เพื่อน
อนัตดา พุทธิกุล
เกริ่นนำ ….
Valentine’s Day กำลังจะเยือนอีกครั้ง
เพื่อน คือ ความรัก อีกรูป แบบหนึ่ง ที่ฉันภูมิใจนำเสนอ
ฉันแต่งเรื่องนี้ ขณะนั่ง ละเลียด คาราเมล มัคคิอาโต้ ใน starbucks
ในบ่ายแก่ๆ ของวันเสาร์ ที่คลื้มฟ้า คลื้มฝน
แรงจุงใจ …
มาจาก เด็กวัยใสๆกลุ่มหนึ่ง ที่นั่งอยู่ ที่โต๊ะ ข้างๆ พวกเขา คุยกันในเรื่อง สัปเพเหระ ทั้งเรื่องโรงเรียน บ้าน ครู คู่รัก ปนเปไป
เห็นแล้ว ทำให้ฉัน คิดถึงเพื่อน ร่วมแก็งค์ สมัยเรียน ในโรงเรียน สหศึกษา …ไล่เรื่อยถึง
มหาลัย
เข้าเรื่อง …
“โตขึ้น “ อาจจะมีเพื่อนน้อยลง แต่ที่เหลืออยู่ ก็คือ “เพื่อนแท้”
และฉันได้พิสุทธ์แล้วว่า คำพูดที่ว่านั้น คือความจริง
เพราะทุกครั้ง ที่ฉันกลับมาเยี่ยมบ้าน ฉันจะพบกับเพื่อน เพียงไม่กี่คน ที่เหลืออยู่ แต่ทุกคน ต่างยินดี ที่ฉันกลับมา
“สวัสดีนัน เป็นไง สบายดี ” แหม่ม ทักทาย เมื่อโทรฯมาหาฉัน ในเช้าที่อากาศ สดใส
“สบายดี แล้วนี่รู้ได้ยังไง ว่าเค้ากลับมา ”
“รู้จากไอ้ตุ๊ก คุยกันสองวันก่อน แล้วนี่ตัวเอง จะกลับเมื่อไหร่”
“อีกสองอาทิตย์ ก็จะกลับ ”
“แล้วนี่ ตัวเอง มาตั่งแต่เมื่อไหร่ ”
“สองอาทิตย์กว่า ”
“ทำไม รีบกลับจัง ” แหม่ม ยังคงถามต่อไป
“ อยู่นานไม่ได้ เดี๋ยวที่รัก ปลดระวาง” ฉันตอบตามสไตล์ ร้อยวันพันปี ฉันไม่เคยซีเรียสกับใคร
แหม่มได้ยินก็หัวเราะคิ๊ก มาตามสาย
“ตัวนี่ กี่ปีๆ ตลกไม่หาย”
“พูดจริง เรื่องอย่างนี้ พูดเล่นได้ที่ไหน “ กล่าวจบก็หัวเราะดังๆ ถามกลับไป “ว่าแต่ตัวเถอะ เป็นไงบ้าง สบายดีเหรอ”
“ก็..เรื่อยๆ “ แหม่มตอบเสียงเนือยๆ
“น้องจูน เป็นไง “ ฉันถามถึงลูกสาว แหม่ม ที่เห็นตั่งแต่อยู่ในท้อง
“น้องจูน ทำงานทำการแล้ว “
“ว้าว” ฉันร้องดังๆ “ดูซิ เห็นเป็นเด็กเมื่อวาน แล้วอย่างนี้ พวกเราจะไม่แก่ยังไงไหว” ฉันพูดอย่างปลงๆ ก่อนจะโดนแหม่ม ท้วงดังๆ มาตามสาย
“อย่าพูดเรื่องแก่ ใจไม่ดี” แหม่มว่า
แน่ละ คนสวย มักจะกลัว ความแก่
แหม่ม สวยทีเดียว ผิว คล้ำ หน้าคม เหมือนแขก ถ้านึกภาพไม่ออก ให้นึกถึง พิ้งกี้ สาวิกา เหมือนกันยังไงยังงั้น
และแม้เวลาจะผ่านพ้น … เจอกันครั้งหลัง เมื่อปีกลาย แม้จะมีริ้วรอย เหี่ยวย่นไปบ้าง แหม่มก็ยังสวยอยู่ดี
“นัน ตัวจำ น้อย ได้มั๊ย” จู่ๆ แหม่มก็เปลี่ยนเรื่องเฉย สงสัยจะสะเทือนใจ เรื่องความแก่
“น้อย ไหน” ฉันถาม น้อยไม่ได้มีคนเดียว ในประเทศไทย คิด แต่ไม่ได้พูดออกมา พยายามนึก แต่นึกไม่ออก
“ก็น้อย แฟนเค้า ที่ตัวเองติดต่อให้ไง น้อย สูงๆ ขาวๆ ขี้อายๆ ที่เรียนแผนกวิทย์ “
“อ๋อ น้อย อินโนเซ้นต์นะเหรอ “ฉันร้องออกมาดังๆ พอนึกออก ก็หัวเราะร่วน แหม่มได้ยินก็เลยหัวเราะตามไป
“ใช่ๆ อินโนเซ้นต์ ของนันนั่นแหละ”
“ของตัวเองต่างหาก ของเค้าซะที่ไหน” ฉันค้าน ส่วนเหตุ ที่ฉันเรียกน้อย อินโนเซ้นต์ เพราะตอนนั้น หน้าตา ท่าทางเขา ไร้เดียงสา
