จากกรณีเรื่องเด่นเย็นนี้ ในหัวข้อการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ
กรณีดังกล่าวผมว่ามันมีเรื่องไม่ชอบมาพากลของฝ่ายการเมือง และบรรดาคณาจารย์ทั้งหลาย ผมคิดว่าทั้งสองคณะได้รับผลดีจากการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ มีเพียงนิสิต นักศึกษาเท่านั้นที่เสียผลประโยชน์ ดังนั้นนักศึกษาจึงออกมาคัดค้านไม่เห็นดีด้วย แต่ข้อมูลต่าง ๆ ก็ไม่สามารถชี้ให้เห็นประเด็นที่ชัดเจนมากนัก ผมจึงลองมองในมุมของผมบ้าง จะดีอย่างไร หรือไม่ถูกต้องอย่างไร พิจารณาดูน่ะครับ ใครมีประเด็นที่น่าสนใจก็เชิญสนทนาครับ ในมุมมองของผม
1. ในฝ่ายการเมืองมีผลดีคือ ตัดงบประมาณส่วนของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในส่วนเงินอุดหนุนที่อยู่กับกระทรวงศึกษา ฯ ลงทีละน้อย ๆ จนมหาวิทยาลัยเลี้ยงตัวเองได้ก็ตัดงบทั้งหมดโดยไม่ต้องจ่ายให้อีกในอนาคตข้างหน้า ซึ่งส่วนของมหาวิทยาลัยนี้รัฐบาลไม่ได้เหลียวแลมานานแล้ว โดยฝ่ายการเมืองได้ยุบเอามหาวิทยาลัยไปไว้กับกระทรวงศึกษธิการ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในอดีตเมื่อก่อนนี้เคยมีรัฐมนตรีกำกับดูแลมหาวิทยาลัย แต่บัดนี้กับเอามหาวิทยาลัยไปฝากไว้กับกระทรวงศึกษา ฯ ซึ่งจะเห็นได้ว่าฝ่ายการเมือง (ทุกพรรคการเมือง) เห็นดีเห็นชอบด้วย เพราะรัฐมนตรีประจำทบวงมหาวิทยาลัย คงหาผลประโยชน์จากงบประมาณของกระทรวงได้น้อยหรืออย่างไรไม่ทราบ ฝ่ายพรรคการเมืองจึงไม่ตั้งรัฐมนตรีประจำกระทรวงขึ้นมากำกับดูแล ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกอย่างยิ่ง
การดูแลนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศซึ่งต่อไปจะเป็นบุคคลากรสำคัญของประเทศ กับไม่มีรัฐมนตรีคอยกำกับดูแล นี่แหละที่ผมเห็นว่าเห็นเรื่องน่าแปลกของฝ่ายการเมือง ที่ต้องการเอามหาวิทยาลัยออกนอกระบบ เพราะผลประโยชน์ในเชิงงบประมาณ ที่เห็นมาก็เอาหมาวิทยาลัยบางมหาวิทยาลัย ออกนอกระบบแล้ว แต่ก็ไม่เห็นลดงบประมาณประจำปีเลย งบประมาณกับมากขึ้นทุกปี
2. ในส่วนผลดีของมหาลัย คือมหาวิทยาลัยไม่ต้องจัดทำงบประมาณประจำปีเสนอกระทรวง ในส่วนนี้ผมมองว่าการใช้จ่ายใช้ได้เต็มที่ มีเงินมากใช้มาก มีเงินน้อยใช้น้อย ส่วนเงินเดือนของคณาจารย์ก็รับจากเงินงบประมาณประจำปีในหมวดเงินเดือนตามปกติ แต่ค่าใช้จ่ายในมหาวิทยาลัย ใช้จ่ายได้สะดวกขึ้น ตรงนี้แหละที่ผมมองว่าเป็นผลดีของมหาวิทยาลัย ดังนั้นคณาจารย์ต่าง ๆ จึงเห็นดีด้วย ไม่ออกมาช่วยเหลือนิสิตนักศึกษา ในการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่จะเอามหาวิทยาลัยออกนอกระบบ
