เด็กเมืองเลย ไม่ได้ทำผิดแต่โดนยัดข้อหาหนัก!! ช่วยหน่อยเถิดครับ

นส.กนกอร ไชยศรี (น้องเจน) นักศึกษา ปวช.3 ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเลย เด็กสาวที่รอดชีวิตจากที่ซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ของรุ่นพี่ (นส.พิมพ์นิพา หรือเรียกว่าน้องพิม) แขนหักท่อนบน ปัจจุบันแขนก็ยังอยู่ในสภาพที่ไม่ดีเท่าไร หยิบจับอะไรก็ไม่ถนัด ส่วนคนขับนั้น ถูกรถทับศีรษะจนสมองกระจาย บริเวณทางไปราชภัฎเลย เมื่อราวเดือนมิถุนายน 2555

แต่เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เมื่อแม่ของน้องพิมพยายามตั้งแต่แรกๆ ทีจะให้น้องเจน เซ็นยินยอมเป็นผู้ขับขี่รถแทน เพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่างด้านประกันภัย ทางน้องเจนก็ยืนยันมาตลอดว่าเธอไม่ได้ขับรถคันนั้น!!! เพราะรถก็เป็นรถของผู้ตาย และผู้ตายขับรถในวันที่เกิดเหตุเพื่อไปหาเพื่อนของผู้ตายแถวราชภัฎ ที่สำคัญ น้องเจนเธอขับรถจักรยานยนต์ไม่เป็น ไม่มีรถขับ เดินไปเรียนทุกวัน!!! และความอัปยศอย่างยิ่งใหญ่ อาจมาจากผู้ึืถือกฏหมาย และจากแม่ของน้องพิมเอง ที่พยายามจะยัดเยียดข้อกล่าวหา "ขับรถให้ผู้อื่นโดยประมาททำให้ผู้อื่นจนถึงความตาย" ให้กับน้องเจน ...!!! เธอพยายามต่อสู้มาตลอดถึงความถูกต้องของเธอ และบรรดาเพื่อนๆ และครูอาจารย์ที่รู้จักเด็กดีคนนี้เป็นอย่างดี ..ล่าสุดทางแม่ของน้องพิม ..ยื่นฟ้องเธอ ในข้อหาดังกล่าว และเรียกร้องค่าเสียหาย อีกกว่า 600,000 บาท (หกแสนบาท)

ความยุติธรรมอยู่ตรงไหน ????? ก่อนที่คำตัดสินของศาลจะมาถึง ..ช่วยบอกกล่าวเรื่องราวนี้ให้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเลย ผ่านทุกช่องทางที่คุณสามารถจะเผยแพร่ออกไปได้ ก่อนที่เด็กบริสุทธิ์คนนึง จะกลายเป็นผู้ต้องหาโดยที่ไม่ผิดอะไรเลย


ทางเอ๊าเลยดอทคอม จะขอนำคำให้การของเธอมาเผยแพร่ที่นี้ และต่อไปเราจะนำสำนวนของตำรวจมาตีแผ่ต่อไป

ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง@@@@@@@@

เด็กเมืองเลย ไม่ได้ทำผิดแต่โดนยัดข้อหาหนัก

###############


บันทึกข้อความ

ในวันที่  ๒๕  มิถุนายน  ๒๕๕๕  เวลาประมาณ  ๑๘.๑๕  น.พี่พิมพ์ได้ขับรถจักรยานยนต์มาชวนหนู   ไปทำธุระที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย  ตอนแรกคิดว่าจะไม่ไปเพราะว่าพึ่งตื่นและก็ฝันไม่ดีจึงไม่อยากไป  แต่พี่พิมพ์ได้ขอร้องให้ไปด้วย  และส่งสายตาทำนองอยากให้ไปด้วย  จึงตอบตกลงไปเป็นเพื่อนพี่พิมพ์โดยนั่งซ้อนท้าย   ระหว่างเดินทางนั้นพี่พิมพ์ได้ไปแวะซื้อสายเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ร้านไอทีพอร์ท หน้าโรงแรมคิงค์  หลังจากซื้อเสร็จพี่พิมพ์ได้ขับรถไป   จนถึงจุดเกิดเหตุพี่พิมพ์ได้พยายามขับรถแซงรถพ่วง  จึงได้ขับออกจากท้ายรถพ่วง  ขับเข้าช่องจราจรชั้นใน แต่พอดีมีรถมีรถจักรยานข้างหน้ากำลังขับอยู่  ซึ่งตอนแรกเหมือนจะขับเร็ว  แต่รถจักรยานยนต์คันนั้นได้ลดความเร็วกะทันหัน ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงลงเนินพอดี  จากนั้นพี่พิมพ์ก็ได้ขับตามไป  แล้วล้มในนาทีนั้นตกใจมากคิดในใจว่าตัวเองต้องตายเพราะข้างๆจะเป็นรถพ่วงจึงหมดสติไป  รู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่กลางถนน  แล้วมีผู้หวังดีบอกว่าอย่าขยับตัว  แต่ในตอนนั้นเห็นแขนตัวเองซึ่งบวมและปวดมาก  ได้ยินเสียงคนที่มาดูเหตุการณ์พูดกันว่าสมองไหลเต็มเลย จึงได้แต่พยายามเรียกพี่พิมพ์ซ้ำไปซ้ำมา  แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากพี่พิมพ์เลย  พยายามมองหาพี่พิมพ์แต่มองไม่เห็นไม่นานรถโรงพยาบาลก็มาถึง  ในระหว่างการเคลื่อนย้ายนั้นพยาบาลได้บอกว่าแขนหัก  และได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น จากนั้นก็ได้มาพักอีกห้องหนึ่งทางอาจารย์  รองวิทย (รองผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาเลย) มาให้กำลังใจและมีตำรวจมาสอบปากคำ  หนูได้พักรักษาตัวที่ตึกผู้ป่วยเด็ก วันต่อมาแม่พี่พิมพ์ได้โทรมาขอร้องให้หนูรับเป็นคนขับให้  แล้วแม่พี่พิมพ์ก็บอกว่าถ้าพี่พิมพ์เป็นคนขับรถ  จะได้เงินประกันเพียงแค่ ๓๕,๐๐๐  บาท  (สามหมื่นห้าพันบาทถ้วน)  แต่ถ้าพี่พิมพ์เป็นคนซ้อนจะได้เงินประกัน  ๒๐๐,๐๐๐บาท  (สองแสนบาทถ้วน)  จึงอยากให้หนูรับเป็นคนขับให้      หนูเกรงใจก็เลยตอบไปว่าเดี่ยวหนูขอปรึกษาคุณพ่อและคุณแม่ก่อน  แม่จะไม่ทำให้หนูยุ่งยาก  จากที่คุยกับแม่พี่พิมพ์เสร็จหนูก็ได้ปรึกษาคุณพ่อ,คุณแม่,คุณลุง,อาจารย์และผู้อำนวยการที่ได้มาเยี่ยมและให้กำลังใจ  ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ให้รับ  ยังไงก็ไม่ให้รับเราไม่ได้ขับจะไปรับได้อย่างไร  ถ้าเรารับก็จะตกเป็นผู้ต้องหาโดนข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