นึกถึงน้อย ภาพนั้นก็ลอยขึ้นมา เด็กหนุ่ม หน้าหวาน ผิวขาว ผมหยักโศรก สูงๆ เดินหลังงอๆ พูด ช้าๆ ชอบก้มหน้า ขี้อ๊าย ขี้อาย
“พูด อย่างนี้ แสดงว่า เจอกันแล้ว ” ฉันถาม ใจก็คิดไป ตั่งแต่ออกจากโรงเรียน ฉันไม่เคยเจอะน้อยเลย กี่ปี่ นะเนี๊ยะ ? โอ้ว ! นานเนิ่น จนนับไม่ถูก
“เจอเมื่อไม่นานมานี่ เค้าไปกินข้าว แถมรามอินทรา แล้ว เจอไอ้ สุ จำไอ้สุ เพื่อนร่วมชั้นน้อย ได้มั๊ย”
“จำได้” ฉันตอบสั้นๆ
ถึงสุ จะไม่ใช่เพื่อนร่วมชั้น แต่ก็เพื่อน ร่วมโรงเรียน เห็นกัน ก็ยิ้มให้กัน บางทีก็คุยกัน
“นั่นแหละ คุยกันไปคุยกันมา พูดถึงเพื่อนเก่า ก็เลยพูดถึงน้อยขึ้นมา สุ เจอ น้อย อย่างบังเอิญ เลย แลกเปลี่ยนเบอร์โทรฯ กัน เค้าก็เลยขอเบอร์น้อยมา แล้วก็โทรฯไปหา ”
“แล้วน้อยทำอะไร ตอนนี้ “ ถามด้วยความอยากรู้ ไม่ใช่แต่กับน้อย เท่านั้นหรอก กับเพื่อนคนอื่นๆ ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน พวกเขา อยู่ไหน ทำอะไร สุขกาย สบายดีหรือเปล่า
“นัน ทายซิ “
“เป็นหมอ แหงๆ “ ฉันเดา เท่าที่จำได้ ครอบครัวน้อย “ เป็นครอบครัวหมอ “ เริ่มแต่พ่อ อา แล้วก็ พี่ชาย งานนี้ ฉันทายถูกอยู่แล้ว ลูกไม้ หล่นไม่ไกลต้น เขาว่ากันอย่างนั้น
“ผิด” แหม่มร้องดังๆ ก่อนจะทำให้ฉันแปลกใจ๊แปลกใจ เมื่อเฉลยออกมาว่า “ คุณน้อยเป็นตำรวจ”
“หา”ฉันร้องดัๆ ประหลาดใจเหลือล้ำ อินโนเซ้นต์นี่นะ เป็นตำวจ คิด แต่ไม่ได้พูด
“ตอนนี้เป็น สารวัตรใหญ่ อยู่ที่สน… “
“ว้าว ” ฉันร้องดังๆ พยายาม วาดภาพน้อย ฟาดฟัน กับเหล่าร้าย แต่นึกเท่าไหร่ ก็นึกไม่ออก ช้าๆ อย่างนั้น จะไปตามอะไร ผู้ร้ายทัน
“ตัวถามน้อยหรือเปล่า คิดอย่างไร ถึงได้ไปเป็นตำรวจ แทนที่จะเป็นหมอ” ฉันถามแหม่ม ด้วยความอยากรู้
“ถามแล้ว เจ้าตัวเขาบอกว่า ที่บ้านเป็นหมอกันหมด เลยอยากเป็นอย่างอื่นบ้าง”
“เข้าท่า “ ฉันเอ่ยออกมาเท่านั้น ก็หัวเราะเบาๆ
“เจอกัน ไม๊นัน เดี๋ยวเค้า โทรฯ นัดน้อยให้ พูดถึงนัน น้อยยังบ่นถึง บอกว่าอยากเห็นหน้า ”
“เอาซิ เมื่อไหร่ล๊ะ “ ตอบรับโดยเร็ว อยากเห็น อินโนเซ้นต์ จะเปลี่ยนไป มากไหม
“ เค้าต้องโทรฯถามเจ้าตัวก่อน ท่านรองฯ งานรัดตัวซะด้วย “
ท่านรองฯ ฉันได้ยิน ก็นึกขำกับ สรรพนามนั้น ใครเลยจะเชื่อ อินโนเซ้นต์ ของฉัน ทำไป ทำไม กลายเป็น ท่านรองฯ ไปเสียแล้ว
“งั้น ตัวกับน้อย นัดกันให้เรียบร้อย ส่วนเค้าจะบอกไอ้ตุ๊ก ไอ้ แจ๊ด ไอ้หน่อง ให้ ไปกันหลายๆคน สนุกดี “
“ตกลง งั้นได้เรื่องอย่างไร เค้าจะโทรฯมาบอก “ แหม่มพูดอย่างนั้น ก็วางสายไป
แต่แหม่มก็ไม่ได้โทรฯมา… หายเงียบไป
จนเหลืออีกวันเดียว ฉันจะเดินทางกลับ แหม่มถึงโทรฯมาได้
“น้อย ว่างวันนี้ ไปกินข้าวเที่ยงกันนะ เดี๋ยว ตัวก็โทรฯไปบอก ตุ๊ก กับ ไอ้แจ๊ด ไอ้หน่อง เราเจอกัน แถว เซ็นทรัล ลาดพร้าว”