ในฐานะที่ผมมองโลกในแง่ร้ายน่ะ มีค่าใช้จ่ายที่ไหนมีคอรัปชั่นที่นั่น (น้ำท่วม สร้างอุโบสถ สร้างวิหาร อุททกภัย สึนามิ ฯลฯ มีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ร้อยละเท่าไหร่ว่ากันไป) แล้วในอนาคตอาจจะมีผลตอบแทนของคณาจารย์ในทางที่ดีมากขึ้น จากมหาวิทยาลัย ในส่วนต่าง ๆ ฯลฯ เช่นอาจจะป้องกันสมองไหลต้องจ่ายค่าตอบแทนของอาจารย์พิเศษมาก ๆ และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ใครจะทราบได้ ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ( ต้นทุนสูง ก็ต้องขายของแพง ถึงจะมีเงินเหลือมาก ๆ) เหมือนกับกับเอาโรงเรียนรัฐ ทำเป็นโรงเรียนเอกชนอย่างไงไม่รู้ แล้วในอนาคตเกิดมหาวิทยาลัยมีนโยบายรับนักศึกษาตรงมากขึ้น โดยรับจากการสอบน้อยลงจะทำอย่างไร เพียงเพื่อมุ่งหวังกำไรมากกว่า ใครจะกำกับดูแล นี่ก็อีกประเด็น
ความจริงแล้วการนำมหาวิทยาลัย ออกนอกระบบฝ่ายการเมืองต้องมีข้อมูลรอบด้านก่อน แล้วก็จะต้องทำความเข้าใจว่าจะมีส่วนดีอย่างไรในอนาคต ไม่ใช้อนาคตเป็นอย่างไรมองไม่เห็น
ข้อมูลรายได้ของประชาชนโดยเฉลี่ยอยู่ที่เท่าไหร่ (ฐานะประชากรน่ะพี่น้อง ดูบ้างหรือเปล่า คนไทยยังจนอยู่เด้อพี่เด้อ) ผู้ปกครองสามารถรับภาระค่าหน่วยกิจของลูกซึ่งเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ คณะต่าง ๆ ได้เท่าไหร่ ต้องมีข้อมูลกำหนด ไม่ใช่ปล่อยให้มหาวิทยาลัยกำหนดเอาเองตามอำเภอใจ ต้องศึกษาข้อมูลหลาย ๆ ด้าน ประเทศเราเป็นประเทศกำลังพัฒนา รอเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างอเมริกาเขาก่อน แล้วค่อยเก็บค่าเทอมลูกหลานมันแพง ๆ ช่วย ๆ ดูแลเขากันหน่อยเถอะครับ ลูกหลานทั้งนั้นแหละครับ (หรือว่าลูกหลานน่ะดีต้องเอาให้มาก ๆ) สวัสดีประเทศไทย (คำพี่ตู้เขาบอก)
ปล. เอามหาวิทยาลัยออกนอกระบบแล้วดีอย่างไร ช่วยตอบให้คนทั้งประเทศเขาฟังหน่อยครับ เอาแบบง่าย ๆ ที่เด็กประถมฟังรู้เรื่องน่ะพี่น้อง ผมความรู้ต่ำครับ
จากรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ 14 ก.พ. 2556
กรณีดังกล่าวผมว่ามันมีเรื่องไม่ชอบมาพากลของฝ่ายการเมือง และบรรดาคณาจารย์ทั้งหลาย ผมคิดว่าทั้งสองคณะได้รับผลดีจากการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ มีเพียงนิสิต นักศึกษาเท่านั้นที่เสียผลประโยชน์ ดังนั้นนักศึกษาจึงออกมาคัดค้านไม่เห็นดีด้วย แต่ข้อมูลต่าง ๆ ก็ไม่สามารถชี้ให้เห็นประเด็นที่ชัดเจนมากนัก ผมจึงลองมองในมุมของผมบ้าง จะดีอย่างไร หรือไม่ถูกต้องอย่างไร พิจารณาดูน่ะครับ ใครมีประเด็นที่น่าสนใจก็เชิญสนทนาครับ ในมุมมองของผม
1. ในฝ่ายการเมืองมีผลดีคือ ตัดงบประมาณส่วนของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในส่วนเงินอุดหนุนที่อยู่กับกระทรวงศึกษา ฯ ลงทีละน้อย ๆ จนมหาวิทยาลัยเลี้ยงตัวเองได้ก็ตัดงบทั้งหมดโดยไม่ต้องจ่ายให้อีกในอนาคตข้างหน้า ซึ่งส่วนของมหาวิทยาลัยนี้รัฐบาลไม่ได้เหลียวแลมานานแล้ว โดยฝ่ายการเมืองได้ยุบเอามหาวิทยาลัยไปไว้กับกระทรวงศึกษธิการ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในอดีตเมื่อก่อนนี้เคยมีรัฐมนตรีกำกับดูแลมหาวิทยาลัย แต่บัดนี้กับเอามหาวิทยาลัยไปฝากไว้กับกระทรวงศึกษา ฯ ซึ่งจะเห็นได้ว่าฝ่ายการเมือง (ทุกพรรคการเมือง) เห็นดีเห็นชอบด้วย เพราะรัฐมนตรีประจำทบวงมหาวิทยาลัย คงหาผลประโยชน์จากงบประมาณของกระทรวงได้น้อยหรืออย่างไรไม่ทราบ ฝ่ายพรรคการเมืองจึงไม่ตั้งรัฐมนตรีประจำกระทรวงขึ้นมากำกับดูแล ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกอย่างยิ่ง
การดูแลนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศซึ่งต่อไปจะเป็นบุคคลากรสำคัญของประเทศ กับไม่มีรัฐมนตรีคอยกำกับดูแล นี่แหละที่ผมเห็นว่าเห็นเรื่องน่าแปลกของฝ่ายการเมือง ที่ต้องการเอามหาวิทยาลัยออกนอกระบบ เพราะผลประโยชน์ในเชิงงบประมาณ ที่เห็นมาก็เอาหมาวิทยาลัยบางมหาวิทยาลัย ออกนอกระบบแล้ว แต่ก็ไม่เห็นลดงบประมาณประจำปีเลย งบประมาณกับมากขึ้นทุกปี
2. ในส่วนผลดีของมหาลัย คือมหาวิทยาลัยไม่ต้องจัดทำงบประมาณประจำปีเสนอกระทรวง ในส่วนนี้ผมมองว่าการใช้จ่ายใช้ได้เต็มที่ มีเงินมากใช้มาก มีเงินน้อยใช้น้อย ส่วนเงินเดือนของคณาจารย์ก็รับจากเงินงบประมาณประจำปีในหมวดเงินเดือนตามปกติ แต่ค่าใช้จ่ายในมหาวิทยาลัย ใช้จ่ายได้สะดวกขึ้น ตรงนี้แหละที่ผมมองว่าเป็นผลดีของมหาวิทยาลัย ดังนั้นคณาจารย์ต่าง ๆ จึงเห็นดีด้วย ไม่ออกมาช่วยเหลือนิสิตนักศึกษา ในการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่จะเอามหาวิทยาลัยออกนอกระบบ
ในฐานะที่ผมมองโลกในแง่ร้ายน่ะ มีค่าใช้จ่ายที่ไหนมีคอรัปชั่นที่นั่น (น้ำท่วม สร้างอุโบสถ สร้างวิหาร อุททกภัย สึนามิ ฯลฯ มีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ร้อยละเท่าไหร่ว่ากันไป) แล้วในอนาคตอาจจะมีผลตอบแทนของคณาจารย์ในทางที่ดีมากขึ้น จากมหาวิทยาลัย ในส่วนต่าง ๆ ฯลฯ เช่นอาจจะป้องกันสมองไหลต้องจ่ายค่าตอบแทนของอาจารย์พิเศษมาก ๆ และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ใครจะทราบได้ ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ( ต้นทุนสูง ก็ต้องขายของแพง ถึงจะมีเงินเหลือมาก ๆ) เหมือนกับกับเอาโรงเรียนรัฐ ทำเป็นโรงเรียนเอกชนอย่างไงไม่รู้ แล้วในอนาคตเกิดมหาวิทยาลัยมีนโยบายรับนักศึกษาตรงมากขึ้น โดยรับจากการสอบน้อยลงจะทำอย่างไร เพียงเพื่อมุ่งหวังกำไรมากกว่า ใครจะกำกับดูแล นี่ก็อีกประเด็น
ความจริงแล้วการนำมหาวิทยาลัย ออกนอกระบบฝ่ายการเมืองต้องมีข้อมูลรอบด้านก่อน แล้วก็จะต้องทำความเข้าใจว่าจะมีส่วนดีอย่างไรในอนาคต ไม่ใช้อนาคตเป็นอย่างไรมองไม่เห็น
ข้อมูลรายได้ของประชาชนโดยเฉลี่ยอยู่ที่เท่าไหร่ (ฐานะประชากรน่ะพี่น้อง ดูบ้างหรือเปล่า คนไทยยังจนอยู่เด้อพี่เด้อ) ผู้ปกครองสามารถรับภาระค่าหน่วยกิจของลูกซึ่งเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ คณะต่าง ๆ ได้เท่าไหร่ ต้องมีข้อมูลกำหนด ไม่ใช่ปล่อยให้มหาวิทยาลัยกำหนดเอาเองตามอำเภอใจ ต้องศึกษาข้อมูลหลาย ๆ ด้าน ประเทศเราเป็นประเทศกำลังพัฒนา รอเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างอเมริกาเขาก่อน แล้วค่อยเก็บค่าเทอมลูกหลานมันแพง ๆ ช่วย ๆ ดูแลเขากันหน่อยเถอะครับ ลูกหลานทั้งนั้นแหละครับ (หรือว่าลูกหลานน่ะดีต้องเอาให้มาก ๆ) สวัสดีประเทศไทย (คำพี่ตู้เขาบอก)
ปล. เอามหาวิทยาลัยออกนอกระบบแล้วดีอย่างไร ช่วยตอบให้คนทั้งประเทศเขาฟังหน่อยครับ เอาแบบง่าย ๆ ที่เด็กประถมฟังรู้เรื่องน่ะพี่น้อง ผมความรู้ต่ำครับ