ในวันที่  ๒๘  มิถุนายน  ๒๕๕๕  หนูเข้ารับการผ่าตัด  ทางแม่พี่พิมพ์นำตำรวจที่ปากชม  อบต.  มาคุยกับคุณพ่อกับคุณแม่และคุณลุง   ทุกคนพร้อมใจปฏิเสธว่ายังไงก็ไม่ให้หนูรับ  จากวันนั้นแม่พี่พิมพ์ก็ได้โทรมาหาอีกว่าจะรับให้แม่ไหม  หนูจึงตอบว่าไม่รับค่ะ  แม่พี่พิมพ์จึงพูดว่าตกลงจะไม่ช่วยแม่ใช่ไหม  หนูจึงตอบว่าค่ะ  พอวันที่  ๒  กรกฎาคม  ๒๕๕๕  หนูได้ออกจากโรงพยาบาล  ทางโรงพยาบาลบอกให้เตรียมใบ  พรบ.  คุณพ่อกับคุณลุงจึงไปเอาจากแม่พี่พิมพ์  แต่แม่พี่พิมพ์ไม่ให้  แม่พี่พิมพ์บอกว่าพวกคุณพูดยาก  แต่ใบ  พรบ.  นั้นเป็นสิทธิที่หนูต้องได้อยู่แล้ว  ถ้าแม่พี่พิมพ์ไม่ให้ก็สามารถไปรับกับตำรวจได้   คุณลุงจึงเสียค่ารักษาพยาบาลก่อนเป็นเงินจำนวน  ๑๕,๐๐๐บาท(หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน)  หนูได้มาพักฟื้นอยู่บ้านนั้น  แม่พี่พิมพ์ก็ได้โทรมาอีก  ถ้าหนูให้ปากคำกับตำรวจ  ให้บอกว่าไม่ให้มีรถเชี่ยวชนข้างหน้า ให้มีแค่รถของพี่พิมพ์กับรถพ่วง  แล้วให้บอกว่ารถพี่พิมพ์เสียหลักล้มเอง  หนูก็เลยถามไปว่า  แล้วจะล้มได้ยังไง  แม่พี่พิมพ์เลยบอกว่าเหมือนให้รถพ่วงดูดเข้าไปแล้วล้ม  ยังไงหนูก็จะพูดตามความจริง   วันที่  ๕  กรกฎาคม  ๒๕๕๕  ถูกตำรวจเชิญไปสอบปากคำ  แล้วถูกตั้งข้อหา “ ขับขี่รถโดยประมาทหรือน่า-วาดเสียวเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและทรัพย์สินเสียหาย และกระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย”  ตำรวจบอกว่า  มีพยานสองปากมาให้การกับตำรวจว่าหนูเป็นคนขับ  ว่าได้คุยกับพี่พิมพ์  แล้วก็สอบปากคำเพียงถามแค่ตรงที่เกิดเหตุเท่านั้น  หนูได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา  ถามถึงชื่อพยานที่มาให้ปากคำกับตำรวจก็ไม่ให้  หนูจึงไม่ยอมเซ็นต์  ตำรวจจึงนัดให้ไปวันที่  ๗  กรกฎาคม  ๒๕๕๕  ไปที่สถานีตำรวจอีก  หนูจึงปรึกษาคุณลุงท่านเป็นตำรวจที่เชียงคานท่านจึงได้โทรคุยกับตำรวจที่เป็นเจ้าของคดีนี้ว่า  เด็กอายุยังไม่ถึง  ๑๘  ปี  ทำไมต้องนัดไปสอบที่สถานีตำรวจ  ทำไมไม่ไปสอบอยู่ที่อัยการ  ตำรวจท่านนั้นจึงตอบว่าเดี่ยวจะนัดใหม่อีกที  จากนั้นก็เงียบไป  จนวันที่  ๔  กันยายน  ๒๕๕๕  ตำรวจได้โทรมานัดอีกว่า

ในวันที่  ๗  กันยายน  ๒๕๕๕   นัดสอบปากคำที่สถานีตำรวจอีก  จึงไปตามนัด   แล้วถูกตั้งข้อหาว่า “ ขับขี่รถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย”   ทางตำรวจได้ให้เซนต์รับทราบข้อกล่าวหา  โดยอ้างว่ามีพยานสองปากมายืนยันว่าหนูเป็นคนขับ  จึงปรึกษาทางทนายว่าควรเซนต์หรือไม่   เซนต์ก็ไม่มีอะไรถ้าเราไม่ผิดแล้วเราก็เตรียมสู้กันในชั้นศาล   จึงได้ยอมเซนต์  จากนั้นทางตำรวจก็ได้สอบปากคำและลงบันทึกประจำวัน  พิมพ์ลายนิ้วมือ  แล้วได้เดินทางไปศาลถูกจับข้อหา       “ ขับขี่รถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย” ต้องได้ประกันตัวออกมาเป็นเงินจำนวน  ๑๐,๐๐๐  บาท  (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน)  จากนั้นก็ได้รับบัตรนัดความคดีอาญา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่