“ทำไมไกลจัง หนูอยู่ฝั่งธนฯ นะคะ” ฉันท้วง
“ก้อ … น้อยเขามาทางนั้น “
อ้อสะดวก ผู้ชาย แต่ไม่คิดถึงฉัน ที่เป็นผู้หญิง ดีมาก “ ฉันบ่นไปอย่างนั้น เพราะตอนหลัง ก็รับปากไป
เมื่อเราไปยังที่นัดหมาย สมาชิก มีฉัน ตุ๊ก แจ๊ด ขาดไปก็แต่หน่อง ที่ติดงานต่างจังหวัด แหม่มมาสมทบตอนหลัง มาถึงก็กระหืดกระหอบ รายงานว่า
“น้อย ติดรับเสด็จ มานี่ไม่ได้ ให้เราไปเจอที่ร้านอาหาร ที่โน่น…
ที่โน่น… คือ จังหวัด ที่น้อย ประจำการ แม้จะห่างจาก กทม ไม่มาก ขับรถ แค่ชั่วโมงกว่าๆ แต่กระนั้น ก็ยังไกลอยู่ดี สำหรับฉัน
“จะดีเหรอ ฉันค้าน เค้าจะขึ้นเครื่องหกโมงเช้าวันพรุ่งนี้ แต่จนป่านนี้ ยังไม่ได้ลงมือจัดกระเป๋าเลย”
“ไปเถอะ อย่าเรื่องมาก “ตุ๊กว่า แหม่ม กับ แจ๊ด สนับสนุน พวกนี้ไม่ได้ เห็นอกเห็นใจ ผู้ชายเสมอ
น้ำน้อย ย่อมแพ้ไฟ ฉันคนเดียวจะไปค้าน อะไรพวกนั้นได้
สรุป เราก็เลยต้องท่อไปหา น้อย ที่โน่น…..
เราไปรถแหม่ม ฟอร์ด เฟียสต้า สีขาว สี่ประตู รุ่นล่า
แหม่มขับไป คุยเรื่องเก่าๆ วีรรกรรมของแต่ละคน สมัยเรียน แล้วก็หัวเราะกันลั่นรถ กระทั่งไปถึงร้านอาหารเปิดโล่ง รับลม ตั่งอยู่ริมทุ่ง
เรานั่งกันที่โต๊ะหินอ่อน ตอนนั้นเที่ยงกว่า ระหว่างที่รอน้อย เราก็สั่งอาหาร กินกันไปพลางๆ หยอกเหย้ากระเซ้าแหย่ ฆ่าเวลา
“ตุ๊ก ทำไมตัวเอง อ้วนนักวะ “ แหม่ม ถาม ตุ๊ก ที่ น้ำหนักร่วมเก้าสิบกิโล
“กูชอบกิน .. ทำไม มีปัญหาเหรอ”
ตุ๊ก ติดเสียแล้ว ที่จะพูดอย่างนี้ สมัยเรียนก็เป็นอย่างนี้ พูดเพราะก็ได้ แต่ไม่พูด มีอะไรไหม
ฉันมองแหม่มเงียบๆ คันปากยิบๆ ว่าแต่ตุ๊กเปลี่ยน แหม่มเองก็เหมือนกันนั่นแหละ
สมัยเรียน แหม่มนะ กว่าจะพูดออกมาแต่ละคำ ทำราวพิกุลจะร่วง
แต่มาวันนี้ แหม่ม กลับจ้อไม่ได้หยุด
ตั่งแต่ในรถ จนมาถึงร้านอาหาร
“แต่นัน นะเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนเลยนะ ทั้งหน้าตา และนิสัย “แหม่มหันมา วิจารณ์ฉัน ตุ๊ก อดไม่ได้ เลยถามฉันดังๆ
“นัน ติดรางวัลมันหรือเปล่าว๊ะ กับกู มันว่าอ้วนเอา ๆ แต่กับ ชมเอาๆ ในรถก็ที นี่เอง” ตุ๊กว่า เอาซ่อมจิ้มทอดมันยัดใส่ปาก กินอย่างแค้นเคือง
“น้อยมา แล้ว” แหม่มร้องออกมาดังๆ อย่างตื่นเต้น ทุกคนหยุดคุย หันไปมอง ก็เห็น Toyota tundra สีดำ ใหม่เอี่ยม แล่นปาดเข้ามาจอดตรงหน้าที่เรานั่ง
น้อย ฉันพึมพัมชื่อนั้นในใจ มองดู นายตำรวจในเครื่องแบบ เปิดประตู ก้าวลงมายืนโดนเด่นอยู่ข้างรถ มองมาทางเรายิ้มๆ แหม่มโบกมือ พร้อมกับส่งยิ้ม น้อยก็ ส่งยิ้ม โบกมือตอบกลับมา
ครู่ต่อมา น้อย ก็จัดแจงถอดเสื้อตัวนอก โยนใส่รถ ตุ๊กที่นั่งใกล้ๆกับแหม่มยื่นหน้าไปบอก
“แหม่ม มันกะมาปล้ำแหงๆ ระวังตัว ให้ดี ” ตุ๊ก คิดดีก็ได้ แต่ส่วนมาก จะคิดไม่ดี
ตุ๊กเข้าใจผิด
น้อยไม่ปล้ำแหม่ม เพราะ พอหย่อนตัวนั่งข้างแหม่ม น้อยก็สั่งเบียร์ทันที
