'ชวนนท์' งัดหลักฐานลายมือมัด 'พงศพัศ' เซ็นเห็นชอบพีซีซีฯประมูลสร้างโรงพักฉาว ระบุเตรียมร่างคำร้องยื่นฟ้อง 'ธาริต' ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
11 ก.พ.56 นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่กล่าวหานายชวนนท์กล่าวเท็จกรณีที่ระบุว่า พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่า กทม.จากพรรคเพื่อไทย เคยเป็นประธานร่างทีโออาร์ในการกำหนดขอบเขตการก่อสร้างโรงพักทดเเทน 396 เเห่งทั่วประเทศว่า เป็นเพียงการตอบโต้ทางการเมืองเท่านั้น ยอมรับได้ระบุว่า พล.ต.อ.พงศพัศ เป็นประธานทีโออาร์จริง แต่ไม่ได้กล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริต อยากให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปถามพล.ต.อ.พงศพัศว่า เหตุใดในทีโออาร์จึงมีการระบุเรื่องการจ่ายเงินล่วงหน้าโดยกำหนดว่าผู้ได้รับการประมูลมีสิทธิขอเบิกเงินล่วงหน้าได้ไม่เกิน 15 % ซึ่งเป็นไปตามทีโออาร์ดั้งเดิมในช่วงที่พล.ต.อ.พงศพัศเป็นประธานอยู่ ดังนั้นนายธาริตจะต้องเชิญ พล.ต.อ.พงศพัศมาสอบถาม เพราะเคยตั้งข้อสังเกตว่ามีการทุจริตเงินที่เบิกล่วงหน้า 15 % วงเงินกว่า 800 ล้านบาท
นายชวนนท์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นายธาริตได้กล่าวหานายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้สั่งการให้มีการยกเลิกการแยกประมูลรายภาคให้มารวมประมูลในคราวเดียวที่ส่วนกลาง ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นประเด็นข้อกฎหมายที่พรรคจะดำเนินคดีกับนายธาริตได้เพราะความจริงนายสุเทพไม่ได้เป็นผู้สั่งการ แต่ดำเนินการอนุมัติตามข้อเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ สตช. โดยมีหนังสือจากพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ถึงนายสุเทพ วันที่ 18 พ.ย.2552 เสนอให้มีการประกวดราคาแบบอิเล็กทรอนิกส์ครั้งเดียว ดังนั้นการระบุว่า นายสุเทพสั่งการจึงเป็นเท็จ เพราะเป็นข้อเสนอของ สตช.ทั้งสิ้น และไม่เข้าใจว่านายธาริตมองข้อกฎหมายตรงข้ามกับ สตช.ได้อย่างไร และที่น่าประหลาดใจคือ พล.ต.อ.พงศพัศไปพบนายธาริต ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดราชการพร้อมกับการันตีความบริสุทธิ์ให้ โดยไม่ดูเอกสารเพิ่มเติมแต่กลับชี้ว่าคนผิดต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการแถลงข่าวนายชวนนท์ ได้นำบันทึกข้อความ สตช.ที่ 0008.322/1231 ลงวันที่ 30 ก.ย.2553 ผู้บัญชาการสำนักส่งกำลังบำรุง (สกบ.) พล.ต.ธ.ธีรยุทธ กิตติวัฒน์ เสนอความเห็นไปยัง ผบ.ตร. ว่ามีการประมูลเสร็จสิ้นแล้วและบริษัทที่ได้รับความเห็นชอบคือ บริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เสนอราคาต่ำสุดวงเงิน 5,848 ล้านบาท ซึ่งพล.ต.อ.พงศพัศระบุว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่กลับพบว่าในขั้นตอนนี้ พล.ต.อ.พงศพัศ เป็นผู้ลงนามเสนอให้ ผบ.ตร.ให้ความเห็นชอบ โดยนายชวนนท์ กล่าวว่า หลักฐานที่นำมาแสดงชี้ให้เห็นว่า พล.ต.อ.พงศพัศ รู้และให้ความเห็นชอบในเรื่องการประมูลแบบรวมศูนย์ จะบอกว่าไม่รู้เรื่องได้อย่างไร ตนไม่เคยใส่ร้ายและไม่เคยกล่าวหาว่าพล.ต.อ.พงศพัศทุจริต แต่ต้องการให้ พล.ต.อ.พงศพัศชี้แจง
