ถนนทุกสาย..มุ่งสู่ตลาดหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

กระทู้สนทนา
Credit : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=55137
ขอบคุณ คุณ Thai VI Article    และ ดร.นิเวศน์ครับ
_____________________________________________

โลกในมุมมองของ Value Investor           16 กุมภาพันธ์ 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ถนนทุกสาย..มุ่งสู่ตลาดหุ้น
เม่าออกรถ

   ตั้งแต่ต้นปี 2556 ถึงวันนี้เป็นเวลาแค่เดือนครึ่ง  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับตัวขึ้นมาแล้วเกือบ 10%  และนี่เกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดเมื่อปีที่แล้วปรับตัวขึ้นมาถึง 36%  มูลค่าตลาดของหุ้นไทยในขณะนี้ประมาณ 13 ล้าน ล้านบาท  สูงกว่ามูลค่าผลผลิตรวมต่อปีหรือ GDP ของประเทศไปแล้ว  ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นนั้น  “มหาศาล”  อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน  ถ้านับจากสิ้นปี 2551 หรือเพียงประมาณ 4 ปีเศษ ๆ ที่ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 450 จุดนั้น  มูลค่าตลาดของหุ้นได้เพิ่มขึ้นมาแล้วน่าจะประมาณ 9 ล้าน ล้านบาท  และถ้าคิดว่าคนไทยเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นประมาณ 70% ในบริษัทจดทะเบียน  ความมั่งคั่งของคนไทยก็เพิ่มขึ้นประมาณ 6.3 ล้าน ล้านบาท  และถ้าคิดต่อไปอีกว่าในส่วนของคนไทยนั้น  ผู้ถือหุ้นที่ไม่ใช่รัฐหรือก็คือนักลงทุนที่เป็น  “ชาวบ้าน”  ทั่ว ๆ  ไปถือหุ้นประมาณ 70%  ก็จะพบว่าคนไทยที่ถือหุ้นหรือเล่นหุ้นอยู่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี้มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นประมาณ 4.4 ล้าน ล้านบาท

   ในเม็ดเงิน 4.4 ล้าน ล้านบาทที่เพิ่มขึ้นมาใน “กระเป๋า”  ของคนไทยที่มีหุ้นหรือถือหุ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานั้น  ผมไม่รู้ว่ามีคนไทยกี่คนที่ได้รับประโยชน์ในส่วนนี้  แต่ก็คงเป็นแค่หลักไม่เกิน 2-3 ล้านคน  เฉลี่ยแล้วได้รับกันไปคนละประมาณ 2 ล้านบาทถ้าจะพูดอย่างหยาบ ๆ  แต่คนจำนวนมากที่ถือหุ้นผ่านกองทุนรวมหุ้น  โดยเฉพาะของกองทุนบำเหน็จบำนาญของราชการหรือ กบข. น่าจะได้เงินไปน้อยกว่านี้มาก  คนกลุ่มต่อมาที่จะได้ประโยชน์จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นพอสมควรก็คือ  คนที่ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ  LTF  และกองทุนเพื่อการเกษียณหรือ RMF ที่ลงทุนในหุ้นมาตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว   กลุ่มต่อมาที่น่าจะได้รับเม็ดเงินไปค่อนข้างมากก็คือ  คน “เล่นหุ้น” ที่อยู่ในตลาดในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งผลตอบแทนน่าจะได้ไม่ต่ำกว่า 200% เช่นลงทุนไป 1 ล้านบาทก็น่าจะได้เงินเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ล้านบาทกลายเป็น 3 ล้านบาท ในช่วง 4 ปีเศษที่ผ่านมา