“ใส่ครื่องแบบ กินเบียร์ไม่ได้เหรอ “ แจ๊ด ที่นั่งใกล้ๆน้อย ยื่นหน้าไปถาม
“ได้นะได้ อยู่ “น้อยตอบยิ้มๆ “แต่มันดูไม่ดี ”หยุดพลางมองมายังฉัน
“ไง แม่สื่อ สบายดี ” ทักยิ้มๆ “หน้าตาเหมือนเดิมเลยนะเรา แหม่มบอกว่า อยู่อเมริกา อากาศที่โน่น เป็นไง
แฟนละ เค้าดีกับเรามั๊ย อยู่ทางเหนือ หรือทางใต้ เคยไป แคลิฟอร์เนียหรือเปล่า ญาติน้อย อยู่นั่นหลายคน”
ฉันไม่ตอบ แต่อมยิ้ม น้อยเลยถามอย่างแปลกใจ
“อ้าว แล้วกัน ตอบไม่ได้หรือไง ถึงเอาแต่ยิ้ม “ น้อยเหย้า
“ไม่ใช่ตอบไม่ได้” ฉันว่า “ แต่มีความรู้สึก เหมือนกับ กำลัง โดนน้อย สอบปากคำอยู่” สิ้นเสียงฉัน เพื่อนๆก็ฮา น้อยเอ่ยยิ้มๆ
“ถาม เพราะอยากรู้ เพื่อนเก่า เป็นไงบ้าง “ หยุดหัวเราะเบาๆ “ถ้าน้อย สอบปากคำละก็ นันไม่ได้นั่งอมยิ้มอย่างนี้หรอก”
“เหอ” ไม่ใช่แต่ฉัน แต่อีกสามคนที่เหลือ ก็ร้องขึ้นมาพร้อมๆกัน
“เกิดอะขึ้นกับตุ๊ก สมัยเรียน ตัวนิดเดียว ใส่ยีนฟิตเปรี๊ยะ ยังกับนางแบบ “น้อยว่า
“แล้วมันกี่ปีแล้วละ คุณน้อย” ตุ๊กท้วงดัง “ ตัวเองก็เถอะ ไม่ใช่เด็ก เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ ดูตาซิ ย่นเชียว “
ท่านลงท่านรองฯ ตุ๊ก ไม่สน มาว่าฉันอ้วน ได้เห็นดีกัน
“รู้ อยู่ “น้อยว่า “ ที่พูดนี่ ไม่ได้ว่า แค่แปลกใจเฉยๆ ” เอ่ยยิ้มๆ หันไปทาง แหม่ม
“แหม่มสบายดี หรือเปล่า รูปร่างตอนนี้ดีแล้ว คราวก่อนเจอกันผอมไป น้อยเป็นห่วง รู้มํย ” สีหน้า ดูจะยืนยันคำพูดได้เป็นอย่างดี
“ห่วงแต่แหม่ม แล้วเค้าล่ะ “แจ๊ด แทรกขึ้นมา
“ก็ห่วงอยู่ “ ทำเสียงล้อเลียน “แล้วครอบครัวแจ๊ด เป็นไง”
“แฟนเค้าเสียไปเมื่อปีก่อน ลูกสาวโตคนโตเรียนจบ ทำงานแล้ว คนเล็กเรียนมอหนึ่ง”
“เสียใจด้วยนะ แจ๊ด ไม่เป็นไรใช่ไม๊” น้อยถาม น้ำเสียงอ่อนโยน พอกับใบหน้า
“เป็นไม่ได้ “ แจ๊ดตอบอย่างหนักแน่น” ลูกคนเล็กยังเล็ก ยังไง ต้องสู้ต่อไป” แจ๊ดตอบยิ้มๆ แต่แววตาเด็ดเดี่ยวจนทุกคนเห็นได้
“แล้วจะพูดเรื่องเศร้าๆทำไม มากินข้าว อย่าดราม่า ขอร้อง” ตุ๊กขัด ดังๆ เรียกเสียงฮา
“แหม่มล่ะ เป็นไง” น้อย ยังคง สอบปากคำ เอ๊ย ถามไถ่ต่อไป
“ก็เรื่อยๆ “ แหม่มตอบ ก่อนจะถามกลับ
“น้อยละ ครอบตัวเป็นไง แฟนสบายดี ลูกล่ะ เป็นผู้ชายสองคนใช่มั๊ย เห็นไอ้สุว่า ”
“แฟน น้อย ก็โอเค เป็นแม่บ้าน ลูกชายคนโตเรียนหมอ คนเล็กเรียนนิติ ปีหนึ่ง “ น้อยหยุดพูด หันมาทางฉัน
“แล้ว นันละ ครอบครัว เป็นไง ”
“มีแต่แฟน แต่ไม่มีลูก “ฉันตอบยิ้มๆ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร
“เค้าก็เหมือนกัน” ตุ๊ก ตอบ ทั้งที่น้อย ไม่ได้ถาม “
“แหม่มอยากเห็นแฟนนันมั๊ย “ ตุ๊กที่กำลังดูรูปถ่าย จากกล้องของฉัน ร้องถามแหม่ม และไม่ทันที่แหม่มจะพูดอะไร ก็ยื่นกล้องให้
เพื่อน
อนัตดา พุทธิกุล
เกริ่นนำ ….