นายชวนนท์ กล่าวต่อว่า กรณีที่โฆษกพรรคเพื่อไทยบอกว่าจะดำเนินคดีกับตนและยุบพรรคประชาธิปัตย์นั้นทีมกฎหมายกำลังพิจารณาว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทหรือไม่ เพราะตนพูดตามเอกสารราชการทุกอย่าง หากพาดพิงให้ตนเสียหายจะฟ้องหมิ่นประมาท และท้าว่าหากคิดว่าทำผิดจริงให้รีบไปฟ้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ จะได้ดำเนินการทางกฎหมายทันที แต่ถ้าไม่กล้าก็เป็นเพียงแค่การใส่ร้ายทางการเมืองเพื่อแก้เกี้ยวเท่านั้น ส่วนายธาริตได้ถูกนายสุเทพฟ้องหมิ่นประมาทไปแล้วแต่นายธาริตจะถูกดำเนินคดีมาตรา 157 ของกฎหมายอาญาด้วย เพราะจงใจเบี่ยงเบนประเด็นให้ข้อมูลเป็นเท็จใส่ร้ายพรรคและนายสุเทพ รวมถึงปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการเลือกข้างปกปิดข้อมูล ข้อเท็จจริงอันพึงเปิดเผยทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสีย และ กรณีพล.ต.อ.พงศพัศ นั้นตนอยากให้เล่นการเมืองแบบลูกผู้ชาย ถ้าพล.ต.อ.พงศพัศ ความทรงจำไม่สั้นแต่เป็นคนมีสติปัญญาดี อยากให้พูดว่าความเห็นในวันที่ 30 ก.ย.53 ที่ให้ความเห็นชอบกับการประมูลดังกล่าวหรือไม่
ด้านนายทศพร เพ็งส้ม รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้นำความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 11 ซึ่งมีการพิจารณาเรื่องอำนาจการสืบสวนและสอบสวนของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาแสดง โดยกล่าว่า ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฏีกา ได้ระบุชัดเจนว่า “ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต” กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการกล่าวโทษบุคคลนั้นต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี ซึ่งเอกสารนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ไม่ใช่ของดีเอสไอซึ่งจะมีอำนาจเฉพาะกรณีบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น แต่นายธาริตกลับเตรียมที่จะตั้งข้อหากับนายสุเทพ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ โดยตนกำลังร่างฟ้องนายธาริตและดีเอสไอตามแนวทางเดียวกับที่เคยฟ้อง ก.ก.ต. ยุค พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เพื่อยื่นฟ้องต่อไปหลังจากให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบและรวมเอกสารทั้งหมดเสร็จสิ้น
// 'ปชป.'โชว์ หลักฐาน เด็ด ลายมือมัด'พงศพัศ' เซ็นเห็นชอบพีซีซีฯประมูลสร้างโรงพักฉาว......//
'ชวนนท์' งัดหลักฐานลายมือมัด 'พงศพัศ' เซ็นเห็นชอบพีซีซีฯประมูลสร้างโรงพักฉาว ระบุเตรียมร่างคำร้องยื่นฟ้อง 'ธาริต' ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
11 ก.พ.56 นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่กล่าวหานายชวนนท์กล่าวเท็จกรณีที่ระบุว่า พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่า กทม.จากพรรคเพื่อไทย เคยเป็นประธานร่างทีโออาร์ในการกำหนดขอบเขตการก่อสร้างโรงพักทดเเทน 396 เเห่งทั่วประเทศว่า เป็นเพียงการตอบโต้ทางการเมืองเท่านั้น ยอมรับได้ระบุว่า พล.ต.อ.พงศพัศ เป็นประธานทีโออาร์จริง แต่ไม่ได้กล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริต อยากให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปถามพล.ต.อ.พงศพัศว่า เหตุใดในทีโออาร์จึงมีการระบุเรื่องการจ่ายเงินล่วงหน้าโดยกำหนดว่าผู้ได้รับการประมูลมีสิทธิขอเบิกเงินล่วงหน้าได้ไม่เกิน 15 % ซึ่งเป็นไปตามทีโออาร์ดั้งเดิมในช่วงที่พล.ต.อ.พงศพัศเป็นประธานอยู่ ดังนั้นนายธาริตจะต้องเชิญ พล.ต.อ.พงศพัศมาสอบถาม เพราะเคยตั้งข้อสังเกตว่ามีการทุจริตเงินที่เบิกล่วงหน้า 15 % วงเงินกว่า 800 ล้านบาท
นายชวนนท์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นายธาริตได้กล่าวหานายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้สั่งการให้มีการยกเลิกการแยกประมูลรายภาคให้มารวมประมูลในคราวเดียวที่ส่วนกลาง ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นประเด็นข้อกฎหมายที่พรรคจะดำเนินคดีกับนายธาริตได้เพราะความจริงนายสุเทพไม่ได้เป็นผู้สั่งการ แต่ดำเนินการอนุมัติตามข้อเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ สตช. โดยมีหนังสือจากพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ถึงนายสุเทพ วันที่ 18 พ.