั้นมากกว่ามาก อาจจะเรียกได้ว่ารายใหญ่หรือ “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้นในช่วงเวลานี้คือ VI ผลตอบแทนของพวกเขาในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี้สูงมาก การได้ผลตอบแทนเป็น 10 เท่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับ VI ที่มุ่งมั่น และผมเชื่อว่ามีบางคนโดยเฉพาะที่เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย สามารถได้เป็นร้อยเท่า คือลงทุน 1 ล้านบาทภายใน 4 ปี กลายเป็น 100 ล้านบาท
ความร่ำรวยของ VI ผู้มุ่งมั่น ซึ่งนาทีนี้อาจจะมีเป็นพัน ๆ คนเข้าไปแล้วและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผมคิดว่าเริ่มจะมีผลกระทบกับการใช้จ่ายซื้อสินค้าที่มีราคาแพงเช่น บ้านและรถยนต์ VI กลายเป็นกลุ่มที่เข้าไปซื้อคอนโดหรูในบางโครงการอย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกัน รถยนต์หรูราคาแพงมากผมก็คิดว่ามาจากเงินในตลาดหุ้นของนักลงทุนผู้มุ่งมั่นเหล่านี้ไม่น้อย โดยในกรณีของคอนโดนั้น ผมคิดว่า VI ที่ซื้อหลายคนก็มองเป็นเรื่องของการลงทุนไปด้วย ส่วนในกรณีของรถหรูนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะเป็น “รางวัลชีวิต” สำหรับ VI ที่ประสบความสำเร็จสูง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ VI หลายคนได้เงินมามากเสียจนราคาของรถนั้น เป็นรายจ่ายเพียง “เล็กน้อย” ที่เขาอยากจะหาความสุขบ้าง
กลุ่มคนที่รวยจากตลาดหุ้นมากที่สุดก็คือ เจ้าของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปมาก ไม่ใช่เฉพาะกิจการที่มีผลประกอบการที่ดีเท่านั้นที่มีราคาหุ้นขึ้นไป หุ้นเกือบทุกตัวปรับตัวขึ้นไปสูงมาก บางบริษัทมี Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นเพิ่มขึ้นไปเป็น 10 เท่าตัวในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา บางบริษัทหุ้นขึ้นไปร้อยเท่าก็น่าจะมี เจ้าของบริษัทหลาย ๆ แห่งน่าจะมีเงินเพิ่มขึ้นในช่วง 4 ปีนี้เป็นพัน ๆ ล้านบาท หลายบริษัทเป็นหมื่นล้านบาท และบางบริษัทเป็นแสนล้านบาท แม้แต่บริษัทที่ไม่ได้มีกำไรเพิ่มขึ้นเลยบางทีก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปเท่าตัวมีเงินเพิ่มขึ้นอีกหลายพันล้านบาท ที่โดดเด่นยิ่งกว่านั้นก็คือบริษัทที่เพิ่งเข้ามาจดทะเบียนในตลาดเป็นครั้งแรกหรือหุ้น IPO ซึ่งทำให้เจ้าของได้เงินเพิ่มขึ้นมาก บางคน “มโหฬาร” จากบริษัทเดิมที่ทำกำไร “กระท่อนกระแท่น” และถ้าคิดจากเงินลงทุนที่ลงไปก็อาจจะหลักหลายสิบหรือร้อยล้านบาท เมื่อเข้าตลาดหุ้น มูลค่าก็กลายเป็นพันล้านบาท บางบริษัทเป็นหมื่นล้านบาทในชั่วเวลาข้ามคืน จากเจ้าของธุรกิจที่ “พออยู่ได้” เช่นเดียวกับเพื่อนนักธุรกิจระดับเล็กด้วยกัน พวกเขากลายเศรษฐีหรือมหาเศรษฐีเมื่อหุ้นเข้าตลาดและราคาวิ่งขึ้นไปสิบเท่าหรือร้อยเท่าจากเม็ดเงินที่เขาลงไป
นักลงทุนกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ นักลงทุนต่างชาติ พวกเขามีจำนวนไม่มากแต่ได้เม็ดเงินมหาศาล ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเขาได้เงินไป 2.7 ล้าน ล้านบาท แน่นอน กองทุนที่เป็นสถาบันขนาดใหญ่คือคนที่ได้เงินส่วนใหญ่ไป แต่ถ้าคิดเป็นผลตอบแทนแล้ว กองทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงมากก็คือพวกเฮดจ์ฟันด์หรือ Private Fund ที่รับเงินจากคนที่มีเงินมาก ๆ เข้ามาลงทุนในประเทศไทยและในเอเซียที่เป็นตลาดเกิดใหม่ ซึ่งผลตอบแทนที่ได้ในช่วง 4 ปี ที่ผ่านมานั้น กำไรต่อปีที่พวกเขาได้รับจากตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะต่ำกว่า 30% ในช่วง 4 ปี นั้นเงิน 1เหรียญน่าจะได้ผลกำไรมากกว่า 2 เหรียญหรือ 200% ซึ่งเป็นอัตราที่นักลงทุนต่างชาติแทบจะหาที่ไหนในโลกไม่ได้
และทั้งหมดนั้นก็ทำให้ผู้คนจำนวนมากในประเทศไทยที่มีเงินสดเหลืออยู่ในธนาคารจำนวนมาก รวมถึงคนที่ยังไม่ค่อยมีเงินแต่หวังที่จะ “รวย” หรือสะสมเงิน “เพื่ออนาคต” ต่างก็ “มุ่งหน้าสู่ตลาดหุ้น” พวกเขาส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้เพียงพอที่จะลงทุนหรือเลือกหุ้นที่ถูกต้อง พวกเขารู้เพียงแต่ว่าตลาดหุ้นนั้นกำลังปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ แม้ว่าบางวันมันจะตกลงมาบ้าง แต่ชั่วไม่กี่วันมันก็ดีดกลับมาและสูงกว่าเดิม การซื้อและขายหุ้นก็ดูไม่ยากอะไรนัก บางคนอาจจะคิดว่าก็ใช้วิธีถามจากเพื่อนที่ “มีความสามารถ” หรือเล่นอยู่และได้กำไรมามาก ผลกำไรนั้นอยู่ที่ “ปลายนิ้ว” พวกเขาไม่คิดถึงเรื่องขาดทุนเท่าไร เพราะอาจจะยังไม่เห็นใครเล่นแล้วขาดทุนเลยในช่วงหลาย ๆ ปี มีแต่รวยขึ้นเรื่อย ๆ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เขาก็ไม่ได้ลงทุนมากมายอะไรเทียบกับความมั่งคั่งที่มีอยู่ การที่จะแบ่งเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยน้อยนิดมาลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่มีทางผิดพลาด เขาลองมาแล้วเพียงแค่ 2 เดือน ตอนนี้ได้ไปแล้ว 10 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับการฝากเงิน 5 ปี ดังนั้น ขณะนี้เขาอยากลงทุนเพิ่ม เขาได้รับคำบอกเล่าจากผู้เชี่ยวชาญในตลาดผ่านสื่อมากมาย ทุกคนบอกว่าตลาดหุ้นยังไม่แพงและดัชนีจะไปถึง 1700 จุดในสิ้นปีนี้ เขาไม่เข้าใจหรอกว่ามันคือขึ้นไปแค่ไหน เขาคิดเพียงแต่ว่า ตลาดหุ้นคือที่ที่จะทำเงินได้เร็วมาก ดังนั้น เขาจึงเข้ามา ถนนทุกสาย..กำลังมุ่งสู่ตลาดหุ้น