Valentine’s Day กำลังจะเยือนอีกครั้ง
เพื่อน คือ ความรัก อีกรูป แบบหนึ่ง ที่ฉันภูมิใจนำเสนอ
ฉันแต่งเรื่องนี้ ขณะนั่ง ละเลียด คาราเมล มัคคิอาโต้ ใน starbucks
ในบ่ายแก่ๆ ของวันเสาร์ ที่คลื้มฟ้า คลื้มฝน
แรงจุงใจ …
มาจาก เด็กวัยใสๆกลุ่มหนึ่ง ที่นั่งอยู่ ที่โต๊ะ ข้างๆ พวกเขา คุยกันในเรื่อง สัปเพเหระ ทั้งเรื่องโรงเรียน บ้าน ครู คู่รัก ปนเปไป
เห็นแล้ว ทำให้ฉัน คิดถึงเพื่อน ร่วมแก็งค์ สมัยเรียน ในโรงเรียน สหศึกษา …ไล่เรื่อยถึง
มหาลัย
เข้าเรื่อง …
“โตขึ้น “ อาจจะมีเพื่อนน้อยลง แต่ที่เหลืออยู่ ก็คือ “เพื่อนแท้”
และฉันได้พิสุทธ์แล้วว่า คำพูดที่ว่านั้น คือความจริง
เพราะทุกครั้ง ที่ฉันกลับมาเยี่ยมบ้าน ฉันจะพบกับเพื่อน เพียงไม่กี่คน ที่เหลืออยู่ แต่ทุกคน ต่างยินดี ที่ฉันกลับมา
“สวัสดีนัน เป็นไง สบายดี ” แหม่ม ทักทาย เมื่อโทรฯมาหาฉัน ในเช้าที่อากาศ สดใส
“สบายดี แล้วนี่รู้ได้ยังไง ว่าเค้ากลับมา ”
“รู้จากไอ้ตุ๊ก คุยกันสองวันก่อน แล้วนี่ตัวเอง จะกลับเมื่อไหร่”
“อีกสองอาทิตย์ ก็จะกลับ ”
“แล้วนี่ ตัวเอง มาตั่งแต่เมื่อไหร่ ”
“สองอาทิตย์กว่า ”
“ทำไม รีบกลับจัง ” แหม่ม ยังคงถามต่อไป
“ อยู่นานไม่ได้ เดี๋ยวที่รัก ปลดระวาง” ฉันตอบตามสไตล์ ร้อยวันพันปี ฉันไม่เคยซีเรียสกับใคร
แหม่มได้ยินก็หัวเราะคิ๊ก มาตามสาย
“ตัวนี่ กี่ปีๆ ตลกไม่หาย”
“พูดจริง เรื่องอย่างนี้ พูดเล่นได้ที่ไหน “ กล่าวจบก็หัวเราะดังๆ ถามกลับไป “ว่าแต่ตัวเถอะ เป็นไงบ้าง สบายดีเหรอ”
“ก็..เรื่อยๆ “ แหม่มตอบเสียงเนือยๆ
“น้องจูน เป็นไง “ ฉันถามถึงลูกสาว แหม่ม ที่เห็นตั่งแต่อยู่ในท้อง
“น้องจูน ทำงานทำการแล้ว “
“ว้าว” ฉันร้องดังๆ “ดูซิ เห็นเป็นเด็กเมื่อวาน แล้วอย่างนี้ พวกเราจะไม่แก่ยังไงไหว” ฉันพูดอย่างปลงๆ ก่อนจะโดนแหม่ม ท้วงดังๆ มาตามสาย
“อย่าพูดเรื่องแก่ ใจไม่ดี” แหม่มว่า
แน่ละ คนสวย มักจะกลัว ความแก่
แหม่ม สวยทีเดียว ผิว คล้ำ หน้าคม เหมือนแขก ถ้านึกภาพไม่ออก ให้นึกถึง พิ้งกี้ สาวิกา เหมือนกันยังไงยังงั้น
และแม้เวลาจะผ่านพ้น … เจอกันครั้งหลัง เมื่อปีกลาย แม้จะมีริ้วรอย เหี่ยวย่นไปบ้าง แหม่มก็ยังสวยอยู่ดี
“นัน ตัวจำ น้อย ได้มั๊ย” จู่ๆ แหม่มก็เปลี่ยนเรื่องเฉย สงสัยจะสะเทือนใจ เรื่องความแก่
“น้อย ไหน” ฉันถาม น้อยไม่ได้มีคนเดียว ในประเทศไทย คิด แต่ไม่ได้พูดออกมา พยายามนึก แต่นึกไม่ออก
“ก็น้อย แฟนเค้า ที่ตัวเองติดต่อให้ไง น้อย สูงๆ ขาวๆ ขี้อายๆ ที่เรียนแผนกวิทย์ “
“อ๋อ น้อย อินโนเซ้นต์นะเหรอ “ฉันร้องออกมาดังๆ พอนึกออก ก็หัวเราะร่วน แหม่มได้ยินก็เลยหัวเราะตามไป
“ใช่ๆ อินโนเซ้นต์ ของนันนั่นแหละ”
“ของตัวเองต่างหาก ของเค้าซะที่ไหน” ฉันค้าน ส่วนเหตุ ที่ฉันเรียกน้อย อินโนเซ้นต์ เพราะตอนนั้น หน้าตา ท่าทางเขา ไร้เดียงสา