ย.2552 เสนอให้มีการประกวดราคาแบบอิเล็กทรอนิกส์ครั้งเดียว ดังนั้นการระบุว่า นายสุเทพสั่งการจึงเป็นเท็จ เพราะเป็นข้อเสนอของ สตช.ทั้งสิ้น และไม่เข้าใจว่านายธาริตมองข้อกฎหมายตรงข้ามกับ สตช.ได้อย่างไร และที่น่าประหลาดใจคือ พล.ต.อ.พงศพัศไปพบนายธาริต ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดราชการพร้อมกับการันตีความบริสุทธิ์ให้ โดยไม่ดูเอกสารเพิ่มเติมแต่กลับชี้ว่าคนผิดต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการแถลงข่าวนายชวนนท์ ได้นำบันทึกข้อความ สตช.ที่ 0008.322/1231 ลงวันที่ 30 ก.ย.2553 ผู้บัญชาการสำนักส่งกำลังบำรุง (สกบ.) พล.ต.ธ.ธีรยุทธ กิตติวัฒน์ เสนอความเห็นไปยัง ผบ.ตร. ว่ามีการประมูลเสร็จสิ้นแล้วและบริษัทที่ได้รับความเห็นชอบคือ บริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เสนอราคาต่ำสุดวงเงิน 5,848 ล้านบาท ซึ่งพล.ต.อ.พงศพัศระบุว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่กลับพบว่าในขั้นตอนนี้ พล.ต.อ.พงศพัศ เป็นผู้ลงนามเสนอให้ ผบ.ตร.ให้ความเห็นชอบ โดยนายชวนนท์ กล่าวว่า หลักฐานที่นำมาแสดงชี้ให้เห็นว่า พล.ต.อ.พงศพัศ รู้และให้ความเห็นชอบในเรื่องการประมูลแบบรวมศูนย์ จะบอกว่าไม่รู้เรื่องได้อย่างไร ตนไม่เคยใส่ร้ายและไม่เคยกล่าวหาว่าพล.ต.อ.พงศพัศทุจริต แต่ต้องการให้ พล.ต.อ.พงศพัศชี้แจง
นายชวนนท์ กล่าวต่อว่า กรณีที่โฆษกพรรคเพื่อไทยบอกว่าจะดำเนินคดีกับตนและยุบพรรคประชาธิปัตย์นั้นทีมกฎหมายกำลังพิจารณาว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทหรือไม่ เพราะตนพูดตามเอกสารราชการทุกอย่าง หากพาดพิงให้ตนเสียหายจะฟ้องหมิ่นประมาท และท้าว่าหากคิดว่าทำผิดจริงให้รีบไปฟ้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ จะได้ดำเนินการทางกฎหมายทันที แต่ถ้าไม่กล้าก็เป็นเพียงแค่การใส่ร้ายทางการเมืองเพื่อแก้เกี้ยวเท่านั้น ส่วนายธาริตได้ถูกนายสุเทพฟ้องหมิ่นประมาทไปแล้วแต่นายธาริตจะถูกดำเนินคดีมาตรา 157 ของกฎหมายอาญาด้วย เพราะจงใจเบี่ยงเบนประเด็นให้ข้อมูลเป็นเท็จใส่ร้ายพรรคและนายสุเทพ รวมถึงปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการเลือกข้างปกปิดข้อมูล ข้อเท็จจริงอันพึงเปิดเผยทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสีย และ กรณีพล.ต.อ.พงศพัศ นั้นตนอยากให้เล่นการเมืองแบบลูกผู้ชาย ถ้าพล.ต.อ.พงศพัศ ความทรงจำไม่สั้นแต่เป็นคนมีสติปัญญาดี อยากให้พูดว่าความเห็นในวันที่ 30 ก.ย.53 ที่ให้ความเห็นชอบกับการประมูลดังกล่าวหรือไม่
ด้านนายทศพร เพ็งส้ม รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้นำความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 11 ซึ่งมีการพิจารณาเรื่องอำนาจการสืบสวนและสอบสวนของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาแสดง โดยกล่าว่า ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฏีกา ได้ระบุชัดเจนว่า “ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต” กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการกล่าวโทษบุคคลนั้นต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี ซึ่งเอกสารนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ไม่ใช่ของดีเอสไอซึ่งจะมีอำนาจเฉพาะกรณีบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น แต่นายธาริตกลับเตรียมที่จะตั้งข้อหากับนายสุเทพ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ โดยตนกำลังร่างฟ้องนายธาริตและดีเอสไอตามแนวทางเดียวกับที่เคยฟ้อง ก.ก.ต. ยุค พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เพื่อยื่นฟ้องต่อไปหลังจากให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบและรวมเอกสารทั้งหมดเสร็จสิ้น