   กลุ่มคนที่ได้เงินไปเต็ม ๆ  คือน่าจะ  “ร่ำรวย”  จากการที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในรอบนี้ก็คือ  นักลงทุนที่ “มุ่งมั่น”  ซึ่งบางคนก็เป็น  “นักลงทุนอาชีพ”  นั่นก็คือ  ไม่ได้ทำงานประจำอื่น  แต่ลงทุนเป็นหลักในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา  คนเหล่านี้มักจะลงทุนเงินเกือบทั้งหมดที่มีอยู่  และหลายคนนั้น  กู้เงินและ/หรือใช้มาร์จินในการลงทุนเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัวหรือมากกว่านั้นเข้ามาซื้อหุ้นขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์   คนที่ได้เงินมากจริง ๆ  ในหมู่คนกลุ่มนี้ก็คือคนที่เรียกตัวเองว่า  “Value Investor”  นั่นก็คือ  พวกเขาซื้อขายหุ้นโดยเน้นการเลือกหุ้นโดยอิงกับพื้นฐานของกิจการเป็นหลักแม้ว่าจังหวะการซื้อขายอาจจะแตกต่างกันออกไป  พวกเขาอาจจะมีจำนวนน้อยกว่าคน  “เล่นหุ้น”  ที่ซื้อขายรายวัน  แต่เม็ดเงินของพวกเขานั้นมากกว่ามาก  อาจจะเรียกได้ว่ารายใหญ่หรือ “ขาใหญ่”  ในตลาดหุ้นในช่วงเวลานี้คือ  VI   ผลตอบแทนของพวกเขาในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี้สูงมาก  การได้ผลตอบแทนเป็น 10 เท่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับ VI ที่มุ่งมั่น  และผมเชื่อว่ามีบางคนโดยเฉพาะที่เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย  สามารถได้เป็นร้อยเท่า  คือลงทุน 1 ล้านบาทภายใน 4 ปี  กลายเป็น 100 ล้านบาท

   ความร่ำรวยของ VI ผู้มุ่งมั่น  ซึ่งนาทีนี้อาจจะมีเป็นพัน ๆ คนเข้าไปแล้วและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ผมคิดว่าเริ่มจะมีผลกระทบกับการใช้จ่ายซื้อสินค้าที่มีราคาแพงเช่น  บ้านและรถยนต์  VI กลายเป็นกลุ่มที่เข้าไปซื้อคอนโดหรูในบางโครงการอย่างมีนัยสำคัญ  เช่นเดียวกัน  รถยนต์หรูราคาแพงมากผมก็คิดว่ามาจากเงินในตลาดหุ้นของนักลงทุนผู้มุ่งมั่นเหล่านี้ไม่น้อย  โดยในกรณีของคอนโดนั้น  ผมคิดว่า VI ที่ซื้อหลายคนก็มองเป็นเรื่องของการลงทุนไปด้วย  ส่วนในกรณีของรถหรูนั้น  ก็ดูเหมือนว่าจะเป็น  “รางวัลชีวิต”  สำหรับ VI ที่ประสบความสำเร็จสูง  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  VI หลายคนได้เงินมามากเสียจนราคาของรถนั้น  เป็นรายจ่ายเพียง  “เล็กน้อย”  ที่เขาอยากจะหาความสุขบ้าง

   กลุ่มคนที่รวยจากตลาดหุ้นมากที่สุดก็คือ  เจ้าของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  ที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปมาก  ไม่ใช่เฉพาะกิจการที่มีผลประกอบการที่ดีเท่านั้นที่มีราคาหุ้นขึ้นไป  หุ้นเกือบทุกตัวปรับตัวขึ้นไปสูงมาก  บางบริษัทมี Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นเพิ่มขึ้นไปเป็น 10 เท่าตัวในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา  บางบริษัทหุ้นขึ้นไปร้อยเท่าก็น่าจะมี  เจ้าของบริษัทหลาย ๆ  แห่งน่าจะมีเงินเพิ่มขึ้นในช่วง 4 ปีนี้เป็นพัน ๆ ล้านบาท  หลายบริษัทเป็นหมื่นล้านบาท  และบางบริษัทเป็นแสนล้านบาท  แม้แต่บริษัทที่ไม่ได้มีกำไรเพิ่มขึ้นเลยบางทีก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปเท่าตัวมีเงินเพิ่มขึ้นอีกหลายพันล้านบาท  ที่โดดเด่นยิ่งกว่านั้นก็คือบริษัทที่เพิ่งเข้ามาจดทะเบียนในตลาดเป็นครั้งแรกหรือหุ้น IPO  ซึ่งทำให้เจ้าของได้เงินเพิ่มขึ้นมาก  บางคน  “มโหฬาร”  จากบริษัทเดิมที่ทำกำไร  “กระท่อนกระแท่น”  และถ้าคิดจากเงินลงทุนที่ลงไปก็อาจจะหลักหลายสิบหรือร้อยล้านบาท  เมื่อเข้าตลาดหุ้น  มูลค่าก็กลายเป็นพันล้านบาท  บางบริษัทเป็นหมื่นล้านบาทในชั่วเวลาข้ามคืน  จากเจ้าของธุรกิจที่ “พออยู่ได้”  เช่นเดียวกับเพื่อนนักธุรกิจระดับเล็กด้วยกัน  พวกเขากลายเศรษฐีหรือมหาเศรษฐีเมื่อหุ้นเข้าตลาดและราคาวิ่งขึ้นไปสิบเท่าหรือร้อยเท่าจากเม็ดเงินที่เขาลงไป

   นักลงทุนกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ  นักลงทุนต่างชาติ  พวกเขามีจำนวนไม่มากแต่ได้เม็ดเงินมหาศาล  ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเขาได้เงินไป 2.7 ล้าน ล้านบาท  แน่นอน  กองทุนที่เป็นสถาบันขนาดใหญ่คือคนที่ได้เงินส่วนใหญ่ไป  แต่ถ้าคิดเป็นผลตอบแทนแล้ว  กองทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงมากก็คือพวกเฮดจ์ฟันด์หรือ Private Fund ที่รับเงินจากคนที่มีเงินมาก ๆ  เข้ามาลงทุนในประเทศไทยและในเอเซียที่เป็นตลาดเกิดใหม่  ซึ่งผลตอบแทนที่ได้ในช่วง 4 ปี ที่ผ่านมานั้น  กำไรต่อปีที่พวกเขาได้รับจากตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะต่ำกว่า 30%  ในช่วง 4 ปี นั้นเงิน 1เหรียญน่าจะได้ผลกำไรมากกว่า 2 เหรียญหรือ 200%  ซึ่งเป็นอัตราที่นักลงทุนต่างชาติแทบจะหาที่ไหนในโลกไม่ได้

   และทั้งหมดนั้นก็ทำให้ผู้คนจำนวนมากในประเทศไทยที่มีเงินสดเหลืออยู่ในธนาคารจำนวนมาก  รวมถึงคนที่ยังไม่ค่อยมีเงินแต่หวังที่จะ  “รวย”  หรือสะสมเงิน  “เพื่ออนาคต”  ต่างก็  “มุ่งหน้าสู่ตลาดหุ้น”  พวกเขาส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้เพียงพอที่จะลงทุนหรือเลือกหุ้นที่ถูกต้อง  พวกเขารู้เพียงแต่ว่าตลาดหุ้นนั้นกำลังปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ  แม้ว่าบางวันมันจะตกลงมาบ้าง   แต่ชั่วไม่กี่วันมันก็ดีดกลับมาและสูงกว่าเดิม  การซื้อและขายหุ้นก็ดูไม่ยากอะไรนัก  บางคนอาจจะคิดว่าก็ใช้วิธีถามจากเพื่อนที่ “มีความสามารถ”  หรือเล่นอยู่และได้กำไรมามาก  ผลกำไรนั้นอยู่ที่  “ปลายนิ้ว”  พวกเขาไม่คิดถึงเรื่องขาดทุนเท่าไร  เพราะอาจจะยังไม่เห็นใครเล่นแล้วขาดทุนเลยในช่วงหลาย ๆ  ปี  มีแต่รวยขึ้นเรื่อย ๆ   เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  เขาก็ไม่ได้ลงทุนมากมายอะไรเทียบกับความมั่งคั่งที่มีอยู่  การที่จะแบ่งเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยน้อยนิดมาลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่มีทางผิดพลาด  เขาลองมาแล้วเพียงแค่ 2 เดือน  ตอนนี้ได้ไปแล้ว 10 เปอร์เซ็นต์  เท่ากับการฝากเงิน 5 ปี  ดังนั้น  ขณะนี้เขาอยากลงทุนเพิ่ม  เขาได้รับคำบอกเล่าจากผู้เชี่ยวชาญในตลาดผ่านสื่อมากมาย  ทุกคนบอกว่าตลาดหุ้นยังไม่แพงและดัชนีจะไปถึง 1700 จุดในสิ้นปีนี้  เขาไม่เข้าใจหรอกว่ามันคือขึ้นไปแค่ไหน  เขาคิดเพียงแต่ว่า  ตลาดหุ้นคือที่ที่จะทำเงินได้เร็วมาก  ดังนั้น  เขาจึงเข้ามา  ถนนทุกสาย..กำลังมุ่งสู่ตลาดหุ้น



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่