นึกถึงน้อย ภาพนั้นก็ลอยขึ้นมา เด็กหนุ่ม หน้าหวาน ผิวขาว ผมหยักโศรก สูงๆ เดินหลังงอๆ พูด ช้าๆ ชอบก้มหน้า ขี้อ๊าย ขี้อาย
“พูด อย่างนี้ แสดงว่า เจอกันแล้ว ” ฉันถาม ใจก็คิดไป ตั่งแต่ออกจากโรงเรียน ฉันไม่เคยเจอะน้อยเลย กี่ปี่ นะเนี๊ยะ ? โอ้ว ! นานเนิ่น จนนับไม่ถูก
“เจอเมื่อไม่นานมานี่ เค้าไปกินข้าว แถมรามอินทรา แล้ว เจอไอ้ สุ จำไอ้สุ เพื่อนร่วมชั้นน้อย ได้มั๊ย”
“จำได้” ฉันตอบสั้นๆ
ถึงสุ จะไม่ใช่เพื่อนร่วมชั้น แต่ก็เพื่อน ร่วมโรงเรียน เห็นกัน ก็ยิ้มให้กัน บางทีก็คุยกัน
“นั่นแหละ คุยกันไปคุยกันมา พูดถึงเพื่อนเก่า ก็เลยพูดถึงน้อยขึ้นมา สุ เจอ น้อย อย่างบังเอิญ เลย แลกเปลี่ยนเบอร์โทรฯ กัน เค้าก็เลยขอเบอร์น้อยมา แล้วก็โทรฯไปหา ”
“แล้วน้อยทำอะไร ตอนนี้ “ ถามด้วยความอยากรู้ ไม่ใช่แต่กับน้อย เท่านั้นหรอก กับเพื่อนคนอื่นๆ ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน พวกเขา อยู่ไหน ทำอะไร สุขกาย สบายดีหรือเปล่า
“นัน ทายซิ “
“เป็นหมอ แหงๆ “ ฉันเดา เท่าที่จำได้ ครอบครัวน้อย “ เป็นครอบครัวหมอ “ เริ่มแต่พ่อ อา แล้วก็ พี่ชาย งานนี้ ฉันทายถูกอยู่แล้ว ลูกไม้ หล่นไม่ไกลต้น เขาว่ากันอย่างนั้น
“ผิด” แหม่มร้องดังๆ ก่อนจะทำให้ฉันแปลกใจ๊แปลกใจ เมื่อเฉลยออกมาว่า “ คุณน้อยเป็นตำรวจ”
“หา”ฉันร้องดัๆ ประหลาดใจเหลือล้ำ อินโนเซ้นต์นี่นะ เป็นตำวจ คิด แต่ไม่ได้พูด
“ตอนนี้เป็น สารวัตรใหญ่ อยู่ที่สน… “
“ว้าว ” ฉันร้องดังๆ พยายาม วาดภาพน้อย ฟาดฟัน กับเหล่าร้าย แต่นึกเท่าไหร่ ก็นึกไม่ออก ช้าๆ อย่างนั้น จะไปตามอะไร ผู้ร้ายทัน
“ตัวถามน้อยหรือเปล่า คิดอย่างไร ถึงได้ไปเป็นตำรวจ แทนที่จะเป็นหมอ” ฉันถามแหม่ม ด้วยความอยากรู้
“ถามแล้ว เจ้าตัวเขาบอกว่า ที่บ้านเป็นหมอกันหมด เลยอยากเป็นอย่างอื่นบ้าง”
“เข้าท่า “ ฉันเอ่ยออกมาเท่านั้น ก็หัวเราะเบาๆ
“เจอกัน ไม๊นัน เดี๋ยวเค้า โทรฯ นัดน้อยให้ พูดถึงนัน น้อยยังบ่นถึง บอกว่าอยากเห็นหน้า ”
“เอาซิ เมื่อไหร่ล๊ะ “ ตอบรับโดยเร็ว อยากเห็น อินโนเซ้นต์ จะเปลี่ยนไป มากไหม
“ เค้าต้องโทรฯถามเจ้าตัวก่อน ท่านรองฯ งานรัดตัวซะด้วย “
ท่านรองฯ ฉันได้ยิน ก็นึกขำกับ สรรพนามนั้น ใครเลยจะเชื่อ อินโนเซ้นต์ ของฉัน ทำไป ทำไม กลายเป็น ท่านรองฯ ไปเสียแล้ว
“งั้น ตัวกับน้อย นัดกันให้เรียบร้อย ส่วนเค้าจะบอกไอ้ตุ๊ก ไอ้ แจ๊ด ไอ้หน่อง ให้ ไปกันหลายๆคน สนุกดี “
“ตกลง งั้นได้เรื่องอย่างไร เค้าจะโทรฯมาบอก “ แหม่มพูดอย่างนั้น ก็วางสายไป
แต่แหม่มก็ไม่ได้โทรฯมา… หายเงียบไป
จนเหลืออีกวันเดียว ฉันจะเดินทางกลับ แหม่มถึงโทรฯมาได้
“น้อย ว่างวันนี้ ไปกินข้าวเที่ยงกันนะ เดี๋ยว ตัวก็โทรฯไปบอก ตุ๊ก กับ ไอ้แจ๊ด ไอ้หน่อง เราเจอกัน แถว เซ็นทรัล ลาดพร้าว”
“ทำไมไกลจัง หนูอยู่ฝั่งธนฯ นะคะ” ฉันท้วง
“ก้อ … น้อยเขามาทางนั้น “
อ้อสะดวก ผู้ชาย แต่ไม่คิดถึงฉัน ที่เป็นผู้หญิง ดีมาก “ ฉันบ่นไปอย่างนั้น เพราะตอนหลัง ก็รับปากไป
เมื่อเราไปยังที่นัดหมาย สมาชิก มีฉัน ตุ๊ก แจ๊ด ขาดไปก็แต่หน่อง ที่ติดงานต่างจังหวัด แหม่มมาสมทบตอนหลัง มาถึงก็กระหืดกระหอบ รายงานว่า
“น้อย ติดรับเสด็จ มานี่ไม่ได้ ให้เราไปเจอที่ร้านอาหาร ที่โน่น…
ที่โน่น… คือ จังหวัด ที่น้อย ประจำการ แม้จะห่างจาก กทม ไม่มาก ขับรถ แค่ชั่วโมงกว่าๆ แต่กระนั้น ก็ยังไกลอยู่ดี สำหรับฉัน
“จะดีเหรอ ฉันค้าน เค้าจะขึ้นเครื่องหกโมงเช้าวันพรุ่งนี้ แต่จนป่านนี้ ยังไม่ได้ลงมือจัดกระเป๋าเลย”
“ไปเถอะ อย่าเรื่องมาก “ตุ๊กว่า แหม่ม กับ แจ๊ด สนับสนุน พวกนี้ไม่ได้ เห็นอกเห็นใจ ผู้ชายเสมอ
น้ำน้อย ย่อมแพ้ไฟ ฉันคนเดียวจะไปค้าน อะไรพวกนั้นได้
สรุป เราก็เลยต้องท่อไปหา น้อย ที่โน่น…..
เราไปรถแหม่ม ฟอร์ด เฟียสต้า สีขาว สี่ประตู รุ่นล่า
แหม่มขับไป คุยเรื่องเก่าๆ วีรรกรรมของแต่ละคน สมัยเรียน แล้วก็หัวเราะกันลั่นรถ กระทั่งไปถึงร้านอาหารเปิดโล่ง รับลม ตั่งอยู่ริมทุ่ง
เรานั่งกันที่โต๊ะหินอ่อน ตอนนั้นเที่ยงกว่า ระหว่างที่รอน้อย เราก็สั่งอาหาร กินกันไปพลางๆ หยอกเหย้ากระเซ้าแหย่ ฆ่าเวลา
“ตุ๊ก ทำไมตัวเอง อ้วนนักวะ “ แหม่ม ถาม ตุ๊ก ที่ น้ำหนักร่วมเก้าสิบกิโล
“กูชอบกิน .. ทำไม มีปัญหาเหรอ”
ตุ๊ก ติดเสียแล้ว ที่จะพูดอย่างนี้ สมัยเรียนก็เป็นอย่างนี้ พูดเพราะก็ได้ แต่ไม่พูด มีอะไรไหม
ฉันมองแหม่มเงียบๆ คันปากยิบๆ ว่าแต่ตุ๊กเปลี่ยน แหม่มเองก็เหมือนกันนั่นแหละ
สมัยเรียน แหม่มนะ กว่าจะพูดออกมาแต่ละคำ ทำราวพิกุลจะร่วง
แต่มาวันนี้ แหม่ม กลับจ้อไม่ได้หยุด
ตั่งแต่ในรถ จนมาถึงร้านอาหาร
“แต่นัน นะเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนเลยนะ ทั้งหน้าตา และนิสัย “แหม่มหันมา วิจารณ์ฉัน ตุ๊ก อดไม่ได้ เลยถามฉันดังๆ
“นัน ติดรางวัลมันหรือเปล่าว๊ะ กับกู มันว่าอ้วนเอา ๆ แต่กับ ชมเอาๆ ในรถก็ที นี่เอง” ตุ๊กว่า เอาซ่อมจิ้มทอดมันยัดใส่ปาก กินอย่างแค้นเคือง
“น้อยมา แล้ว” แหม่มร้องออกมาดังๆ อย่างตื่นเต้น ทุกคนหยุดคุย หันไปมอง ก็เห็น Toyota tundra สีดำ ใหม่เอี่ยม แล่นปาดเข้ามาจอดตรงหน้าที่เรานั่ง
น้อย ฉันพึมพัมชื่อนั้นในใจ มองดู นายตำรวจในเครื่องแบบ เปิดประตู ก้าวลงมายืนโดนเด่นอยู่ข้างรถ มองมาทางเรายิ้มๆ แหม่มโบกมือ พร้อมกับส่งยิ้ม น้อยก็ ส่งยิ้ม โบกมือตอบกลับมา
ครู่ต่อมา น้อย ก็จัดแจงถอดเสื้อตัวนอก โยนใส่รถ ตุ๊กที่นั่งใกล้ๆกับแหม่มยื่นหน้าไปบอก
“แหม่ม มันกะมาปล้ำแหงๆ ระวังตัว ให้ดี ” ตุ๊ก คิดดีก็ได้ แต่ส่วนมาก จะคิดไม่ดี
ตุ๊กเข้าใจผิด
น้อยไม่ปล้ำแหม่ม เพราะ พอหย่อนตัวนั่งข้างแหม่ม น้อยก็สั่งเบียร์ทันที
“ใส่ครื่องแบบ กินเบียร์ไม่ได้เหรอ “ แจ๊ด ที่นั่งใกล้ๆน้อย ยื่นหน้าไปถาม
“ได้นะได้ อยู่ “น้อยตอบยิ้มๆ “แต่มันดูไม่ดี ”หยุดพลางมองมายังฉัน
“ไง แม่สื่อ สบายดี ” ทักยิ้มๆ “หน้าตาเหมือนเดิมเลยนะเรา แหม่มบอกว่า อยู่อเมริกา อากาศที่โน่น เป็นไง
แฟนละ เค้าดีกับเรามั๊ย อยู่ทางเหนือ หรือทางใต้ เคยไป แคลิฟอร์เนียหรือเปล่า ญาติน้อย อยู่นั่นหลายคน”
ฉันไม่ตอบ แต่อมยิ้ม น้อยเลยถามอย่างแปลกใจ
“อ้าว แล้วกัน ตอบไม่ได้หรือไง ถึงเอาแต่ยิ้ม “ น้อยเหย้า
“ไม่ใช่ตอบไม่ได้” ฉันว่า “ แต่มีความรู้สึก เหมือนกับ กำลัง โดนน้อย สอบปากคำอยู่” สิ้นเสียงฉัน เพื่อนๆก็ฮา น้อยเอ่ยยิ้มๆ
“ถาม เพราะอยากรู้ เพื่อนเก่า เป็นไงบ้าง “ หยุดหัวเราะเบาๆ “ถ้าน้อย สอบปากคำละก็ นันไม่ได้นั่งอมยิ้มอย่างนี้หรอก”
“เหอ” ไม่ใช่แต่ฉัน แต่อีกสามคนที่เหลือ ก็ร้องขึ้นมาพร้อมๆกัน
“เกิดอะขึ้นกับตุ๊ก สมัยเรียน ตัวนิดเดียว ใส่ยีนฟิตเปรี๊ยะ ยังกับนางแบบ “น้อยว่า
“แล้วมันกี่ปีแล้วละ คุณน้อย” ตุ๊กท้วงดัง “ ตัวเองก็เถอะ ไม่ใช่เด็ก เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ ดูตาซิ ย่นเชียว “
ท่านลงท่านรองฯ ตุ๊ก ไม่สน มาว่าฉันอ้วน ได้เห็นดีกัน
“รู้ อยู่ “น้อยว่า “ ที่พูดนี่ ไม่ได้ว่า แค่แปลกใจเฉยๆ ” เอ่ยยิ้มๆ หันไปทาง แหม่ม
“แหม่มสบายดี หรือเปล่า รูปร่างตอนนี้ดีแล้ว คราวก่อนเจอกันผอมไป น้อยเป็นห่วง รู้มํย ” สีหน้า ดูจะยืนยันคำพูดได้เป็นอย่างดี
“ห่วงแต่แหม่ม แล้วเค้าล่ะ “แจ๊ด แทรกขึ้นมา
“ก็ห่วงอยู่ “ ทำเสียงล้อเลียน “แล้วครอบครัวแจ๊ด เป็นไง”
“แฟนเค้าเสียไปเมื่อปีก่อน ลูกสาวโตคนโตเรียนจบ ทำงานแล้ว คนเล็กเรียนมอหนึ่ง”
“เสียใจด้วยนะ แจ๊ด ไม่เป็นไรใช่ไม๊” น้อยถาม น้ำเสียงอ่อนโยน พอกับใบหน้า
“เป็นไม่ได้ “ แจ๊ดตอบอย่างหนักแน่น” ลูกคนเล็กยังเล็ก ยังไง ต้องสู้ต่อไป” แจ๊ดตอบยิ้มๆ แต่แววตาเด็ดเดี่ยวจนทุกคนเห็นได้
“แล้วจะพูดเรื่องเศร้าๆทำไม มากินข้าว อย่าดราม่า ขอร้อง” ตุ๊กขัด ดังๆ เรียกเสียงฮา
“แหม่มล่ะ เป็นไง” น้อย ยังคง สอบปากคำ เอ๊ย ถามไถ่ต่อไป
“ก็เรื่อยๆ “ แหม่มตอบ ก่อนจะถามกลับ
“น้อยละ ครอบตัวเป็นไง แฟนสบายดี ลูกล่ะ เป็นผู้ชายสองคนใช่มั๊ย เห็นไอ้สุว่า ”
“แฟน น้อย ก็โอเค เป็นแม่บ้าน ลูกชายคนโตเรียนหมอ คนเล็กเรียนนิติ ปีหนึ่ง “ น้อยหยุดพูด หันมาทางฉัน
“แล้ว นันละ ครอบครัว เป็นไง ”
“มีแต่แฟน แต่ไม่มีลูก “ฉันตอบยิ้มๆ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร
“เค้าก็เหมือนกัน” ตุ๊ก ตอบ ทั้งที่น้อย ไม่ได้ถาม “
“แหม่มอยากเห็นแฟนนันมั๊ย “ ตุ๊กที่กำลังดูรูปถ่าย จากกล้องของฉัน ร้องถามแหม่ม และไม่ทันที่แหม่มจะพูดอะไร ก็ยื่นกล้องให้